พบรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์เคลื่อนตัวตลอดเวลา จี้วางระบบเตือนภัยพร้อมแผนอพยพดูแล 2 อำเภอใน จ.กาญจนบุรี เป็นพิเศษ นักวิชาการด้านแผ่นดินไหวเชื่อไม่ถึง 7.5 ริกเตอร์ เขื่อนศรีนครินทร์-เขาแหลม มีโอกาสแตกสูง "ยงยุทธ"เรียกประชุมด่วน ติดสัญยาณเตือนภัยไฮเทคที่สุดแจ้งเตือนภัย
วานนี้ (24 ม.ค.) คณะอนุกรรมการสิทธิในทรัพยากรน้ำและแร่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเวทีสัมมนาการเสี่ยงต่อภัยพิบัติและอันตรายจากการพิบัติของเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ขึ้นที่สำนักงาน กสม.โดยมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ตัวแทนจากบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเดิมเข้าร่วม
ดร.ปัญญา จารุศิริ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหว กล่าวว่า จากการศึกษาเก็บข้อมูลรอยเลื่อนที่มีผลกระทบต่อตัวเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งทำร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ครั้งล่าสุด พบข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจมากคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ที่อยู่ในเขตประเทศพม่า เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และมีรอยเลื่อนที่ชัดเจนมาก โดยรอยเลื่อนดังกล่าวจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเข้ามาในเขตประเทศไทย
จากข้อมูลนี้ทำให้วิตกว่า พื้นที่ที่ถูกขนาบด้วยรอยเลื่อนคืออำเภอไทรโยค และสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ติดกับชายแดนพม่าอาจได้รับอันตราย
“เราพบว่าบริเวณดังกล่าวมีชุมชนอยู่ 550 หลังคาเรือน สะพาน 38 แห่ง และอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ อีก 5 แห่ง รวมทั้งเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนเขาแหลม พื้นที่เหล่านี้ต้องได้รับการดูแลพิเศษเรื่องการเตือนภัย และเตรียมแผนอพยพไปสู่ที่ปลอดภัยให้พร้อม”
ด้าน ดร.ปริญญา นุตาลัย นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว กล่าวว่า ก่อนที่เขื่อนศรีนครินทร์จะถูกสร้างขึ้นมานั้น เคยคุยกับวิศวกรชาวญี่ปุ่นสมัยนั้นไม่ได้นำข้อมูลเรื่องแนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวมาพิจารณาในการก่อสร้างเลย สำหรับข้อมูลที่ กฟผ.อ้างอยู่ตลอดเวลาที่มีการถกเถียงเรื่องแผ่นดินไหวแล้วทำให้เขื่อนแตกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเขื่อนนี้สร้างไว้รองรับการไหวของแผ่นดินได้ถึง 7.5 ริกเตอร์นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะในอดีตก่อนสร้างไม่ได้นำเรื่องนี้มาเป็นตัวตั้ง และยังไม่มีความรู้เรื่องแนวรอยเลื่อนเท่ากับปัจจุบัน
“พื้นที่ตามแนวรอยเลื่อน ซึ่งมีเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนเขาแหลม รวมอยู่ด้วยนั้น ถ้าเกิดแผ่นดินไหวใต้เขื่อน ไม่จำเป็นต้องถึง 7.5 ริกเตอร์ เขื่อนก็มีโอกาสแตกอยู่ดี” ดร.ปริญญากล่าว
ขณะที่ นายธำรง ธวัชชัยประชา เปิดเผยว่า ตัวเองเป็นอดีตวิศวกรโยธา กฟผ.ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวิศวกรที่ปรึกษาที่ดูแลรักษาเขื่อนศรีนครินทร์มาตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง และขณะก่อสร้างยอมรับว่ามีความฮึกเหิมอย่างมากที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ มั่นใจระบบการก่อสร้าง และไม่เคยยอมฟังคำทัดทานของใคร โดยเฉพาะอาจารย์ปริญญาที่ค้านมาตลอดว่าอันตรายมากที่สร้างเขื่อนทับแนวรอยเลื่อนที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว
