สาธารณสุข เผยผลวิจัย พบว่า นมแม่เป็นสุดยอดอาหารบำรุงสมอง เด็กยิ่งกินนานยิ่งดี โดยหากเด็กได้กินนมแม่อย่างเดียวเป็นเวลา 1 เดือน จะมีระดับไอคิว 99.4 แต่หากกินนาน 9 เดือน ไอคิวจะเพิ่มเป็น 104 แต่ที่ผ่านมาแม่ไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 ไม่ได้ใช้นมแม่เลี้ยงลูก
นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกได้มีนโยบายสนับสนุนให้ทุกประเทศสมาชิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากผลการวิจัยพบว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีสมองไวต่อการรับรู้ สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2 ขวบแรก ซึ่งสมองจะเติบโตเร็วมากที่สุด น้ำนมแม่ยังมีสารอาหารต่างๆ มากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ สารเอเอ ที่ช่วยสร้างเซลล์สมอง เส้นใยประสาทและจอประสาทตา กระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อสมอง ที่ไม่สามารถหาได้จากนมชนิดอื่น และมีโอกาสได้รับเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่า มีหญิงไทยหลังคลอดไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกันตลอด 4 เดือน ส่วนใหญ่จะให้ลูกกินนมผสมด้วย อีกกว่าร้อยละ 70 ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ตามปกติไอคิวของคนปกติ จะอยู่ที่ 90-110 จากการศึกษาในรอบ 4-5 ปีมานี้ พบว่า เด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง จะมีระดับการพัฒนาการและเชาวน์ปัญญา หรือไอคิวดีกว่าเด็กที่กินนมผสม ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศได้ศึกษาเด็ก 3,800 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี พบว่า เด็กที่กินนมแม่นาน 6 เดือน จะมีระดับพัฒนาการดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ และยังพบอีกว่าเด็กที่กินนมแม่นาน จะมีระดับเชาวน์ปัญญาดีกว่ากลุ่มที่เคยกินในระยะสั้นกว่า โดยหากกินนาน 9 เดือน จะมีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ที่ 104 เด็กที่กินนมแม่นาน 1 เดือน ระดับเชาวน์ปัญญาจะอยู่ที่ 99.4 ดังนั้น หากเด็กกินนมแม่นานเท่าใดยิ่งก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อเด็ก
ทั้งนี้ ผลเสียของการไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่า เด็กจะป่วยบ่อย และอาจจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ เด็กที่กินนมแม่จะป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสมประมาณ 2- 7 เท่าตัว ลดโอกาสเกิดโรคลำไส้อักเสบในทารกแรกเกิดได้ถึง 20 เท่า และนมแม่ยังลดโอกาสเกิดโรคท้องเสีย โรคปอดบวม 3-4 เท่า ลดการอักเสบของหูชั้นกลางได้ 4 เท่า ลดโอกาสเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ 4 เท่า ลดโรคภูมิแพ้ 2-7 เท่าตัว รวมทั้งลดโรคเบาหวานได้ 2-4 เท่า ซึ่งจากผลการศึกษาของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ พบว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวตลอด 4 เดือน จะเกิดอาการท้องเสียเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ภายในปี 2549 นี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้หญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกันอย่างน้อย 4 เดือน ในรายที่ไม่มีข้อห้ามเลี้ยงนมแม่ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศทุกแห่งเป็นเขตปลอดนมผง นมขวด และมีนโยบายให้เด็กแรกเกิดอยู่กับแม่ทันที เพื่อให้ดูดนมแม่กระตุ้นต่อมผลิตน้ำนมให้ทำงานเร็วขึ้น โดยจะมีพยาบาลประจำห้องคลอดเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกได้มีนโยบายสนับสนุนให้ทุกประเทศสมาชิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากผลการวิจัยพบว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีสมองไวต่อการรับรู้ สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2 ขวบแรก ซึ่งสมองจะเติบโตเร็วมากที่สุด น้ำนมแม่ยังมีสารอาหารต่างๆ มากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ สารเอเอ ที่ช่วยสร้างเซลล์สมอง เส้นใยประสาทและจอประสาทตา กระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อสมอง ที่ไม่สามารถหาได้จากนมชนิดอื่น และมีโอกาสได้รับเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่า มีหญิงไทยหลังคลอดไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกันตลอด 4 เดือน ส่วนใหญ่จะให้ลูกกินนมผสมด้วย อีกกว่าร้อยละ 70 ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ตามปกติไอคิวของคนปกติ จะอยู่ที่ 90-110 จากการศึกษาในรอบ 4-5 ปีมานี้ พบว่า เด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง จะมีระดับการพัฒนาการและเชาวน์ปัญญา หรือไอคิวดีกว่าเด็กที่กินนมผสม ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศได้ศึกษาเด็ก 3,800 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี พบว่า เด็กที่กินนมแม่นาน 6 เดือน จะมีระดับพัฒนาการดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ และยังพบอีกว่าเด็กที่กินนมแม่นาน จะมีระดับเชาวน์ปัญญาดีกว่ากลุ่มที่เคยกินในระยะสั้นกว่า โดยหากกินนาน 9 เดือน จะมีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ที่ 104 เด็กที่กินนมแม่นาน 1 เดือน ระดับเชาวน์ปัญญาจะอยู่ที่ 99.4 ดังนั้น หากเด็กกินนมแม่นานเท่าใดยิ่งก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อเด็ก
ทั้งนี้ ผลเสียของการไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่า เด็กจะป่วยบ่อย และอาจจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ เด็กที่กินนมแม่จะป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสมประมาณ 2- 7 เท่าตัว ลดโอกาสเกิดโรคลำไส้อักเสบในทารกแรกเกิดได้ถึง 20 เท่า และนมแม่ยังลดโอกาสเกิดโรคท้องเสีย โรคปอดบวม 3-4 เท่า ลดการอักเสบของหูชั้นกลางได้ 4 เท่า ลดโอกาสเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ 4 เท่า ลดโรคภูมิแพ้ 2-7 เท่าตัว รวมทั้งลดโรคเบาหวานได้ 2-4 เท่า ซึ่งจากผลการศึกษาของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ พบว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวตลอด 4 เดือน จะเกิดอาการท้องเสียเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ภายในปี 2549 นี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้หญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกันอย่างน้อย 4 เดือน ในรายที่ไม่มีข้อห้ามเลี้ยงนมแม่ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศทุกแห่งเป็นเขตปลอดนมผง นมขวด และมีนโยบายให้เด็กแรกเกิดอยู่กับแม่ทันที เพื่อให้ดูดนมแม่กระตุ้นต่อมผลิตน้ำนมให้ทำงานเร็วขึ้น โดยจะมีพยาบาลประจำห้องคลอดเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด