คอลัมน์-ยักษ์ไม่มีกระบอง โดยลัดดา ตั้งสุภาชัย
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมา หรือหมากับคนมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ทั้ง๑๒ราศี ที่ผูกติดไว้กับวิถีชีวิตของผู้คนในโลกใบนี้ “ปีจอหรือปีหมา” ก็เป็นหนึ่งใน ๑๒ ราศีที่ปรากฏรวมอยู่ด้วย จึงอนุมานได้ว่าคนกับหมาหรือหมากับคนมีความสัมพันธ์กันมานานโขทีเดียว
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าบทความนี้ไม่อยากใช้คำว่า “สุนัข” แทนคำว่า “หมา” ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้ภาษาที่ไม่สุภาพสื่อสารกับผู้อ่านแม้แต่น้อยนิด แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการเข้าถึงสาระอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับผู้อ่าน เพราะโดยปกติเท่าที่สังเกตเวลาที่เรากล่าวขานถึงเจ้าตูบ เจ้าดำ เจ้าด่าง กับผู้คนที่สนิทคุ้นเคยอย่างไม่เป็นทางการมักจะไม่มีใครใช้สรรพนามว่า“สุนัข”กันเท่าไหร่นัก แต่คนส่วนใหญ่กลับคุ้นกับการใช้คำว่า“หมา”เสียมากกว่า

ความสัมพันธ์ของคนกับหมามีให้เห็นในหลายมิติ มีสำนวนไทยจำนวนมากที่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษของเราได้ประดิษฐ์คิดค้นไว้เพื่อเปรียบเปรย และเสียดสีพฤติกรรมของคนในสังคมที่ไม่พึงประสงค์ โดยกล่าวพาดพิงถึง “คนกับหมา หมากับคน” ให้ได้ยินได้ฟังและรับรู้ไว้มากมาย อาทิ หมาเห่าอย่าเห่าตอบ หมาหัวเน่า เล่นกับหมาหมาเลียปาก หมาเห่าใบตองแห้ง หมาหมู่ มีหมาที่ไหนมีหมัดที่นั่น ขี้หมูราขี้หมาแห้ง กินเผื่อหมา หมาหวงก้าง หมาเห็นข้าวเปลือก ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้กินข้าวร้อนนอนกับหมากินข้าวเย็นเป็นพระยา เป็นต้น
ฟังดูแล้วมีความหมายในเชิงลบ แต่จริงๆ แล้วหมาก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิด และจงรักภักดีกับคนที่เป็นเจ้าของ น่าจะมีสำนวนไทยที่เปรียบเปรยในเชิงบวกให้รับรู้กันบ้างก็จะดีไม่น้อย
โดยปกติแล้ว “คนกับหมาหรือหมากับคน” นั้น ต่างก็มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดสนิทสนมกันชนิดที่เรียกว่าเกื้อกูลกัน ดังจะเห็นได้ว่าเกือบทุกครัวเรือนต่างเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้านเพื่อเตือนภัยและจัดการกับเหล่าขโมยมิจฉาชีพที่คอยประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น หรือไม่ก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นเพื่อนเล่นกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อเติมสีสันและความสุขให้กับชีวิต
หรือกับบางคนที่มีครอบครัวแล้วแต่ไม่สามารถมีบุตรได้ ก็มักจะนำหมามาเลี้ยงดูเล่น มีความรักใคร่เอ็นดูเปรียบดั่งลูกหลานเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต ก็มีให้พบเห็นมากมายในสังคม หรือกับบางคนที่ไม่มีภาระครอบครัวโดยไม่ต้องรับผิดชอบผู้อื่น ก็ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์กับสังคมโดยเก็บหมาข้างถนนที่ไม่มีเจ้าของดูแลมาเลี้ยงดูจำนวนมากมายนับเป็นร้อยๆตัวก็มีให้เห็นเช่นกัน
ความฉลาด แสนรู้ น่ารัก ซื่อสัตย์ และรู้จักที่จะจงรักภักดีผู้เป็นเจ้าของ เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นของหมาแทบทุกตัวที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ฝึกฝน และหัดให้เชื่องเชื่อฟังคำสั่งจากผู้ที่เป็นนายหรือเจ้าของ ซึ่งพบเห็นได้จากละครสัตว์ หรือสัตว์ที่ถูกนำมาแสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดนิยมในอดีตอย่างเจ้าแลซซี่ รวมถึงเจ้าเบนจี้หมาขนยาวที่น่ารักในภาพยนตร์จอเงินที่ฉายทั่วโลกในหลายสิบปีที่ผ่านมา
และในวันนี้คนไทยก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ดีๆอย่างข้าวเหนียวหมูปิ้งที่สะท้อนปัญหาสังคม โดยนำเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนกับหมาและหมากับคนมานำเสนอได้อย่างน่าประทับใจ
