ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางการศึกษาที่ยังคงร้อนระอุ แต่บทบาทของ “ครูแนะแนว” แทบจะหายไปจากวงการการศึกษาไทย น้อยครั้งนักที่ครูแนะแนวจะปรากฏเป็นข่าว นักเรียนผู้ปกครองจะพูดถึง หรือมีใครยกย่องให้เกียรติ
กระทั่งขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายการศึกษาชาติลดบทบาทครูแนะแนวลง ทำให้คิดได้ว่า ครูแนะแนวไม่ได้ปิดทองหลังพระ แต่กำลังจะจางหายไปจากระบบการศึกษาไทย
สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สาเหตุอาจมาจากการขาดครูแนะแนว และทางกระทรวงศึกษาให้ความสำคัญครูแนะแนวน้อยกว่าครูที่ขาดแคลน เน้นแสวงหาครูวิชาการมากกว่าหาครูชีวิต รวมทั้งการผลิตครูฝ่ายแนะแนวตามสถาบันได้ลดลง เพราะไม่มีใครอยากเรียน
นอกจากนี้บทบาทของครูแนะแนวยังแคบและทำเฉพาะเรื่องคือ ให้คำปรึกษาเรื่องการเข้าศึกษาต่อมากเกินไป ซึ่งปัจจุบันพ่อแม่ตื่นตัวและมีข้อมูลมากพอที่จะทำบทบาทตรงนี้ได้ เมื่อผู้ปกครองเข้ามาทำหน้าที่นี้มากขึ้น ครูแนะแนวจึงมีบทบาทลดลง
“ส่วนตัวแล้วผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะเชื่อว่าครูแนะแนวยังมีความสำคัญอยู่ แม้ปัญหาเรื่องการศึกษาจะมีอยู่ แต่ปัญหาคุณภาพชีวิตของเด็กอยู่ในยุควิกฤต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครูที่เด็กไว้วางใจและสามารถคุยได้ทุกเรื่อง ถ้าลดครูแนะแนวลงแล้วต่อไปเด็กจะคุยกับใครเวลามีปัญหา นอกจากนี้ อาจทำให้เด็กหันไปปรึกษาเพื่อน ซึ่งเพื่อนไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำไปในทางเหมาะสมได้”
อีกมุมหนึ่งหากครูแนะแนวยังหยุดอยู่กับที่ก็จะค่อยๆ หายไปจากระบบโรงเรียนอย่างแน่นอน ดังนั้น ต้องมีการเปลี่ยนบทบาทครูแนะแนว ให้ทันกับปัญหาของเด็กที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ในสภาพปัจจุบันที่เด็กมีปัญหาสลับซับซ้อน ไม่มีทางออกในโรงเรียนและไม่มีบุคลากรที่ใส่ใจ เด็กยิ่งระห่ำกันใหญ่ ภาพลักษณ์ของครูแนะแนวที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่พยายามเปลี่ยนอะไรบางอย่างในบริบทเดิมๆ ที่ตัวเองทำงานอยู่ สมาคมวิชาชีพด้านครูแนะแนวก็อ่อนแอ ไม่มีบทบาทในการพัฒนาวิชาชีพของตนเอง พัฒนาเด็ก และพัฒนาสังคมต่ำมาก
นอกจากนี้ อ.สมพงษ์ยังให้ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนบทบาทครูแนะแนวว่า ต่อไปครูแนะแนวควรมีลักษณะเป็นสหวิทยาการคือ ต้องเป็นนักปรึกษาที่นอกเหนือจากเรื่องเรียน เช่น เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต ด้านสังคมวิทยามนุษยวิทยา วัฒนธรรม และเพศศึกษา เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องเป็นนักวิจัยที่จัดเก็บข้อมูลของเด็กเข้ามาปรึกษา และสามารถแยกแยะวิเคราะห์ได้ว่าเด็กต้องการอะไร เพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุดและถูกวิธี ต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์ ในการที่จะหาวิธีให้ข้อมูลกับเด็ก สร้างสื่อ ที่สำคัญคือต้องเป็นนักบริหารจัดการในเรื่องของการทำให้เกิดระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับการแก้ไขปัญหา
“ครูแนะแนวควรเน้นเรื่องการเพิ่มทักษะชีวิต การดูแลคุณภาพชีวิตเด็ก ด้วยการพาเด็กออกไปศึกษาและเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมในสังคม ตรงนี้จะทำให้ครูแนะแนวมีความสำคัญ และมีความหมายขึ้น เพราะเชื่อว่าครูแนะแนวทำหน้าที่ได้ดีกว่าครูที่สอนหนังสือที่ไม่ค่อยมีเวลา แสดงว่าครูแนะแนวยังมีความสำคัญต่อเด็กอยู่ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนไปกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการการศึกษา มันถึงถูกจำกัดจากระบบโรงเรียน”
