กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายในประเทศไทย เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง ชี้ 2-3 ปี เพิ่มขึ้นจนน่าวิตก กรมควบคุมโรค แนะโครงการรณรงค์เชิงรุกช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงและอัตราการติดเชื้อ
กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐอเมริกา ด้านสาธารณสุข สภากาชาดไทย และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต พบว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (Men who have Sex with Men - MSM) เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มชายบริการ (Male Sex Worker - MSW) และกลุ่มกะเทย (Transgender - TG) อยู่ในภาวะที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังเช่นกัน
จากผลการสำรวจนี้ พบว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่ม MSM ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 28.3 ในปี 2548 และผลการสำรวจยังพบการติดเชื้อเอชไอวีถึงร้อยละ 11.4 ของกลุ่ม MSW ในเชียงใหม่ และร้อยละ 14.4 ของกลุ่ม MSW ในภูเก็ต ส่วนกลุ่ม TG ในเชียงใหม่ พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงถึงร้อยละ 17.6 และในภูเก็ต คิดเป็นร้อยละ 11.9
ผลการสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข ที่พบว่า กลุ่ม MSM เป็นกลุ่มที่มีการแพร่ระบาดของการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา
การสำรวจนี้จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งสมาชิกในกลุ่ม MSM โดยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่นิยมของกลุ่ม MSM ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต และได้ทำการสอบถามเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินชีวิต การดูแลสุขภาพ และพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
นายแพทย์สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า “ก่อนทำการสำรวจในครั้งนี้ เรามีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวี และพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่ม MSM ในประเทศไทยไม่มากนัก แต่หลังจากผลการสำรวจล่าสุดนี้ จะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มกิจกรรมการรณรงค์ที่ช่วยเพิ่มการรับรู้และการตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในกลุ่ม MSM”
องค์กรพัฒนาภาคเอกชน อาทิ สมาคมฟ้าสีรุ้ง กลุ่มเพื่อนพนักงานบริการ หรือ สวิง (Service Workers IN Group - SWING) และ เอ็มพลัส หรือ โครงการเพื่อชายรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ ในเชียงใหม่ ต่างตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่ม MSM ในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ
ส่วนในภาครัฐนั้น กระทรวงสาธารณสุข และสภากรุงเทพมหานคร ได้แสดงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มนี้ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี เพิ่มการรับบริการตรวจรักษา ตลอดจนเพิ่มการบำบัดและดูแลผู้็ู้้ติดเชื้อ เอชไอวี ในกลุ่ม MSM มากยิ่งขึ้น
“เราจำเป็นต้องชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่ม MSM ในประเทศไทย ที่อยู่ในภาวะน่าวิตกอย่างยิ่ง การดำเนินงานของภาครัฐต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จนั้น สามารถนำกลับมาใช้รณรงค์การลดความเสี่ยงในกลุ่ม MSM ได้” นายแพทย์สมชัย กล่าว
“ปัจจุบันมีหลายองค์กรในประเทศไทยที่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว อาทิ สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กลุ่มเพื่อนพนักงานบริการ และโครงการเพื่อชายรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ ต่างช่วยกันรณรงค์ลดความเสี่ยงในกลุ่ม MSM ในขณะที่ภาครัฐบาลเองก็ได้ให้ความสำคัญในการให้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่กลุ่ม MSM จะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” นายแพทย์สมชัย กล่าวเสริม
กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐอเมริกา ด้านสาธารณสุข สภากาชาดไทย และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต พบว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (Men who have Sex with Men - MSM) เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มชายบริการ (Male Sex Worker - MSW) และกลุ่มกะเทย (Transgender - TG) อยู่ในภาวะที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังเช่นกัน
จากผลการสำรวจนี้ พบว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่ม MSM ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 28.3 ในปี 2548 และผลการสำรวจยังพบการติดเชื้อเอชไอวีถึงร้อยละ 11.4 ของกลุ่ม MSW ในเชียงใหม่ และร้อยละ 14.4 ของกลุ่ม MSW ในภูเก็ต ส่วนกลุ่ม TG ในเชียงใหม่ พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงถึงร้อยละ 17.6 และในภูเก็ต คิดเป็นร้อยละ 11.9
ผลการสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข ที่พบว่า กลุ่ม MSM เป็นกลุ่มที่มีการแพร่ระบาดของการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา
การสำรวจนี้จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งสมาชิกในกลุ่ม MSM โดยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่นิยมของกลุ่ม MSM ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต และได้ทำการสอบถามเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินชีวิต การดูแลสุขภาพ และพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
นายแพทย์สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า “ก่อนทำการสำรวจในครั้งนี้ เรามีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวี และพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่ม MSM ในประเทศไทยไม่มากนัก แต่หลังจากผลการสำรวจล่าสุดนี้ จะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มกิจกรรมการรณรงค์ที่ช่วยเพิ่มการรับรู้และการตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในกลุ่ม MSM”
องค์กรพัฒนาภาคเอกชน อาทิ สมาคมฟ้าสีรุ้ง กลุ่มเพื่อนพนักงานบริการ หรือ สวิง (Service Workers IN Group - SWING) และ เอ็มพลัส หรือ โครงการเพื่อชายรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ ในเชียงใหม่ ต่างตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้ร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่ม MSM ในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ
ส่วนในภาครัฐนั้น กระทรวงสาธารณสุข และสภากรุงเทพมหานคร ได้แสดงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มนี้ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี เพิ่มการรับบริการตรวจรักษา ตลอดจนเพิ่มการบำบัดและดูแลผู้็ู้้ติดเชื้อ เอชไอวี ในกลุ่ม MSM มากยิ่งขึ้น
“เราจำเป็นต้องชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่ม MSM ในประเทศไทย ที่อยู่ในภาวะน่าวิตกอย่างยิ่ง การดำเนินงานของภาครัฐต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จนั้น สามารถนำกลับมาใช้รณรงค์การลดความเสี่ยงในกลุ่ม MSM ได้” นายแพทย์สมชัย กล่าว
“ปัจจุบันมีหลายองค์กรในประเทศไทยที่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว อาทิ สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กลุ่มเพื่อนพนักงานบริการ และโครงการเพื่อชายรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ ต่างช่วยกันรณรงค์ลดความเสี่ยงในกลุ่ม MSM ในขณะที่ภาครัฐบาลเองก็ได้ให้ความสำคัญในการให้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่กลุ่ม MSM จะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” นายแพทย์สมชัย กล่าวเสริม