หนังเรื่อง “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” นับว่าเป็นหนังที่ให้คุณค่าและสะท้อนปัญหาสังคมอย่างตรงไปตรงมาได้ดีมาก ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ เพราะมีผู้แสดงไม่มากเท่าไรนัก แถมยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่เสียอีก รวมถึงฉาก เทคนิค และการถ่ายทำก็ดูไม่อลังการเหมือนหนังบางเรื่อง แต่ที่กล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ด้อยคุณค่าแต่กลับเป็นหนังประเภทเล็กพริกขี้หนูหรือจิ๋วแต่แจ๋วที่ให้สาระข้อคิดและมุมมองที่มีคุณค่ากับคนในสังคม โดยเฉพาะครอบครัวในปัจจุบันที่เปราะบางที่ขาดการเอาใจใส่ดูแลกันและกัน
สาระของหนังเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนไขสลับซับซ้อนเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง วิกฤต และโอกาสของคนกับหมา และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมซึ่งเป็นปัญหาที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันในขณะนี้
เนื้อเรื่องของหนังสื่อให้เห็นว่า ชีวิตคนคนหนึ่งที่เกิดมาจากความไม่ตั้งใจของผู้ให้กำเนิดนอกจากจะไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ยังถูกทอดทิ้งโดยไม่สนใจไยดี ซึ่งไม่แตกต่างจากหมาที่เจ้าของไม่มีปัญญาหรือไม่อยากเลี้ยงดู ก็จะถูกนำไปปล่อยไว้ข้างถนนเช่นกัน ในขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนให้เห็นถึงสัญชาตญาณความรักลูกของหมาข้างถนนที่ได้เพียรพยายามไปหาอาหารมาเลี้ยงดูลูกของมันให้มีชีวิตอยู่รอด ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตของเด็กหญิงข้าวเหนียวตัวละครในเรื่องที่ถูกละทิ้งจากผู้ให้กำเนิดอย่างขาดความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่คนควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐกว่าหมา
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพัน และความเสียสละ ระหว่างคนกับสัตว์ได้อย่างลึกซึ้งกินใจระหว่างเด็กหญิงข้าวเหนียวกับหมูปิ้งลูกหมาข้างถนน เด็กหญิงผู้ไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ให้กำเนิด ขาดความรักความอบอุ่น แต่กลับมีจิตใจที่งดงามเอื้ออารีต่อเพื่อน ผู้ยากและมีความเมตตาต่อลูกหมาที่กำพร้าแม่แบบหมูปิ้งนำมาเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่และรักใคร่เกิดเป็นความผูกพันระหว่างคนกับหมาขึ้นอย่างแน่นแฟ้น
ชีวิตของเด็กหญิงข้าวเหนียวและเจ้าหมูปิ้ง เป็นชีวิตที่ไม่แตกต่างจากกันตรงที่ทั้งคนและหมาเป็นชีวิตที่ถูกละทิ้ง แต่จะต่างกันที่เจ้าหมูปิ้งมีความโชคดีกว่าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากข้าวเหนียวซึ่งเป็นคน และเมื่อพลัดพรากจากข้าวเหนียวก็ยังได้พบกับเจ้าของใหม่ผู้ใจบุญเก็บไปเลี้ยงดูอย่างดีเลิศ ในขณะที่เด็กหญิงข้าวเหนียวกลับโชคร้ายถูกคนทำร้ายจิตใจ และทอดทิ้งจนต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนข้างถนนและท้ายที่สุดต้องจบชีวิตอย่างน่าสงสารบนท้องถนนนั่นเอง
ในขณะนี้มีการนำเสนอละครผ่านทางจอทีวีรวมถึงภาพยนตร์ไทยและเทศที่มีสาระในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์และไม่จรรโลงจิตใจผู้คนในสังคมด้วยการนำเสนอสาระที่มีความรุนแรง หยาบคาย รวมถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ขัดต่อศีลธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สังคมก็ไม่ควรปล่อยให้หนังเรื่อง “ข้าวหนียวหมูปิ้ง” เป็นเพียงสื่อน้ำดีในจำนวนน้อยนิดที่มีอยู่ แต่ทุกฝ่ายควรส่งเสริมและสนับสนุนให้สื่อสร้างสรรค์เหล่านี้มีการผลิตและแพร่กระจายไปสู่สังคมให้มากยิ่งขึ้น และจะดีที่สุดหากกลายเป็นกระแสนิยมของสังคม กลบความเน่าเหม็นของสังคมที่เกิดจากอิทธิพลของสื่อที่ไร้คุณภาพและไร้ความรับผิดชอบที่กำลังทำร้ายสังคมอยู่ในขณะนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมา หรือหมากับคนมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ทั้ง๑๒ราศี ที่ผูกติดไว้กับวิถีชีวิตของผู้คนในโลกใบนี้ “ปีจอหรือปีหมา” ก็เป็นหนึ่งใน ๑๒ ราศีที่ปรากฏรวมอยู่ด้วย จึงอนุมานได้ว่าคนกับหมาหรือหมากับคนมีความสัมพันธ์กันมานานโขทีเดียว
