“ชุมชนป้อมมหากาฬ” เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ชานกำแพงพระนครมาตั้งแต่แรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้คนชุมชนเข้ามาอาศัยตั้งถิ่นฐานนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 มีความต่อเนื่องของการดำเนินชีวิตของผู้คนและชุมชนมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น ภายในพื้นที่จึงเต็มไปด้วยวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ชุมชนที่หลากหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนต้นกำเนิดลิเกยุคแรกๆ ของประเทศไทย ชุมชนทำสายรัดประคด ทำเครื่องดนตรีไทย ปั้นฤาษีดัดตน ทำกรงนก เป็นต้น
...ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชนป้อมมหากาฬที่มีมาอย่างยาวนาน กรุงเทพมหานคร(กทม.)ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอำนาจจัดการเรื่องพื้นที่โดยตรงจึงได้จัดทำโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ชุมชนป้อมมหากาฬขึ้นภายใต้แนวความคิด “ชุมชนบ้านไม้โบราณ” แทนการรื้อย้ายชุมชนดังกล่าวออกไปตามแผนพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์
...แม้ว่าสภาพทางกายภาพภายในชุมชนป้อมมหากาฬปัจจุบันจะถูกมองไปในลักษณะไม่สู้ดีนักตามกรอบเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาเมืองสมัยใหม่ที่เน้นความเจริญทางด้านวัตถุประเภท ถนน ทางด่วน และสวนสาธารณะที่ไม่มีคนใช้เป็นด้านหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของพื้นที่นี้ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปก็คือ ความสืบเนื่องของความเป็น “ชุมชนบ้านไม้” ที่อาจจะกล่าวได้ว่าสมบูรณ์มากที่สุดเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของหมู่ตึกสูงใหญ่บนเกาะรัตนโกสินทร์
G>
นงลักษณ์ วรมหาคุณ หรือป้าหมู เล่าว่า ที่นี่มีความเป็นมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าของป้า ซึ่งป้าเองก็อยู่ที่ป้อมมหากาฬมาตั้งแต่เกิดและรักในพื้นที่บริเวณนี้มาก ภายหลังที่ กทม.เข้ามาประสานเพื่อต้องการปรับปรุงพื้นที่ ทางชุมชนจึงทำการการเจรจากับทาง กทม.ขอสิทธิ์แบ่งปันที่อยู่ เพื่อขออยู่ในที่ดินเดิม ซึ่งทางชุมชนเองได้มีข้อตกลงกับ กทม.ว่าจะมีการดูแลพื้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะให้ นอกจากนั้น เมื่อมีการเรียกใช้จากทางราชการก็พร้อมให้ความร่วมมือ หากมีการประชุมต่างๆ ก็จะส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเองต่างก็ดูแลและบำรุงรักษาบ้านเรือนของตนเองเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาบริเวณชุมชน ก็จะได้เห็นบอร์ดเก่าแก่ หนังสือ รูปภาพบางรูปเป็นอาชีพในชุมชน ของเก่าแก่ ทั้งการทำกรงนก หลอมทอง ผู้คนสามารถเดินเข้ามาดูข้อมูลได้ อีกทั้งคนในชุมชนทุกคนสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไปของชุมชนได้
ชุมชนแห่งนี้ยังคงหลงเหลือรูปแบบบ้านเรือนทั้งในยุคที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงการอยู่อาศัยในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ที่คนไทยยังอยู่เรือนไทยใต้ถุนสูง จนมาถึงเรือนไม้ทรงฝรั่งปั้นหยาหรือเรือนแบบขนมปังขิงในสมัยรัชกาลที่ 5-7 ซึ่งสะท้อนรสนิยมแบบตะวันตกที่แพร่หลายในยุคดังกล่าว หรือแม้กระทั่งบ้านไม้ในยุคหลังจากนั้นที่มีอายุ 50 ปีลงมาจนกระทั่งมาถึงบ้านไม้ในสมัยปัจจุบัน
