“มีบางคนเข้าใจว่า สมัยนี้เป็นเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ใครจะลุกขึ้นมาทำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและกาลเทศะ เช่น การใช้เครื่องมือสื่อสาร “โทรศัพท์มือถือ” ในพื้นที่สาธารณะอย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้อื่น”
ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มักถูกมองและสะท้อนความคิดว่า เป็นเพราะสังคมมีความซับซ้อนและหลากหลายของการดำรงชีวิตเพิ่มมากขึ้น บ้างก็มองว่า ส่วนหนึ่งมาจากความอ่อนแอของผู้คนในสังคมที่ขาดรากขาดหลักในการดำเนินชีวิต หรือในบางความเห็นก็สรุปว่า “คนไทยถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมข้ามชาติ” ก็มี
ส่วนผลวิจัยปัญหาสังคมโดยนักวิชาการได้ระบุว่า “บ้าน วัด โรงเรียน และชุมชนอ่อนแอ”รวมทั้งสื่อขาดความตระหนักและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า แค่เพียงความคิดเห็นของคนที่เกี่ยวข้องในปัญหาสังคม ยังมีความคิดเห็นที่หลากหลาย และแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม หากถูกมองโดยสมาชิกในสังคมในทิศทางที่เพิ่มโอกาสให้กับสังคมมากกว่านำพาวิกฤตและหายนะมาสู่ประเทศชาติ ก็จะเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลต่อแผ่นดินเกิด
ในทางตรงกันข้ามหากมีมุมมองที่เป็นปัจเจกอย่างสุดโต่งโดยสนใจที่กอบโกยความสุขและผลประโยชน์ส่วนตนบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม จนลืมความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความเสื่อมและความหายนะสู่ประเทศชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
การดำเนินชีวิตของคนสมัยนี้นอกจากจะเร่งรีบ รวดเร็วปานติดจรวด ยังพบว่าคนไทยยุคนี้ต้องตกอยู่ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเชิงความคิด และวิถีความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
มีบางคนเข้าใจว่า สมัยนี้เป็นเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ใครจะลุกขึ้นมาทำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล กาลเทศะ และความถูกต้องของสังคม เช่น การใช้เครื่องมือสื่อสาร “โทรศัพท์มือถือ” ในที่ประชุมสัมมนาและพื้นที่สาธารณะอย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้อื่น
แม้แต่ในบางสถานที่ เช่น ห้องรับประทานอาหารตามโรงแรมชั้นนำของกรุงเทพฯ ก็ยังพบเห็นพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของใครบางคนที่มีฐานะทางสังคมส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกให้คนรอบข้างได้ยินได้ฟัง ทั้งๆที่ไม่อยากรับฟัง โดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะและเกรงใจคนรอบข้างจนแอบนึกนินทาในใจอยู่บ่อยครั้ง
วิถีชีวิตของคนไทยที่ผ่านมาจากที่คุ้นเคยกับการทำอาหารรับประทานกับครอบครัวที่บ้าน พบว่าปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยที่ฝากท้องไว้กับร้านอาหารนอกบ้าน เนื่องจากสภาพปัญหาการเดินทางที่จราจรติดขัดหรือไม่ก็มีเหตุทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตเช่นที่ผ่านมาในอดีต
จากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้คนจำนวนมากคุ้นเคยกับประสบการณ์การทานอาหารแบบบุฟเฟต์ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกสรรรับประทานตามใจชอบ ซึ่งก็เป็นความหลากหลายในวัฒนธรรมการบริโภคที่มีให้เลือกตามอัธยาศัยและเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมข้ามชาติ
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ขาดความพอดีในการบริโภคและอีกส่วนหนึ่งก็ขาดความรู้ จึงพบเห็นอาหารเหลือทิ้งตามโต๊ะอาหารอย่างน่าเสียดาย เมื่อหวนคิดถึงคนที่ยากไร้ที่ไม่มีอาหารจะประทังชีวิตในแต่ละวัน และบางครั้งยังพบเห็นการกระทำที่แปลก ดูเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับสุขลักษณะความเป็นอยู่