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าบทความนี้ไม่อยากใช้คำว่า “สุนัข” แทนคำว่า “หมา” ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้ภาษาที่ไม่สุภาพสื่อสารกับผู้อ่านแม้แต่น้อยนิด แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการเข้าถึงสาระอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับผู้อ่าน เพราะโดยปกติเท่าที่สังเกตเวลาที่เรากล่าวขานถึงเจ้าตูบ เจ้าดำ เจ้าด่าง กับผู้คนที่สนิทคุ้นเคยอย่างไม่เป็นทางการมักจะไม่มีใครใช้สรรพนามว่า“สุนัข”กันเท่าไหร่นัก แต่คนส่วนใหญ่กลับคุ้นกับการใช้คำว่า“หมา”เสียมากกว่า
ความสัมพันธ์ของคนกับหมามีให้เห็นในหลายมิติ มีสำนวนไทยจำนวนมากที่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษของเราได้ประดิษฐ์คิดค้นไว้เพื่อเปรียบเปรย และเสียดสีพฤติกรรมของคนในสังคมที่ไม่พึงประสงค์ โดยกล่าวพาดพิงถึง “คนกับหมา หมากับคน” ให้ได้ยินได้ฟังและรับรู้ไว้มากมาย อาทิ หมาเห่าอย่าเห่าตอบ หมาหัวเน่า เล่นกับหมาหมาเลียปาก หมาเห่าใบตองแห้ง หมาหมู่ มีหมาที่ไหนมีหมัดที่นั่น ขี้หมูราขี้หมาแห้ง กินเผื่อหมา หมาหวงก้าง หมาเห็นข้าวเปลือก ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้กินข้าวร้อนนอนกับหมากินข้าวเย็นเป็นพระยา เป็นต้น
ฟังดูแล้วมีความหมายในเชิงลบ แต่จริงๆ แล้วหมาก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิด และจงรักภักดีกับคนที่เป็นเจ้าของ น่าจะมีสำนวนไทยที่เปรียบเปรยในเชิงบวกให้รับรู้กันบ้างก็จะดีไม่น้อย
โดยปกติแล้ว “คนกับหมาหรือหมากับคน” นั้น ต่างก็มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดสนิทสนมกันชนิดที่เรียกว่าเกื้อกูลกัน ดังจะเห็นได้ว่าเกือบทุกครัวเรือนต่างเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้านเพื่อเตือนภัยและจัดการกับเหล่าขโมยมิจฉาชีพที่คอยประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น หรือไม่ก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นเพื่อนเล่นกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อเติมสีสันและความสุขให้กับชีวิต
หรือกับบางคนที่มีครอบครัวแล้วแต่ไม่สามารถมีบุตรได้ ก็มักจะนำหมามาเลี้ยงดูเล่น มีความรักใคร่เอ็นดูเปรียบดั่งลูกหลานเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต ก็มีให้พบเห็นมากมายในสังคม หรือกับบางคนที่ไม่มีภาระครอบครัวโดยไม่ต้องรับผิดชอบผู้อื่น ก็ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์กับสังคมโดยเก็บหมาข้างถนนที่ไม่มีเจ้าของดูแลมาเลี้ยงดูจำนวนมากมายนับเป็นร้อยๆตัวก็มีให้เห็นเช่นกัน
ความฉลาด แสนรู้ น่ารัก ซื่อสัตย์ และรู้จักที่จะจงรักภักดีผู้เป็นเจ้าของ เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นของหมาแทบทุกตัวที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ฝึกฝน และหัดให้เชื่องเชื่อฟังคำสั่งจากผู้ที่เป็นนายหรือเจ้าของ ซึ่งพบเห็นได้จากละครสัตว์ หรือสัตว์ที่ถูกนำมาแสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดนิยมในอดีตอย่างเจ้าแลซซี่ รวมถึงเจ้าเบนจี้หมาขนยาวที่น่ารักในภาพยนตร์จอเงินที่ฉายทั่วโลกในหลายสิบปีที่ผ่านมา
และในวันนี้คนไทยก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ดีๆอย่างข้าวเหนียวหมูปิ้งที่สะท้อนปัญหาสังคม โดยนำเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนกับหมาและหมากับคนมานำเสนอได้อย่างน่าประทับใจ