ด้านอาจารย์จุฑารส ตันวงศ์วาล หัวหน้าฝ่ายครูแนะแนว โรงเรียนศึกษานารี เล่าให้ฟังว่า หน้าที่ของครูแนะแนวคือการทำให้เด็กทราบความต้องการของตัวเอง ถ้าไม่มีครูแนะแนวแล้วจะทำให้เด็กรู้จักตัวเองน้อยลงและไม่ถ่องแท้ จนอาจทำให้เด็กตัดสินใจในประเด็นปัญหาผิดพลาด งานแนะแนวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในจิตใจของเด็กๆ เพราะเชื่อว่าในโรงเรียนคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดสำหรับเด็กๆ คือครูแนะแนว
แต่ยังพบปัญหาคือ จำนวนครูแนะแนวมีน้อย ไม่เหมาะสมกับสัดส่วนของจำนวนนักเรียนที่มีมาก ดังนั้นจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครูแนะแนวทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะข้อจำกัดหลายๆ อย่าง
“ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าครูประจำชั้นหรือครูสอนหนังสือจะสามารถทำหน้าที่แทนครูแนะแนวได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วครูประจำชั้นไม่สามารถให้ความไว้วางใจแก่เด็กได้ แม้ว่าจะมีจิตวิทยาการศึกษาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ฝึกทุกวัน จึงไม่มีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำ ทั้งยังไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าหาเด็กที่มีปัญหาและไม่พร้อมที่จะเปิดใจ เมื่อเด็กเกิดปัญหาจึงต้องมาพึ่งครูแนะแนว ในปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา เพื่อน ครอบครัว ครูแนะแนวยังมีความสำคัญทางจิตใจของเด็กอยู่ เพราะเราสามารถทำให้เด็กผ่อนคลายเมื่อเด็กเข้ามาปรึกษา”
นอกจากนี้ยังมีน้องๆ นักเรียนที่มาจากโรงเรียนศึกษานารี มาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายลดครูแนะแนวด้วย
“มินท์” ณัฐนันท์ โลหะญาณจารี นักเรียนชั้นม. 5 บอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะลดครูแนะแนวเพราะครูแนะแนวยังมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการให้ข้อมูลด้านการศึกษาต่อ เพราะเป็นเรื่องที่เด็กอยากรู้ โดยเฉพาะเมื่อใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าห้องแนะแนวบ่อยขึ้น และมีข้อเสนอแนะว่าอยากให้ครูแนะแนวให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน และใกล้ชิดกับเด็กทุกกลุ่ม
ด้าน “เล็ก” กานดา ศรีนอก และ “ซันนี่” ประภาพร จันทรบุตร นักเรียนชั้นม. 3 เล่าให้ฟังว่า ค่อยข้างจะสนิทกับครูแนะแนว เพราะใจดีสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง คิดว่าครูคนอื่นไม่มีเวลาและไม่เข้าใจเราดีเท่าครูแนะแนว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียน แต่มีเพื่อนหลายคนที่เข้ามาปรึกษาเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว การขอทุนการศึกษา เป็นต้น
“ถ้าไม่มีครูแนะแนวแล้วก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาก็จะปรึกษาครูแนะแนวมาโดยตลอด ส่วนตัวแล้วเมื่อเกิดเรื่องขึ้นจะไปปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนก่อน และจะมาปรึกษากับครูแนะแนวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลหรือความคิดที่ได้มาเปรียบเทียบกัน และให้ตัวเองจะเป็นคนตัดสินใจอีกที”
...ถึงตรงนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าครูแนะแนวสูญพันธุ์ไปจากระบบการศึกษา หน้าที่ของโรงเรียนจะเป็นเพียงที่สอนหนังสือ ไม่มีการเรียนรู้ชีวิตที่หลากหลาย จากนี้ไปถ้าครูแนะแนวพยายามเปลี่ยนบทบาทเดิมของตัวเองให้ทันกับสภาพสังคม และการศึกษา รวมถึงตัวปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เชื่อเหลือเกินว่าครูแนะแนวจะยังเป็นที่รักนับถือและได้รับความไว้วางใจจากเด็กๆ ที่สำคัญคือมีพื้นที่ยืนอยู่ในวิชาชีพครูอันเป็นที่รักต่อไปได้อย่างแน่นอน




