xs
xsm
sm
md
lg

สโรชา พรอุดมศักดิ์...รักกลางมรสุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 10....”

ใครที่เป็นแฟนแฟนของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ คงจะคุ้นเคยกับเจ้าของเสียงข้างต้นกันได้เป็นอย่างดี

...เจ้าของเสียงนี้จะเป็นใครเสียไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “สโรชา พรอุดมศักดิ์” ที่รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” นั่นเอง



ถ้าหากถามว่า สโรชาเป็นใครมาจากไหน เรียนจบอะไร มีเส้นทางการทำงานอย่างไร เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหลายคนคงได้รับรู้ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไปแล้วมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้มแข็งในหัวจิตหัวใจที่กล้าหาญต่อกรกับอำนาจมืด และอิทธิพลเถื่อนชนิดที่ผู้ชายอกสามศอกยังต้องปรบมือและลุกขึ้นยืนโค้งคารวะให้อย่างหมดหัวใจเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่มุมหนึ่งที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกันว่า หลายคนคงจะไม่เคยรับรู้และสัมผัสมาก่อน นั่นก็คือเรื่องราวของ “ความรัก” ที่ต้องบอกว่า ไม่แพ้ใครในบรรณพิภพนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีต่อคุณพ่อและคุณแม่ ความรักที่มีต่อหน้าที่การงาน ...และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักกับ “คนที่เธอรัก” และ “เขาก็รักเธอ”

ท่ามกลางมรสุมลูกแล้วลูกเล่าที่พัดกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง ณ วันนี้ คนอย่าง “สโรชา พรอุดมศักดิ์” มีแง่คิดและมุมมองต่อเรื่องความรักอย่างไร พวกเขาเข้าใจเธอ และเธอเข้าใจพวกเขาอย่างไร ...ต้องติดตาม

-1-
คงต้องยอมรับว่า การเดินหน้าทำหน้าที่อย่างปกติของสโรชาในสังคมที่ไม่ปกติ ซึ่งส่งผลทำให้เธอตกเป็นจำเลยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยมูลฟ้องกว่า 1,500 ล้าน เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่มีประสบการณ์และไม่ได้ผ่านการเคี่ยวกรำอย่างเพียงพอ

ยิ่งเมื่อต้องมาพบกับข้อหาร้ายแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพยายามยัดเยียดให้เธอตามใบสั่งของผู้มีอำนาจในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อจะทำให้เธอต้องเข้าห้องขังให้ได้ด้วยแล้ว ยิ่งเสมือนหนึ่งเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่เธอลูกแล้วลูกเล่า

หลายคนคงอยากถามปนความเห็นใจ...ว่า เธอเหนื่อยบ้างหรือเปล่า แล้วเมื่อไรเธอจะหยุด

สโรชาถอนหายใจ พร้อมๆ กับบอกว่า....

เหนื่อยค่ะ เหนื่อยในความที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากการที่เราคิดว่าตอนที่ถูกถอดจากช่อง 9 ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว คงจบแค่นั้น จนกระทั่งมาถูกนายกฯ ฟ้องคดีแรก ก็คิดว่าคงจะจบแค่นั้นแหละ จนกระทั่งมีคดีที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 รวมถึงการพยายามออกหมายจับ โดยเฉพาะเรื่องหมายจับ นี่แบบว่าเคืองมาก

“ทั้งนี้ทั้งนั้น ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่แล้วว่าจุดที่เลวร้ายที่สุดคือโดนจับ เราก็ไม่ได้คุยกันนะว่าสภาพ ณ วันนั้นจะเป็นอย่างไร เอาว่าเมื่อยังไม่ถึงก็เดินต่อไป คุณแม่รับปากว่าในวันที่คุณแม่ไม่ไหวเรื่องสุขภาพ ก็จะบอก แอ้มเองกับคุณพ่อก็เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่า เมื่อไรที่ท่านส่อแววว่าเลวร้ายกว่านี้หรือท่านทรุด แอ้มคงทนไม่ได้ แอ้มยอมรับว่าตรงๆ ว่า คุณแม่คือจุดอ่อนของตัวเอง”

