xs
xsm
sm
md
lg

เตือนหวัดนก 49 ไวรัสจะกลายพันธุ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากจะกล่าวถึงโรคระบาดที่มาเร็วและแรงที่สุดในเวลานี้ จนทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน และกระตุ้นให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ต้องให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว ก็คงหนีไม่พ้น “โรคไข้หวัดนก” ซึ่งจากเดิมที่พบการระเบิดเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้ได้แพร่เข้าไปในยุโรปเรียบร้อยแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุด ที่ตุรกี เมื่อรัฐบาลตุรกีประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นถึง 14 คนแล้วในเวลาอันรวดเร็ว และในจำนวนนี้มีเด็กเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน

ผู้เชี่ยวชาญต่างทำนายว่า หากการรับมือเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไข้หวัดนกจะลามไปทั่วโลก และเมื่อไหร่ก็ตามที่เชื้อไวรัสหวัดนกกลายพันธุ์กับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีโอกาสเป็นได้สูง เมื่อนั้นโลกจะต้องบันทึกลงหน้าประวัติศาสตร์ ว่า เป็นการระบาดที่น่ากลัว รุนแรง ถึงขั้นเป็นหายนะของโลกทีเดียว

ไข้หวัดนกกับหายนะของโลกเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงแต่อย่างใด!!!

นพ.สมชาย พีระปกรณ์ เจ้าหน้าที่ชำนาญการองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีก หรือไข้หวัดนก ก็คือ โรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีกชนิดหนึ่งนั่นเอง มีสาเหตุมาจากไวรัส H5N1 ซึ่งปกติแล้วจะไม่ระบาดข้ามมายังมนุษย์ แต่พบว่ามีการระบาดของไวรัสดังกล่าวในมนุษย์เป็นครั้งแรกในปี 2540 โดยเริ่มระบาดในสัตว์ปีกในฮ่องกงก่อน แล้วจึงติดต่อข้ามมายังมนุษย์

สำหรับประเทศไทยพบการระบาดในสัตว์ปีกครั้งแรก ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 ทำให้ต้องมีการทำลายไก่ในพื้นที่การระบาดไปกว่า 10 ล้านตัว ก่อนที่จะสามารถหยุดยั้งการระบาดของโรคได้ ประเมินว่า ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลกันอย่างกว้างขวาง คือ ไวรัสอาจเกิดการกลายพันธุ์จนสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้เสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะเกิดการแพร่กระจายของไวรัสดังกล่าวไปทั่วโลกอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

ขณะที่องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนเรื่องการระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดนก และชี้แจงในเชิงฟันธงด้วยซ้ำว่า โรคระบาดร้ายแรงจากเชื้อไวรัสหวัดนกจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่คน ซึ่งน่าจะเริ่มต้นจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทั่วโลกต้องมุ่งโฟกัสที่เอเชียเพื่อยับยั้งภัยนี้

ด้านการศึกษาเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสหวัดนกนั้น ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการศึกษาการเกิดโรคไข้หวัดนก และพัฒนาการตรวจวินิจฉัย ว่า แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป คือ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือหวัดนกนั้นจะมีการกลายพันธุ์อย่างแน่นอน

โดยการศึกษาพบว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เพียง 1-2% เท่านั้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยปกติ แต่ก็ต้องเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเชื้อดังกล่าวไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์อย่างกะทันหันด้วย

นอกจากนี้ ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า ยังต้องมีการเฝ้าระวังเชื้อดังกล่าวไม่ให้เกิดการดื้อยา เนื่องจากปัจจุบันเชื้อไข้หวัดใหญ่ดื้อต่อยาอะแมนตาดีนแล้ว ส่วนยาโอเซลทามีเวียร์ ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่พบการดื้อยา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังศึกษาค้นหาสายพันธุ์เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ดื้อต่อยาต่างๆ โดยสำเร็จไปแล้วกว่า 50% ทำให้สามารถทราบได้ว่าเชื้อใดจะดื้อต่อยาชนิดใด

“หากพบว่าคนไทยดื้อต่อยาโอเซลทามีเวียร์เมื่อใด ก็จะให้หยุดการใช้ยาดังกล่าว แต่ไม่ใช่หันมาใช้ยาอะแมนตาดีนแทน ทั้งนี้ มีการเตรียมยาอีกชนิดหนึ่งเพื่อรองรับคือ ยาซานามีเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ต้องทำการค้นหาสายพันธุ์ต่อไปและต้องเฝ้าระวังควบคู่ดัวย” ศ.นพ.ยง อธิบาย

ต่อกรณีนี้สิ่งที่เป็นโจทย์ใหญ่ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักที่สำคัญในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดนกต้องตีความให้แตก และพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจจะเลวร้ายอย่างถึงที่สุดด้วย