นอกเหนือจากผู้ใหญ่ที่ชอบใช้บริการข้างต้นแล้วยังพบว่ามีเด็กเล็กๆ ที่ติดสอยพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาร่วมรับประทานอาหารเช่นกัน ธรรมชาติของเด็กมักซุกซนวิ่งเล่นอย่างอิสระซึ่งหากบริเวณที่กล่าวมาเป็นสนามเด็กเล่นก็คงไม่นำมาว่ากล่าวกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็ก เพราะหากพลาดพลั้งวิ่งไปชนผู้ที่ถืออาหารจานร้อนก็อาจเกิดอันตรายขึ้นได้
พ่อแม่และผู้ปกครองบางคนมักตามใจปล่อยให้เด็กวิ่งเล่น หรือปีนป่ายขึ้นไปบนเก้าอี้รบกวนผู้อื่น ล่าสุดก็พบว่าผู้ใหญ่บางคนไม่ใส่ใจในการใช้พื้นที่ของห้องอาหารร่วมกับคนอื่นโดยอุ้มเด็กน้อยที่เริ่มหัดเดินไปยืนบนโต๊ะวางอาหารทั้งๆที่ยังสวมรองเท้าอยู่ เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กและเพื่อเลือกหยิบอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมยิ่ง สามารถทำลายความเจริญอาหารของผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้เคยให้สัมภาษณ์ในสารเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑ ประเด็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมไว้ว่า...
“ประเทศไทยเรามีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนอยู่ทางภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ และภาคกลาง ดังนั้น เมื่อพูดถึงประเทศไทย โดยภูมิประเทศก็แบ่งเป็นสี่ภาค เรามีความหลากหลายในภูมิประเทศ ทางเหนือไม่มีทะเล แต่ทางใต้มีทะเล มีสายลม แสงแดด ภาคกลางเป็นพื้นที่ราบ มีอากาศที่ค่อนข้างจะเย็น ส่วนด้านตะวันออกเฉียงเหนือก็มีแม่น้ำโขง ดังนั้น เพียงแค่การมีภูมิประเทศที่หลากหลายวัฒนธรรมของชุมชนที่รวมกันเป็นคนไทยแต่ดั้งเดิม ก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน
“ดิฉันจึงมองความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ และเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยยอมรับมาตั้งแต่ดั้งเดิม และก็อยู่มาด้วยความผาสุก สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้าง และมีความสามารถในการประยุกต์ความเชื่อ ประยุกต์การกินเรื่องอาหาร ประยุกต์เรื่องของการแต่งกาย และประยุกต์ในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ สังคมไทยที่แท้จริงจึงเป็นสังคมที่เราพัฒนาไปตามกาลเวลา แล้วค่อยๆดูดซับ เปลี่ยนแปลง และปรับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมตัวเองให้พัฒนาตามสิ่งที่ตัวเองได้รับมา
“ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่าวัฒนธรรมไทยมีความหลากหลายนั้นเป็นความจริง และไม่น่าอย่างยิ่งที่ใครจะไปเข้าใจผิด และนึกว่าวัฒนธรรมไทยมีรูปแบบเดียวที่เป็นรูปแบบกรุงเทพฯกำหนด เราเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ แต่เปลี่ยนได้เป็นบางเรื่องเท่านั้น และบางเรื่องก็พัฒนาได้ แต่หลายๆเรื่องถ้าไปเปลี่ยนก็เป็นการฝืนกับธรรมชาติ ดิฉันจึงมองว่าวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ พัฒนาได้ แต่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในทางที่เหมาะสม สอดคล้อง และดีขึ้น มีความสะดวกและทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่ามากขึ้นค่ะ”
...จากสาระข้างต้นจะเป็นกรอบความคิดให้เราเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็พบว่า คนในสังคมจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายนั้นอย่างสับสน ไม่ถูกต้องไม่เข้าใจว่าสิ่งใดควรกระทำหรือไม่พึงกระทำ แต่กลับคิดว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมหมายถึงการมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะประพฤติปฏิบัติตามใจตนเอง ส่งผลให้เกิดปัญหาการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างขาดความสมดุลและความสุขจนกลายเป็นความทุกข์ก็มี
ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มักถูกมองและสะท้อนความคิดว่า เป็นเพราะสังคมมีความซับซ้อนและหลากหลายของการดำรงชีวิตเพิ่มมากขึ้น บ้างก็มองว่า ส่วนหนึ่งมาจากความอ่อนแอของผู้คนในสังคมที่ขาดรากขาดหลักในการดำเนินชีวิต หรือในบางความเห็นก็สรุปว่า “คนไทยถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมข้ามชาติ” ก็มี
ส่วนผลวิจัยปัญหาสังคมโดยนักวิชาการได้ระบุว่า “บ้าน วัด โรงเรียน และชุมชนอ่อนแอ”รวมทั้งสื่อขาดความตระหนักและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า แค่เพียงความคิดเห็นของคนที่เกี่ยวข้องในปัญหาสังคม ยังมีความคิดเห็นที่หลากหลาย และแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม หากถูกมองโดยสมาชิกในสังคมในทิศทางที่เพิ่มโอกาสให้กับสังคมมากกว่านำพาวิกฤตและหายนะมาสู่ประเทศชาติ ก็จะเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลต่อแผ่นดินเกิด
ในทางตรงกันข้ามหากมีมุมมองที่เป็นปัจเจกอย่างสุดโต่งโดยสนใจที่กอบโกยความสุขและผลประโยชน์ส่วนตนบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม จนลืมความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความเสื่อมและความหายนะสู่ประเทศชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
การดำเนินชีวิตของคนสมัยนี้นอกจากจะเร่งรีบ รวดเร็วปานติดจรวด ยังพบว่าคนไทยยุคนี้ต้องตกอยู่ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเชิงความคิด และวิถีความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
มีบางคนเข้าใจว่า สมัยนี้เป็นเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ใครจะลุกขึ้นมาทำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล กาลเทศะ และความถูกต้องของสังคม เช่น การใช้เครื่องมือสื่อสาร “โทรศัพท์มือถือ” ในที่ประชุมสัมมนาและพื้นที่สาธารณะอย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้อื่น
แม้แต่ในบางสถานที่ เช่น ห้องรับประทานอาหารตามโรงแรมชั้นนำของกรุงเทพฯ ก็ยังพบเห็นพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของใครบางคนที่มีฐานะทางสังคมส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกให้คนรอบข้างได้ยินได้ฟัง ทั้งๆที่ไม่อยากรับฟัง โดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะและเกรงใจคนรอบข้างจนแอบนึกนินทาในใจอยู่บ่อยครั้ง
วิถีชีวิตของคนไทยที่ผ่านมาจากที่คุ้นเคยกับการทำอาหารรับประทานกับครอบครัวที่บ้าน พบว่าปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยที่ฝากท้องไว้กับร้านอาหารนอกบ้าน เนื่องจากสภาพปัญหาการเดินทางที่จราจรติดขัดหรือไม่ก็มีเหตุทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตเช่นที่ผ่านมาในอดีต
จากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้คนจำนวนมากคุ้นเคยกับประสบการณ์การทานอาหารแบบบุฟเฟต์ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกสรรรับประทานตามใจชอบ ซึ่งก็เป็นความหลากหลายในวัฒนธรรมการบริโภคที่มีให้เลือกตามอัธยาศัยและเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมข้ามชาติ
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ขาดความพอดีในการบริโภคและอีกส่วนหนึ่งก็ขาดความรู้ จึงพบเห็นอาหารเหลือทิ้งตามโต๊ะอาหารอย่างน่าเสียดาย เมื่อหวนคิดถึงคนที่ยากไร้ที่ไม่มีอาหารจะประทังชีวิตในแต่ละวัน และบางครั้งยังพบเห็นการกระทำที่แปลก ดูเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับสุขลักษณะความเป็นอยู่