ทั้งนี้ คุณแม่ของสโรชา เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และขณะนี้คุณหมอค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเป็นโรคหัวใจด้วย ซึ่งสโรชาเป็นห่วงคุณแม่ของเธอมาก แต่เธอเชื่อว่าในที่สุดแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันเป็นกรรม ถ้ายอมรับตรงนั้นแล้วก็จะไม่พยายามคิดต่อได้

“แอ้มคงทนไม่ได้ที่แอ้มเดินต่อไปเรื่อยๆ พอหันกลับมาอีกครั้ง แม่เป็นไรไปแล้ว หรือว่าแม่เป็นอัมพาตไป แอ้มรับไม่ได้จริงๆ แอ้มสารภาพจะบอกว่าแอ้มใจเสาะหรืออะไรก็แล้วแต่ พูดตามตรง พูดตามสภาพความเป็นจริง แอ้มยืนยัน ณ เวลานี้ว่าแอ้มเดินต่อไปแน่ๆ ถ้าแอ้มตัวคนเดียว แอ้มไม่ถอยแน่ๆ แต่ ณ วันหนึ่งแอ้มจะถอยก็ต่อเมื่อแม่ขอ หรือแม่แอ้มมีอาการว่าไม่ไหว”

-2-

จากที่เคยเป็นผู้หญิงกล้าหาญไปนั่งทานข้าวคนเดียวในห้าง หรือทำงานเสร็จ 3-4 ทุ่ม ขับรถกลับบ้านคนเดียว แต่ด้วยสภาวะและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพื่อความสบายใจของตัวเธอเอง และคุณพ่อคุณแม่ ทำให้สโรชาไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนดั่งเช่นปกติได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด

...และคนที่ดูแลและเข้าใจเธอเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้น คนรู้ใจของเธอนั่นเอง

เธอเล่าว่า แฟนเข้าใจการทำหน้าที่ของเธอ และช่วงนี้เขาต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ เหนื่อยที่ต้องมารับมาส่ง มาอยู่เป็นเพื่อน ไปไหนมาไหนเป็นเพื่อน พยายามที่จะปลีกตัวมา พยายามหาเวลามา เพื่อที่จะดูแลเธอ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ไม่เพียงแต่ทำให้คนรักของเธอต้องเหนื่อยเป็นพิเศษเท่านั้น หากยังส่งผลกระทบถึงโครงการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคตอีกด้วย เมื่อสโรชาตัดสินใจเลื่อนการแต่งงานออกไปอย่างไม่มีกำหนด

“แอ้มมีความรู้สึกว่าผู้หญิงในช่วงเวลาก่อนที่จะแต่งงาน มันควรจะเป็นช่วงชีวิตที่สดชื่นพอสมควร คือ ควรจะได้ไปลองชุดแต่งงาน ไปเลือกชุด ไปเลือกดอกไม้ เราอยากจะได้งานแบบไหน เราควรจะได้ไปเข้าคอร์ส ไปอาบน้ำแร่-แช่น้ำนม อยู่ในบรรยากาศที่มันแฮปปี้ แล้วก็จะเป็นความทรงจำที่เราจะเก็บไว้ตลอดชีวิต”

เธอเล่าว่า เดิมทีเธอตั้งใจจะแต่งประมาณเดือนกุมภาพันธ์ แต่ ณ เวลานี้เธอเต็มไปด้วยความกังวลและความเครียด จะขึ้นศาล ไม่ขึ้นศาล มีหมายจับไหม จะต้องประกันตัวหรือเปล่า เมื่อกังวลกับเรื่องพวกนี้ เธอจึงไม่มีกะจิตกะใจ และไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจที่จะไปจัดงานแต่งงาน ซึ่งแฟนของเธอก็เข้าใจ บอกว่าเขารอได้ ส่วนจะแต่งหรือไม่แต่งอย่างไรหลังจากนี้คงขึ้นอยู่กับดวง

“เรื่องแต่งงานตอนแรกคนเข้าใจว่าเขาเป็นฝ่ายเลื่อนแอ้ม หลังที่เกิดเรื่อง เขาเล่าให้ฟังว่าเขาไปเห็นในอินเทอร์เน็ต มีคนประณามเขาว่าถ้ามีแฟนอย่างนี้ก็เลิกๆ กันไปเถอะ เพราะถ้าหากเจอเรื่องแล้วไม่ยอมอยู่เคียงข้าง ก็ไม่ควรเป็นแฟนกัน ไม่ควรแต่งงาน เขาก็บอกว่าคนเข้าใจพี่ผิดมากเลยนะแอ้ม คือแอ้มไม่ได้อธิบายความว่าจริงๆ แล้วแอ้มเป็นฝ่ายขอเขาเลื่อน”