พรเทพ บูรณบูริเดช คณะทำงานชุมชนป้อมมหากาฬ ให้ข้อมูลถึงความเป็นชุมชนในปัจจุบันเพิ่มเติมว่า ชุมชนป้อมมหากาฬตั้งอยู่บนเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 95 ตารางวา แต่เดิมมี 92 หลังคาเรือน ปัจจุบันเหลือเพียง 65 หลังคาเรือนเท่านั้น ที่ลดไปส่วนหนึ่งเนื่องจากพอใจในข้อเสนอของกทม.ที่จัดสรรพื้นที่ให้ บ้างก็ย้ายออกไปอยู่ในที่ของตนเอง ปัจจุบันมีประชากรกว่า 200 คน ซึ่งมีทุกเพศทุกวัยและหลากอาชีพ
“สถานที่ตรงนี้มีบ้านไม้โบราณ หลังหนึ่งมีอายุประมาณ 100-200 ปี ซึ่งในชุมชนเองก็มีกิจกรรมตลอดทุกปีที่ถือเป็นประเพณีสืบทอดกันมาก็คงเป็น การบวงสรวงพ่อปู่ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี อันถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักษ์คุ้มครองชุมชนป้อมมหากาฬมายาวนาน ในวันนั้นชาวบ้านก็จะมาร่วมกันทำอาหารจัดพิธีการต่างๆ จึงถือเป็นการทำบุญชุมชนไปด้วยนอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักศึกษา เครือข่ายชุมชนต่างๆ เข้ามาสอบถามหรือสำรวจพื้นที่ก็ถือว่าเป็นการกระจายวัฒนธรรมสู่ชุมชนอื่นไปในตัว” พี่แตบอกถึงกิจกรรมหลักของชุมชน
..สิ่งสำคัญที่ชาวยึดเหนี่ยวชุมชนนี้ก็คือ คนในชุมชนมีอิสระในการใช้ความคิด โดยกำหนดให้มีการนักประชุมกันทุกสัปดาห์เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งปัญหาการอยู่อาศัย ปัญหาของวัยรุ่น เป็นต้น จากนั้นนำมาร่วมกันแก้ไข นอกจากนั้น ยังปลูกฝังจิตสำนึกกับเยาวชนรุ่นใหม่ให้รักในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนและพร้อมที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ โดยเน้นความเป็นสังคมเดิม จะไม่เป็นแบบบ้านใครบ้านมันเหมือนสังคมกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
“ตอนนี้เราพอเพียงแล้วในการดำรงชีวิต มีการจัดสรรพื้นที่ในการซักผ้า ตากผ้า เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ ถ้าต้องไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีความสามัคคีกันแบบนี้ ถึงแม้จะเห็นว่าพวกเราอยู่ภายใต้กำแพงกั้น แต่เราก็เปิดรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองตลอดเวลา การคมนาคมก็สะดวก เชื่อได้ว่า ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นชุมชนสุดท้ายในเกาะรัตนโกสินทร์เป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้เพื่อเป็นชุมชนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของคนกรุงฯ”หนึ่งในผู้ที่รักชุมชนเสนอมุมมอง
ในส่วนพื้นที่ที่กทม.จัดทำเป็นจะจัดทำเป็นสวนสาธารณะนั้น แต่เดิมเคยทำเป็นที่ว่าง ชาวบ้านจึงได้จัดเป็นสวนชุมชน ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ พืชผลกินได้ไว้แบ่งปันกัน โดยจัดสรรจากเงินชาวบ้านคนละเล็กน้อย มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ในการจัดสวน เช่น การปลูกต้นไม้ ก็จะช่วยกันก่ออิฐแล้วนำดินมาใส่ ซึ่งจะไม่มีการขุดดินอย่างเด็ดขาด และทำปุ๋ยชีวภาพขึ้นใช้เองเพื่อประหยัดงบประมาณ จากนั้นคนในชุมชนร่วมกันดูแลรักษา เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทั้งนี้ เมื่อ กทม.มีนโยบายดังกล่าว คนในชุมชนก็ต้องการที่จะปรับปรุง และดูแลเอง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศส่วนหน้าและเป็นการรักษาบ้านเก่าไว้ ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ที่เป็นบ้านไม้โบราณยังคงมีหลงเหลืออยู่เพียง 6 หลังเท่านั้น