นอกเหนือจากผู้ใหญ่ที่ชอบใช้บริการข้างต้นแล้วยังพบว่ามีเด็กเล็กๆ ที่ติดสอยพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาร่วมรับประทานอาหารเช่นกัน ธรรมชาติของเด็กมักซุกซนวิ่งเล่นอย่างอิสระซึ่งหากบริเวณที่กล่าวมาเป็นสนามเด็กเล่นก็คงไม่นำมาว่ากล่าวกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็ก เพราะหากพลาดพลั้งวิ่งไปชนผู้ที่ถืออาหารจานร้อนก็อาจเกิดอันตรายขึ้นได้
พ่อแม่และผู้ปกครองบางคนมักตามใจปล่อยให้เด็กวิ่งเล่น หรือปีนป่ายขึ้นไปบนเก้าอี้รบกวนผู้อื่น ล่าสุดก็พบว่าผู้ใหญ่บางคนไม่ใส่ใจในการใช้พื้นที่ของห้องอาหารร่วมกับคนอื่นโดยอุ้มเด็กน้อยที่เริ่มหัดเดินไปยืนบนโต๊ะวางอาหารทั้งๆที่ยังสวมรองเท้าอยู่ เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กและเพื่อเลือกหยิบอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมยิ่ง สามารถทำลายความเจริญอาหารของผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้เคยให้สัมภาษณ์ในสารเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑ ประเด็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมไว้ว่า...
“ประเทศไทยเรามีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนอยู่ทางภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ และภาคกลาง ดังนั้น เมื่อพูดถึงประเทศไทย โดยภูมิประเทศก็แบ่งเป็นสี่ภาค เรามีความหลากหลายในภูมิประเทศ ทางเหนือไม่มีทะเล แต่ทางใต้มีทะเล มีสายลม แสงแดด ภาคกลางเป็นพื้นที่ราบ มีอากาศที่ค่อนข้างจะเย็น ส่วนด้านตะวันออกเฉียงเหนือก็มีแม่น้ำโขง ดังนั้น เพียงแค่การมีภูมิประเทศที่หลากหลายวัฒนธรรมของชุมชนที่รวมกันเป็นคนไทยแต่ดั้งเดิม ก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน
“ดิฉันจึงมองความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ และเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยยอมรับมาตั้งแต่ดั้งเดิม และก็อยู่มาด้วยความผาสุก สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้าง และมีความสามารถในการประยุกต์ความเชื่อ ประยุกต์การกินเรื่องอาหาร ประยุกต์เรื่องของการแต่งกาย และประยุกต์ในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ สังคมไทยที่แท้จริงจึงเป็นสังคมที่เราพัฒนาไปตามกาลเวลา แล้วค่อยๆดูดซับ เปลี่ยนแปลง และปรับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมตัวเองให้พัฒนาตามสิ่งที่ตัวเองได้รับมา
“ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่าวัฒนธรรมไทยมีความหลากหลายนั้นเป็นความจริง และไม่น่าอย่างยิ่งที่ใครจะไปเข้าใจผิด และนึกว่าวัฒนธรรมไทยมีรูปแบบเดียวที่เป็นรูปแบบกรุงเทพฯกำหนด เราเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ แต่เปลี่ยนได้เป็นบางเรื่องเท่านั้น และบางเรื่องก็พัฒนาได้ แต่หลายๆเรื่องถ้าไปเปลี่ยนก็เป็นการฝืนกับธรรมชาติ ดิฉันจึงมองว่าวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ พัฒนาได้ แต่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในทางที่เหมาะสม สอดคล้อง และดีขึ้น มีความสะดวกและทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่ามากขึ้นค่ะ”
...จากสาระข้างต้นจะเป็นกรอบความคิดให้เราเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็พบว่า คนในสังคมจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายนั้นอย่างสับสน ไม่ถูกต้องไม่เข้าใจว่าสิ่งใดควรกระทำหรือไม่พึงกระทำ แต่กลับคิดว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมหมายถึงการมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะประพฤติปฏิบัติตามใจตนเอง ส่งผลให้เกิดปัญหาการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างขาดความสมดุลและความสุขจนกลายเป็นความทุกข์ก็มี