กระทั่งเขื่อนสร้างเสร็จระยะหนึ่ง กฟผ.ให้บริษัทที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกา สวีเดน และแคนาดา ตรวจประเมินเขื่อนจากข้อมูลเรื่องการเกิดแผ่นดินไหว ทั้ง 3 แห่ง สรุปผลออกมาเหมือนกันว่า จ.กาญจนบุรี อาจเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขนาด 7.5-8.0 ริกเตอร์ นั่นคือ มากกว่าที่ กฟผ.ออกแบบเขื่อนไว้ 500-4,000 เท่า และทั้งหมด แนะนำให้ กฟผ.เพิ่มมาตรการเสริมความแข็งแรงของเขื่อน
นายธำรง กล่าวว่า ที่ กฟผ.บอกกับสาธารณะว่าเขื่อนรับแรงไหวของแผ่นดินได้ 7.5 ริกเตอร์นั้นไม่เป็นความจริง เพราะความจริงคือ ตัวเลข 7.5 ริกเตอร์ ที่เขื่อนจะรองรับความเสียหายได้ และจุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวจะต้องห่างจากตัวเขื่อนมากกว่า 250 กิโลเมตร แต่จากข้อมูลใหม่และความรู้ในปัจจุบัน พบว่า แนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวที่มีพลังนั้นอยู่บริเวณเดียวกับที่เขื่อนสร้างอยู่นั่นเอง
บริษัทที่ปรึกษาเหล่านั้นยังระบุอีกว่า หากเขื่อนศรีนครินทร์แตกแล้ว โอกาสที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุม 13 จังหวัด 65 อำเภอ เป็นพื้นที่ถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร หรือราว 4,700,000 ไร่ สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) นั้น น้ำจะไหลมาถึงเขตบางกอกน้อย ตลิ่งชัน ธนบุรี ภาษีเจริญ จอมทอง ราษฎร์บูรณะ และบางขุนเทียน ภายใน 35 ชั่วโมง และ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี จะเจอสภาพหนักสุด คือ น้ำจะไหลสู่ อ.เมือง ภายใน 5 ชั่วโมง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี 11 ชั่วโมง
“สมัยที่ผมอยู่ กฟผ.รู้สึกสำนึกผิดที่มีส่วนร่วมให้เกิดเขื่อนแห่งนี้ขึ้น หลังจากทราบข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายแล้ว จึงเขียนบันทึกขึ้นมา 25 หน้า ขอให้ กฟผ.เปลี่ยนเครื่องวัดระดับน้ำที่ท้ายเขื่อน เพื่อเพิ่มมาตรการเตือนภัย เพราะมาตรวัดล้าสมัยมาก รวมทั้งข้อมูลเรื่องรอยเลื่อนต่างๆ แต่บันทึกดังกล่าวต้องผ่านผู้ใหญ่หลายระดับ ผมพยายามติดตาม แต่กระทั่งออกมาจาก กฟผ.ก็ยังไม่ได้ข่าวว่าบันทึกที่ผมทำขึ้นมานั้นไปอยู่ที่ไหนกับใคร แต่ผมก็สำเนาเอกสารเก็บเอาไว้” นายธำรง กล่าว
วานนี้ (24 ม.ค.) คณะอนุกรรมการสิทธิในทรัพยากรน้ำและแร่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเวทีสัมมนาการเสี่ยงต่อภัยพิบัติและอันตรายจากการพิบัติของเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ขึ้นที่สำนักงาน กสม.โดยมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ตัวแทนจากบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเดิมเข้าร่วม
ดร.ปัญญา จารุศิริ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหว กล่าวว่า จากการศึกษาเก็บข้อมูลรอยเลื่อนที่มีผลกระทบต่อตัวเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งทำร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ครั้งล่าสุด พบข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจมากคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ที่อยู่ในเขตประเทศพม่า เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และมีรอยเลื่อนที่ชัดเจนมาก โดยรอยเลื่อนดังกล่าวจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเข้ามาในเขตประเทศไทย
จากข้อมูลนี้ทำให้วิตกว่า พื้นที่ที่ถูกขนาบด้วยรอยเลื่อนคืออำเภอไทรโยค และสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ติดกับชายแดนพม่าอาจได้รับอันตราย
“เราพบว่าบริเวณดังกล่าวมีชุมชนอยู่ 550 หลังคาเรือน สะพาน 38 แห่ง และอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ อีก 5 แห่ง รวมทั้งเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนเขาแหลม พื้นที่เหล่านี้ต้องได้รับการดูแลพิเศษเรื่องการเตือนภัย และเตรียมแผนอพยพไปสู่ที่ปลอดภัยให้พร้อม”