ชุมชนบ้านไม้โบราณคู่สวนสาธารณะ ไม่รื้อชุมชน เพียงแค่ปรับปรุงให้มีสภาพดี บางส่วนก็สร้างใหม่ให้มีความสมดุลกับสวนที่มี ทั้งนี้ เพื่อยึดถือความเป็นชุมชนดั้งเดิมไว้ และควรมีกิจกรรมในสวนเพื่อไม่ให้สวนร้าง ส่วนอาชีพที่เก่าแก่อย่างการหลอมทองก็มีการสอนต่อยังลูกหลานเพื่อเป็นการสืบสานต่อไป เพราะทุกวันนี้คนในชุมชนมีอาชีพหลากหลาย ทั้ง พนักงานบริษัท รับจ้างซักผ้า ค้าขายกรงนกเขา รับราชการ เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายของกทม.คณะกรรมการชุมชนจึงมีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน โดยให้คนในชุมชนนำเงินไม่ต่ำกว่า 50 บาทมาฝากทุกวันอังคาร เป็นการเปิดบัญชีในนามกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนป้อมมหากาฬ มีคณะกรรมการจัดทำบัญชีข้อมูล จากนั้นนำไปฝากธนาคารในทุกวันพุธ เพื่อออมเป็นทุนสำรองช่วยเหลือในเรื่องที่อยู่อาศัยและค่าใช้จ่ายของชุมชน
วิลา งามบริรัตน์ หรือป้านาง เล่าเสริมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนอีกด้วยว่า เดิมป้าเป็นคนต่างจังหวัดแต่สามีอาศัยอยู่ที่ชุมชนป้อมมหากาฬ ป้าจึงย้ายมาอยู่กับสามี ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว ป้านางขายกระเพาะปลาอยู่ฝั่งตรงข้ามชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งอาชีพที่อยู่คู่กับชุมชนป้อมมหากาฬมานานและก็เป็นอาชีพที่ถ่ายทอดมาจากพ่อกับแม่ของสามีป้านางเอง
ป้านาง บอกอีกว่า สมัยก่อนคนในชุมชนมีจำนวนมาก ผู้คนก็มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน อีกทั้งยังร่วมมือกันในการพัฒนาพื้นที่ให้น่าอยู่ละร่วมกันดูแลรักษาอย่างดี ปัจจุบันคนในชุมชนมีอาชีพที่หลากหลายขึ้น ซึ่งแต่ละหลังคาเรือนก็จะออกไปทำงานของตน แต่ผู้ที่ยังอยู่ในชุมชนส่วนใหญ่ก็ยังร่วมมือกันดี
“อยู่ที่นี่ไปไหนมาไหนก็ง่าย เดินทางสะดวก เวลาขายกระเพาะปลาก็แค่ข้ามฝั่งไป เมื่อขายหมดก็กลับมาบ้านโดยไม่ต้องเดินทางไกล เวลามีงานอะไรก็เห็นหมด นอกจากนั้น เวลามีการประชุมหารือต่างๆ คนในชุมชนก็ให้ความร่วมมือดี ช่วยกันรักษาพื้นที่ดูแลทำความสะอาดตามสมควร”
ด้วยเหตุนี้การอนุรักษ์ชุมชนบ้านไม้ป้อมมหากาฬไว้ย่อมเป็นเสมือนการรักษาประวัติศาสตร์การอยู่อาศัยของชาวบ้านที่สำคัญชิ้นหนึ่งของเกาะรัตนโกสินทร์เอาไว้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่จัดแสดงบ้านเรือนไม้โบราณและการอยู่อาศัยของคนไทยในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมาจวบจนกระทั่งร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น หากมีการนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสังคมเมืองปัจจุบันได้ ด้วยการปรับปรุงให้คงอยู่อย่างมั่นคง และเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมให้ดี ก็น่าจะเป็นจุดดึงดูดคนสมัยใหม่ให้มาเรียนรู้ด้วยตนเองได้