หนังเรื่อง “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” นับว่าเป็นหนังที่ให้คุณค่าและสะท้อนปัญหาสังคมอย่างตรงไปตรงมาได้ดีมาก ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ เพราะมีผู้แสดงไม่มากเท่าไรนัก แถมยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่เสียอีก รวมถึงฉาก เทคนิค และการถ่ายทำก็ดูไม่อลังการเหมือนหนังบางเรื่อง แต่ที่กล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ด้อยคุณค่าแต่กลับเป็นหนังประเภทเล็กพริกขี้หนูหรือจิ๋วแต่แจ๋วที่ให้สาระข้อคิดและมุมมองที่มีคุณค่ากับคนในสังคม โดยเฉพาะครอบครัวในปัจจุบันที่เปราะบางที่ขาดการเอาใจใส่ดูแลกันและกัน
สาระของหนังเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนไขสลับซับซ้อนเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง วิกฤต และโอกาสของคนกับหมา และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมซึ่งเป็นปัญหาที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันในขณะนี้
เนื้อเรื่องของหนังสื่อให้เห็นว่า ชีวิตคนคนหนึ่งที่เกิดมาจากความไม่ตั้งใจของผู้ให้กำเนิดนอกจากจะไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ยังถูกทอดทิ้งโดยไม่สนใจไยดี ซึ่งไม่แตกต่างจากหมาที่เจ้าของไม่มีปัญญาหรือไม่อยากเลี้ยงดู ก็จะถูกนำไปปล่อยไว้ข้างถนนเช่นกัน ในขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนให้เห็นถึงสัญชาตญาณความรักลูกของหมาข้างถนนที่ได้เพียรพยายามไปหาอาหารมาเลี้ยงดูลูกของมันให้มีชีวิตอยู่รอด ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตของเด็กหญิงข้าวเหนียวตัวละครในเรื่องที่ถูกละทิ้งจากผู้ให้กำเนิดอย่างขาดความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่คนควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐกว่าหมา
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพัน และความเสียสละ ระหว่างคนกับสัตว์ได้อย่างลึกซึ้งกินใจระหว่างเด็กหญิงข้าวเหนียวกับหมูปิ้งลูกหมาข้างถนน เด็กหญิงผู้ไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ให้กำเนิด ขาดความรักความอบอุ่น แต่กลับมีจิตใจที่งดงามเอื้ออารีต่อเพื่อน ผู้ยากและมีความเมตตาต่อลูกหมาที่กำพร้าแม่แบบหมูปิ้งนำมาเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่และรักใคร่เกิดเป็นความผูกพันระหว่างคนกับหมาขึ้นอย่างแน่นแฟ้น
ชีวิตของเด็กหญิงข้าวเหนียวและเจ้าหมูปิ้ง เป็นชีวิตที่ไม่แตกต่างจากกันตรงที่ทั้งคนและหมาเป็นชีวิตที่ถูกละทิ้ง แต่จะต่างกันที่เจ้าหมูปิ้งมีความโชคดีกว่าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากข้าวเหนียวซึ่งเป็นคน และเมื่อพลัดพรากจากข้าวเหนียวก็ยังได้พบกับเจ้าของใหม่ผู้ใจบุญเก็บไปเลี้ยงดูอย่างดีเลิศ ในขณะที่เด็กหญิงข้าวเหนียวกลับโชคร้ายถูกคนทำร้ายจิตใจ และทอดทิ้งจนต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนข้างถนนและท้ายที่สุดต้องจบชีวิตอย่างน่าสงสารบนท้องถนนนั่นเอง
ในขณะนี้มีการนำเสนอละครผ่านทางจอทีวีรวมถึงภาพยนตร์ไทยและเทศที่มีสาระในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์และไม่จรรโลงจิตใจผู้คนในสังคมด้วยการนำเสนอสาระที่มีความรุนแรง หยาบคาย รวมถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ขัดต่อศีลธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สังคมก็ไม่ควรปล่อยให้หนังเรื่อง “ข้าวหนียวหมูปิ้ง” เป็นเพียงสื่อน้ำดีในจำนวนน้อยนิดที่มีอยู่ แต่ทุกฝ่ายควรส่งเสริมและสนับสนุนให้สื่อสร้างสรรค์เหล่านี้มีการผลิตและแพร่กระจายไปสู่สังคมให้มากยิ่งขึ้น และจะดีที่สุดหากกลายเป็นกระแสนิยมของสังคม กลบความเน่าเหม็นของสังคมที่เกิดจากอิทธิพลของสื่อที่ไร้คุณภาพและไร้ความรับผิดชอบที่กำลังทำร้ายสังคมอยู่ในขณะนี้