สโรชาแย้มถึงชายคู่ใจของเธอเล็กน้อยว่า รู้จักกันและเป็นพี่เป็นน้องกันมานานกว่า 7 ปี จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นลำดับ และตัดสินใจที่จะคบกันในฐานะแฟนเมื่อประมาณปีเศษๆ ที่ผ่านมานี้นี่เอง แต่ขออนุญาตไม่บอกว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

ในความรู้สึกของสโรชา เขาคนนั้นเป็นคนที่เก่ง เป็นคนมีความสามารถ ขณะที่เขาเองก็มองสโรชาเป็นผู้หญิงทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แข็งจนเกินไป มีความอ่อนโยนอ่อนหวานอยู่บ้าง

“มีอะไรหลายอย่างที่มองแล้ว เขาใช้ได้นะ เขาเป็นคนเก่ง จุดเริ่มต้นมาจากตรงนั้น ถึงแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกันคือไปเที่ยวแก๊งเดียวกัน เขาก็เริ่มแสดงอาการว่าสนใจนะ เราก็เริ่มมานั่งคิดว่าเขาผิดปกตินะ จนกระทั่งในที่สุดก็เริ่มมานั่งคิดว่าเออก็เข้าท่าดี”

สำหรับเหตุการณ์ความรักที่สุดแสนประทับใจและทำให้คนทั้งสองไม่ลืมเลือน เกิดขึ้นเมื่อสโรชาได้เดินทางกับพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ เอฟเอ็ม 101 ไปเที่ยวอิตาลี ไปกันประมาณ 20 กว่าคน โดยในระหว่างอยู่หน้าดัวโม่(เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน) เป็นตึกที่สวยสวยงามมากเป็นเหมือนโบสถ์ใหญ่ๆ แสงไฟ แสงสีสวยงาม ได้บรรยากาศจนทำให้ใครคนนั้นของเธอ ขอเธอแต่งงาน

อยู่ดีๆ เขาก็คุกเข่านะ กุมมือเรา อารมณ์เหมือนในหนังเลยค่ะ แล้วก็ประมาณว่าแอ้มแต่งงานกับพี่นะ เราก็มองไปรอบตัวว่าใครมองอยู่หรือเปล่า บอกอายนะลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แอ้มก็ถามเขาว่าเอาจริงเหรอ เขาก็ยืนยัน คุณพ่อคุณแม่แอ้มก็รู้จักเขา เราก็โอเค เราก็เลยบอกงั้นไปหาพ่อแม่แล้วกัน

นอกจากนั้น แอ้มยังเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขว่า มรสุมชีวิตครั้งนี้ดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เป็นโอกาสให้เขาพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก เพราะจริงๆ แล้วต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทำให้เขายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะคนที่เขาคิดจะแต่งงานด้วยนั้นโดนฟ้องถึง 1,500 ล้าน ถ้าผิดขึ้นมาจริงๆ ก็ถึงขั้นล้มละลาย

“เขาก็ได้พูดว่าไม่เป็นไร คือเขาพร้อมที่จะยืนเคียงข้างเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็พร้อมไปไหนไปกัน จะทำอะไรก็ทำ เพราะเขาก็ไม่เคยที่จะบอกว่า แอ้มอย่าทำเลย แอ้มออกมาเถอะ เขาไม่เคยพูดในสิ่งเหล่านั้น เขาก็รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เขาเองก็เคยทำสื่อมาก่อน เขาเองก็ไม่แปลกใจ”

-3-

สำหรับเส้นทางชีวิตในฐานะสื่อสารมวลชนนั้น สโรชายืนยันหนักแน่นว่า คงไม่มีวันเปลี่ยนใจจากอาชีพนี้ ข้อดีของการเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทำให้ตัวเองสามารถรับกับสภาพการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้นและทำให้แกร่งขึ้น จากนี้ไปคงมีน้อยอย่างที่ทำให้ตกใจ