กระทั่งขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายการศึกษาชาติลดบทบาทครูแนะแนวลง ทำให้คิดได้ว่า ครูแนะแนวไม่ได้ปิดทองหลังพระ แต่กำลังจะจางหายไปจากระบบการศึกษาไทย
สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สาเหตุอาจมาจากการขาดครูแนะแนว และทางกระทรวงศึกษาให้ความสำคัญครูแนะแนวน้อยกว่าครูที่ขาดแคลน เน้นแสวงหาครูวิชาการมากกว่าหาครูชีวิต รวมทั้งการผลิตครูฝ่ายแนะแนวตามสถาบันได้ลดลง เพราะไม่มีใครอยากเรียน
นอกจากนี้บทบาทของครูแนะแนวยังแคบและทำเฉพาะเรื่องคือ ให้คำปรึกษาเรื่องการเข้าศึกษาต่อมากเกินไป ซึ่งปัจจุบันพ่อแม่ตื่นตัวและมีข้อมูลมากพอที่จะทำบทบาทตรงนี้ได้ เมื่อผู้ปกครองเข้ามาทำหน้าที่นี้มากขึ้น ครูแนะแนวจึงมีบทบาทลดลง
“ส่วนตัวแล้วผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะเชื่อว่าครูแนะแนวยังมีความสำคัญอยู่ แม้ปัญหาเรื่องการศึกษาจะมีอยู่ แต่ปัญหาคุณภาพชีวิตของเด็กอยู่ในยุควิกฤต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครูที่เด็กไว้วางใจและสามารถคุยได้ทุกเรื่อง ถ้าลดครูแนะแนวลงแล้วต่อไปเด็กจะคุยกับใครเวลามีปัญหา นอกจากนี้ อาจทำให้เด็กหันไปปรึกษาเพื่อน ซึ่งเพื่อนไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำไปในทางเหมาะสมได้”
อีกมุมหนึ่งหากครูแนะแนวยังหยุดอยู่กับที่ก็จะค่อยๆ หายไปจากระบบโรงเรียนอย่างแน่นอน ดังนั้น ต้องมีการเปลี่ยนบทบาทครูแนะแนว ให้ทันกับปัญหาของเด็กที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ในสภาพปัจจุบันที่เด็กมีปัญหาสลับซับซ้อน ไม่มีทางออกในโรงเรียนและไม่มีบุคลากรที่ใส่ใจ เด็กยิ่งระห่ำกันใหญ่ ภาพลักษณ์ของครูแนะแนวที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่พยายามเปลี่ยนอะไรบางอย่างในบริบทเดิมๆ ที่ตัวเองทำงานอยู่ สมาคมวิชาชีพด้านครูแนะแนวก็อ่อนแอ ไม่มีบทบาทในการพัฒนาวิชาชีพของตนเอง พัฒนาเด็ก และพัฒนาสังคมต่ำมาก
นอกจากนี้ อ.สมพงษ์ยังให้ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนบทบาทครูแนะแนวว่า ต่อไปครูแนะแนวควรมีลักษณะเป็นสหวิทยาการคือ ต้องเป็นนักปรึกษาที่นอกเหนือจากเรื่องเรียน เช่น เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต ด้านสังคมวิทยามนุษยวิทยา วัฒนธรรม และเพศศึกษา เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องเป็นนักวิจัยที่จัดเก็บข้อมูลของเด็กเข้ามาปรึกษา และสามารถแยกแยะวิเคราะห์ได้ว่าเด็กต้องการอะไร เพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุดและถูกวิธี ต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์ ในการที่จะหาวิธีให้ข้อมูลกับเด็ก สร้างสื่อ ที่สำคัญคือต้องเป็นนักบริหารจัดการในเรื่องของการทำให้เกิดระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับการแก้ไขปัญหา
“ครูแนะแนวควรเน้นเรื่องการเพิ่มทักษะชีวิต การดูแลคุณภาพชีวิตเด็ก ด้วยการพาเด็กออกไปศึกษาและเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมในสังคม ตรงนี้จะทำให้ครูแนะแนวมีความสำคัญ และมีความหมายขึ้น เพราะเชื่อว่าครูแนะแนวทำหน้าที่ได้ดีกว่าครูที่สอนหนังสือที่ไม่ค่อยมีเวลา แสดงว่าครูแนะแนวยังมีความสำคัญต่อเด็กอยู่ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนไปกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการการศึกษา มันถึงถูกจำกัดจากระบบโรงเรียน”