ด้าน ดร.ปริญญา นุตาลัย นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว กล่าวว่า ก่อนที่เขื่อนศรีนครินทร์จะถูกสร้างขึ้นมานั้น เคยคุยกับวิศวกรชาวญี่ปุ่นสมัยนั้นไม่ได้นำข้อมูลเรื่องแนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวมาพิจารณาในการก่อสร้างเลย สำหรับข้อมูลที่ กฟผ.อ้างอยู่ตลอดเวลาที่มีการถกเถียงเรื่องแผ่นดินไหวแล้วทำให้เขื่อนแตกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเขื่อนนี้สร้างไว้รองรับการไหวของแผ่นดินได้ถึง 7.5 ริกเตอร์นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะในอดีตก่อนสร้างไม่ได้นำเรื่องนี้มาเป็นตัวตั้ง และยังไม่มีความรู้เรื่องแนวรอยเลื่อนเท่ากับปัจจุบัน
“พื้นที่ตามแนวรอยเลื่อน ซึ่งมีเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนเขาแหลม รวมอยู่ด้วยนั้น ถ้าเกิดแผ่นดินไหวใต้เขื่อน ไม่จำเป็นต้องถึง 7.5 ริกเตอร์ เขื่อนก็มีโอกาสแตกอยู่ดี” ดร.ปริญญากล่าว
ขณะที่ นายธำรง ธวัชชัยประชา เปิดเผยว่า ตัวเองเป็นอดีตวิศวกรโยธา กฟผ.ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวิศวกรที่ปรึกษาที่ดูแลรักษาเขื่อนศรีนครินทร์มาตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง และขณะก่อสร้างยอมรับว่ามีความฮึกเหิมอย่างมากที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ มั่นใจระบบการก่อสร้าง และไม่เคยยอมฟังคำทัดทานของใคร โดยเฉพาะอาจารย์ปริญญาที่ค้านมาตลอดว่าอันตรายมากที่สร้างเขื่อนทับแนวรอยเลื่อนที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว
กระทั่งเขื่อนสร้างเสร็จระยะหนึ่ง กฟผ.ให้บริษัทที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกา สวีเดน และแคนาดา ตรวจประเมินเขื่อนจากข้อมูลเรื่องการเกิดแผ่นดินไหว ทั้ง 3 แห่ง สรุปผลออกมาเหมือนกันว่า จ.กาญจนบุรี อาจเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขนาด 7.5-8.0 ริกเตอร์ นั่นคือ มากกว่าที่ กฟผ.ออกแบบเขื่อนไว้ 500-4,000 เท่า และทั้งหมด แนะนำให้ กฟผ.เพิ่มมาตรการเสริมความแข็งแรงของเขื่อน
นายธำรง กล่าวว่า ที่ กฟผ.บอกกับสาธารณะว่าเขื่อนรับแรงไหวของแผ่นดินได้ 7.5 ริกเตอร์นั้นไม่เป็นความจริง เพราะความจริงคือ ตัวเลข 7.5 ริกเตอร์ ที่เขื่อนจะรองรับความเสียหายได้ และจุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวจะต้องห่างจากตัวเขื่อนมากกว่า 250 กิโลเมตร แต่จากข้อมูลใหม่และความรู้ในปัจจุบัน พบว่า แนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวที่มีพลังนั้นอยู่บริเวณเดียวกับที่เขื่อนสร้างอยู่นั่นเอง
บริษัทที่ปรึกษาเหล่านั้นยังระบุอีกว่า หากเขื่อนศรีนครินทร์แตกแล้ว โอกาสที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุม 13 จังหวัด 65 อำเภอ เป็นพื้นที่ถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร หรือราว 4,700,000 ไร่ สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) นั้น น้ำจะไหลมาถึงเขตบางกอกน้อย ตลิ่งชัน ธนบุรี ภาษีเจริญ จอมทอง ราษฎร์บูรณะ และบางขุนเทียน ภายใน 35 ชั่วโมง และ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี จะเจอสภาพหนักสุด คือ น้ำจะไหลสู่ อ.เมือง ภายใน 5 ชั่วโมง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี 11 ชั่วโมง
“สมัยที่ผมอยู่ กฟผ.รู้สึกสำนึกผิดที่มีส่วนร่วมให้เกิดเขื่อนแห่งนี้ขึ้น หลังจากทราบข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายแล้ว จึงเขียนบันทึกขึ้นมา 25 หน้า ขอให้ กฟผ.เปลี่ยนเครื่องวัดระดับน้ำที่ท้ายเขื่อน เพื่อเพิ่มมาตรการเตือนภัย เพราะมาตรวัดล้าสมัยมาก รวมทั้งข้อมูลเรื่องรอยเลื่อนต่างๆ แต่บันทึกดังกล่าวต้องผ่านผู้ใหญ่หลายระดับ ผมพยายามติดตาม แต่กระทั่งออกมาจาก กฟผ.ก็ยังไม่ได้ข่าวว่าบันทึกที่ผมทำขึ้นมานั้นไปอยู่ที่ไหนกับใคร แต่ผมก็สำเนาเอกสารเก็บเอาไว้” นายธำรง กล่าว