“หลักในการคิดในช่วงเครียด พยายามคิดว่าที่ดีที่สุดคืออะไร ที่แย่ที่สุดคืออะไร ถ้าเราเริ่มรับไอ้ที่แย่ที่สุดได้ ก็เลิกคิดแล้ว จากนั้น ก็ไม่เครียด ตอนที่โดนฟ้องใหม่ๆ นี่ก็คิดว่าเลวร้ายที่สุด คือ ล้มละลาย แอ้มก็คิดว่าไม่เป็นไรเพราะคิดว่าเราเกิดมาแค่ตัว จะจบแค่ตัวก็ไม่เป็นไร ขอให้พอมีกินมีใช้ก็เป็นพอ ไม่ต้องการอะไรมากมาย เมื่อเราเชื่อมั่นว่าเราไม่ผิด เราสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีอคติกับใคร หรือ คิดจะทำร้ายใคร เป็นแค่ทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคสื่อเท่านั้น”

...สุดท้าย สโรชาได้กล่าวถึงและขอบคุณแฟนๆ รายการที่ให้กำลังใจในการทำหน้าที่มาโดยตลอดว่า ถ้าไม่มีกำลังใจที่ส่งเข้ามาคงไม่มั่นใจที่จะเดินต่อไปมากขนาดนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่คนข่าวจะเข้าไปใกล้ชิดกับคนดูได้มากขนาดนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่คนดูให้กำลังใจและส่งกำลังใจให้มากขนาดนี้

เราไม่ใช่ดาราที่คนจะส่งตุ๊กตามาให้ เราไม่ใช่ดาราที่คนจะมาขอลายเซ็น ไม่ใช่ดาราที่คนจะเอารูปไปเก็บหรือไปติด แต่ ณ วันนี้มีคนพับนกมาให้แอ้ม มีคนไรต์ซีดีมาให้ มีคนส่งมะม่วงมาให้ มีคนส่งยาบำรุงมา แล้วก็มอบพระมาเยอะมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละที่เป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ ทำให้แอ้มเดินต่อไป อย่างมั่นใจ”

“ในวันศุกร์หน้า (9 ธันวาคม) คงจะเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่ง คงต้องบอกว่าแอ้มไม่ได้เตรียมอะไรเป็นพิเศษ คงเตรียมงานเหมือนเดิม เตรียมอ่านข้อมูล อ่านอะไรให้มากที่สุด คงต้องรอดูว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรในอาทิตย์หน้ามากกว่า” สโรชาสรุปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

+++ ติดตามเรื่องราวแบบเต็มๆ พร้อมรูปภาพแบบจุใจของเรื่องราวการต่อสู้ของ "สโรชา พรอุดมศักดิ์" ได้ในหนังสือ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" ฉบับวันที่ 6 - 12 ธันวาคม ได้ตามแผงหนังสือทั่วไป พร้อมเรื่องเด่นในฉบับ "กว่าจะมาเป็นเมืองไทยรายสัปดาห์" "บทสัมภาษณ์พิธีกรสายล่อฟ้า-สำราญ รอดเพชร" "เปิดคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ สนธิลั่นศุกร์นี้คำถามใหม่" "ปรากฏการณ์สนธิ ในฐานะที่เป็นข่ว" และ "อุจจาระและอิทธิพลมืดของทักษิณ" ได้แล้ว วันนี้!!! ราคา 10 บาทเท่านั้น +++








รู้จัก”สโรชา”


สโรชาเกิดที่ประเทศไทย แต่ไปโตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จบปริญญาตรีสาขา Broadcasting at The Walter Cronkite School of Journalism and Mass Communication ที่ Arizona State University (ASU) เมื่อปี 1997

หลังฝึกฝนประสบการผู้ประกาศข่าวในประเทศไทยกว่า 3 ปี สโรชาก้าวเข้าสังกัด Media Corp News ของประเทศสิงคโปร์ ในตำแหน่ง Indochina Corresspondent ทาง Channel News Asia (CNA) ซึ่งเผยแพร่ทั่วเอเชียกว่า 16 ประเทศ

ปัจจุบัน สโรชานอกจากจะเป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ คู่กับสนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว เธอยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโครงการ Thailand Outlook Channel สถานีข่าวภาคภาษาอังกฤษแห่งแรกของเมืองไทยที่เผยแพร่ผ่าน 26 ประเทศในเอเชียอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น