ด้านอาจารย์จุฑารส ตันวงศ์วาล หัวหน้าฝ่ายครูแนะแนว โรงเรียนศึกษานารี เล่าให้ฟังว่า หน้าที่ของครูแนะแนวคือการทำให้เด็กทราบความต้องการของตัวเอง ถ้าไม่มีครูแนะแนวแล้วจะทำให้เด็กรู้จักตัวเองน้อยลงและไม่ถ่องแท้ จนอาจทำให้เด็กตัดสินใจในประเด็นปัญหาผิดพลาด งานแนะแนวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในจิตใจของเด็กๆ เพราะเชื่อว่าในโรงเรียนคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดสำหรับเด็กๆ คือครูแนะแนว
แต่ยังพบปัญหาคือ จำนวนครูแนะแนวมีน้อย ไม่เหมาะสมกับสัดส่วนของจำนวนนักเรียนที่มีมาก ดังนั้นจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครูแนะแนวทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะข้อจำกัดหลายๆ อย่าง
“ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าครูประจำชั้นหรือครูสอนหนังสือจะสามารถทำหน้าที่แทนครูแนะแนวได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วครูประจำชั้นไม่สามารถให้ความไว้วางใจแก่เด็กได้ แม้ว่าจะมีจิตวิทยาการศึกษาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ฝึกทุกวัน จึงไม่มีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำ ทั้งยังไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าหาเด็กที่มีปัญหาและไม่พร้อมที่จะเปิดใจ เมื่อเด็กเกิดปัญหาจึงต้องมาพึ่งครูแนะแนว ในปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา เพื่อน ครอบครัว ครูแนะแนวยังมีความสำคัญทางจิตใจของเด็กอยู่ เพราะเราสามารถทำให้เด็กผ่อนคลายเมื่อเด็กเข้ามาปรึกษา”
นอกจากนี้ยังมีน้องๆ นักเรียนที่มาจากโรงเรียนศึกษานารี มาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายลดครูแนะแนวด้วย
“มินท์” ณัฐนันท์ โลหะญาณจารี นักเรียนชั้นม. 5 บอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะลดครูแนะแนวเพราะครูแนะแนวยังมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการให้ข้อมูลด้านการศึกษาต่อ เพราะเป็นเรื่องที่เด็กอยากรู้ โดยเฉพาะเมื่อใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าห้องแนะแนวบ่อยขึ้น และมีข้อเสนอแนะว่าอยากให้ครูแนะแนวให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน และใกล้ชิดกับเด็กทุกกลุ่ม
ด้าน “เล็ก” กานดา ศรีนอก และ “ซันนี่” ประภาพร จันทรบุตร นักเรียนชั้นม. 3 เล่าให้ฟังว่า ค่อยข้างจะสนิทกับครูแนะแนว เพราะใจดีสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง คิดว่าครูคนอื่นไม่มีเวลาและไม่เข้าใจเราดีเท่าครูแนะแนว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียน แต่มีเพื่อนหลายคนที่เข้ามาปรึกษาเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว การขอทุนการศึกษา เป็นต้น
“ถ้าไม่มีครูแนะแนวแล้วก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาก็จะปรึกษาครูแนะแนวมาโดยตลอด ส่วนตัวแล้วเมื่อเกิดเรื่องขึ้นจะไปปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนก่อน และจะมาปรึกษากับครูแนะแนวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลหรือความคิดที่ได้มาเปรียบเทียบกัน และให้ตัวเองจะเป็นคนตัดสินใจอีกที”
...ถึงตรงนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าครูแนะแนวสูญพันธุ์ไปจากระบบการศึกษา หน้าที่ของโรงเรียนจะเป็นเพียงที่สอนหนังสือ ไม่มีการเรียนรู้ชีวิตที่หลากหลาย จากนี้ไปถ้าครูแนะแนวพยายามเปลี่ยนบทบาทเดิมของตัวเองให้ทันกับสภาพสังคม และการศึกษา รวมถึงตัวปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เชื่อเหลือเกินว่าครูแนะแนวจะยังเป็นที่รักนับถือและได้รับความไว้วางใจจากเด็กๆ ที่สำคัญคือมีพื้นที่ยืนอยู่ในวิชาชีพครูอันเป็นที่รักต่อไปได้อย่างแน่นอน