ถามว่า กรมควบคุมโรคประเมินสถานการณ์ของไข้หวัดนกในปี 2549 เป็นอย่างไร และมีการเตรียมพร้อมอย่างไรนั้น

นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ชี้แจงว่า ประเมินว่าสถานการณ์หวัดนกในปี 2549 ไว้หลายแนวทาง โดยประมวลจากคำเตือนของนักวิชาการ นักวิจัย และองค์กรต่างๆ ซึ่งล้วนออกมาเตือนตรงกันในเรื่องการระบาดใหญ่และการกลายพันธุ์ แต่จากมาตรการรับมือของกรมควบคุมโรค เชื่อว่า จะควบคุมสถานการณ์ได้

ทั้งนี้ ในปี 2549 ทางกรมควบคุมโรคได้มีความพร้อมในการรับมือกับโรคไข้หวัดนก ด้วยการคงตาม 5 มาตรการ ที่เคยทำมา ในปี 2548 คือ 1.การเฝ้าระวังทั้งเชิงรุกและเชิงรับ 2.สำรองยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการป้องกัน 3.กระบวนการรองรับกรณีมีโรคระบาดครั้งใหญ่ 4.ให้ความรู้และความเข้าใจ 5.บริหารเชิงบูรณาการต้องเข้มข้น การประสานไม่ว่ารัฐหรือเอกชนต้องมีการประสานงานกัน

ในด้านความพร้อมของยาและเวชภัณฑ์นั้น นพ.ธวัช ให้ข้อมูลว่า ในเดือนกันยายน ปี 2549 ทางองค์การเภสัชกรรมจะผลิตยาต้านไวรัส โอเซลทามิเวียร์ อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ปีนี้ประสบความสำเร็จไปแล้ว ซึ่งการตั้งโรงงานผลิตยาเองจะทำให้มีเทคโนโลยีในการผลิต ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก

“อย่างไรก็ตาม สำหรับการเตรียมรับมือโรคระบาดครั้งใหญ่นั้น ต้องมีการเตรียมในเรื่องต่อไปนี้ คือ 1.ต้องผลิตยาต้านไวรัส และวัคซีนไข้หวัดนกที่ใช้ในคน 2.ต้องมีการผลิตวัคซีนไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ ถ้ามีการระบาดเกิดขึ้น 3.ตั้งงบประมาณในการซักซ้อมแผนในแต่ละจังหวัด โดยมีการตั้งงบให้จังหวัดละ 1 แสนบาท ซึ่งสามารถทำการซักซ้อมได้ปีละ 2 ครั้งในงบประมาณที่กำหนดให้ เพราะจะทำให้รู้ว่าเรามีความพร้อมหรือไม่พร้อมต้องมีการซักซ้อม และตั้งหน่วยเฝ้าระวังเคลื่อนที่เร็ว 130 ทีม”

ส่วนกรณีที่มีข่าวเรื่องเชื้อไวรัสหวัดนกดื้อยา 2 ขนาน คือ อะแมนตาดีน และโอเซลทามีเวียร์นั้น นพ.ธวัช ชี้แจงว่า จะมีการควบคุมการใช้ยา ถ้าไม่มีความจำเป็นใช้ หรือใช้ยา ทานยาแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ก็จะเกิดปัญหาการดื้อยาเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ทาง คณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้ออกประกาศการใช้ต้านไวรัสหวัดนกเป็นยาควบคุมพิเศษ การจะนำมาใช้ต้องแพทย์สั่งเท่านั้น

“นอกจากนั้นแล้ว หน่วยวิจัยและพัฒนาต้องคิดค้นยาตัวใหม่ขึ้นมาทดแทนยาโอเซลทามิเวียร์ในการรักษาโรคไข้หวัดนก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีโครงการคิดค้นยาตัวใหม่ขึ้นมา ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับองค์การเภสัชฯ คิดค้นยาไฟตอนวัน ซึ่งเป็นตัวยาสารสกัดจากต้นแมงลักคา ในกรณีถ้ามีการดื้อยาเกิดขึ้น ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาที่ยังไม่เสร็จ แต่ในอนาคตจะมีการนำมารักษาโรคไข้หวัดนก เชื่อว่าจะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพแน่นอน” นพ.ธวัช แจกแจง

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการระบาดของโรคไข้หวัดนกในรอบที่ 3 มักจะเริ่มต้นการระบาดเมื่อฤดูหนาวมาเยือน เนื่องจากโรคนี้แพร่ได้ดีในอากาศหนาว และเชื่อกันว่า นกอพยพเป็นตัวการนำเชื้อมา จนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยหวัดนกในประเทศไทย 22 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 14 ราย ส่วนการระบาดในรอบ 3 ปี 2548 ที่ผ่านมานั้น มีผู้ติดเชื้อหวัดนก 5 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตไป 2 ราย
กำลังโหลดความคิดเห็น