ชมรมหนี้บัตรเครดิตและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ออกแถลงการณ์เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อบริษัทเงินกู้เรียกไปปรับสัญญา ชี้เท่ากับสมยอมและเหมือนจ่ายเงินกระดาษ ทำให้เสียเปรียบบริษัท แนะให้หยุดจ่ายหนี้ เดินหน้าแจ้งจับต่อข้อหาฉ้อโกงประชาชน ข้องใจท่าทีธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าข้างเจ้าหนี้ทั้งที่กฎหมายรองขัดกับกฎหมายหลัก
ตามที่ได้มีกลุ่มผู้บริโภคร่วมมือกันแจ้งความดำเนินคดีบริษัทอีซี่บายต่อสำนักงานสอบสวนกลาง กองปราบปราม เนื่องจากมีการเก็บดอกเบี้ยผิดกฎหมาย และบริษัทอีซี่บายได้แนะนำให้ผู้บริโภคไปแก้ไขสัญญา ให้ตรงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สามารถคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 28% นั้น วันนี้(27 พ.ย.)ชมรมหนี้บัตรเครดิตและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ออกแถลงการณ์เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อปรับเปลี่ยนสัญญากับทางบริษัท และเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย รีบดำเนินการแก้ไขดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งแนะนำให้ผู้บริโภคที่มีปัญหาหนี้ มาร้องเรียนต่อสำนักงานสอบสวนกลาง กองปราบปรามเพิ่มเติม พร้อมได้เสนอทางออกให้กับผู้บริโภคในเรื่องนี้ดังนี้
หยุดการแก้สัญญาสินเชื่อเงินสดกับบริษัทเงินกู้ทั้งหมด เพราะการแก้ไขสัญญา เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำสัญญาไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค และดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ให้ผู้บริโภคที่มีสัญญาเงินกู้ที่เห็นว่า ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม เบี้ยปรับและอื่น ๆ เกินกฎหมายกำหนด ดำเนินการแก้ปัญหาให้กับตนเอง อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ให้หยุดชำระเงินกู้โดยทันที โดยสามารถรอชำระตามคำพิพากษาของศาล หรือทำจดหมายเป็นทางการขอชำระหนี้กับบริษัทเงินกู้ โดยระบุให้นำเงินค่างวดที่ชำระตามสัญญามาหักชำระเป็นเงินต้น โดยกำหนดให้เจ้าหนี้ตอบรับภายใน 3 วัน หากเจ้าหนี้ปฏิเสธหรือเพิกเฉย ให้นำเงินไปชำระ(วางทรัพย์) กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ หรือ
ให้ลูกหนี้ไปชำระเงินค่างวดตามสัญญา กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ โดยถือเป็นการชำระเงินต้นทั้งหมด ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้เต็มจำนวน ให้นำจำนวนเงินที่ชำระไปแล้ว ไปหักจากเงินต้น และชำระส่วนของเงินต้นที่เหลือ กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ หากลูกหนี้รายใดได้ชำระเท่ากับเงินต้นหรือเกินกว่าแล้ว ให้ลูกหนี้หยุดชำระโดยทันที หากมีการฟ้องร้องในภายหลัง รีบดำเนินการหาทนายความเพื่อสู้คดี รวมทั้งลูกหนี้ต้องเก็บหลักฐานการชำระเงิน หลักฐานการกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยทุกครั้ง
นางสาววรรณวรินทร์ ไกรรักษ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การออกแถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ถูกหลอกซ้ำซาก ทั้งนี้หากให้ลูกหนี้ไปปรับแก้สัญญาใหม่ ทั้งที่สัญญาเดิมยังมีดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายอยู่ และการคิดดอกเบี้ยและเงินต้นในสัญญาเก่าก็ทำอย่างผิดกฎหมาย การเรียกไปปรับสัญญาทั้งที่ยอดหนี้เก่ายังไม่ได้ถูกปรับ ก็เท่ากับไปสมยอมดอกเบี้ยที่จ่ายไป การจ่ายเงินที่ผ่านไปก็เหมือนจ่ายเงินกระดาษนั่นเอง
“ขณะนี้ทางชมรมลูกหนี้บัตรเครดิตและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะนำให้ลูกหนี้หยุดจ่ายหนี้บัตรเครดิตไปก่อน และอยากให้มีการฟ้องคดีเกิดขึ้น แต่ไม่ทราบว่าทางอีซี่บายและพวก non-bank ทั้งหลายจะฟ้องเมื่อไหร่ เพราะหากมีการฟ้องจะมีการคิดดอกเบี้ยถูกต้องตามกฎหมายคือ ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และสำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมายอมรับว่าการคิดดอกเบี้ยที่ร้อยละ 28 ต่อปีถูกต้องตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งได้ทวงถามเรื่องนี้กับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าทำไมกฎหมายรองจึงขัดจากกฎหมายหลัก”
นางสาววรรณวรินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีลูกหนี้ติดต่อเข้ามายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษามากขึ้นวันละไม่ต่ำกว่า 30 ราย แต่ส่วนใหญ่ยังเกรงว่าจะถูกสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารฟ้องกลับ โดยได้ชี้แจง และแนะนำแนวทาง ซึ่งอยากให้ผู้เสียหายออกมาแสดงพลังกันให้มาก ไม่อยากแค่ให้รอ เพราะนี่เป็นเรื่องของเรา ต้องช่วยกัน อยากให้ไปช่วยแจ้งความที่คิดดอกเบี้ยเกินที่กฎหมายกำหนด
“สำหรับสิ่งที่จะดำเนินการต่อจากนี้คือ รอศาลปกครองสูงสุดตัดสินกรณีลูกหนี้ไปร้องการคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด และต่อไปจะดำเนินการในเรื่องของการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน และการปกปิดจำนวนงวดที่ต้องชำระ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ขณะที่ในเรื่องของเครดิตบูโร กำลังจะหาแนวทางที่จะทำยังไงให้ถอนชื่ออกจากเครดิตบูโร เนื่องจากเป็นประวัติเสียหายมาก ทำให้ทำธุรกรรมทางการเงินไม่ได้ เพราะติดหนี้ที่ไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้ากลุ่มนี้”นางสาววรรณวรินทร์กล่าวในที่สุด
ตามที่ได้มีกลุ่มผู้บริโภคร่วมมือกันแจ้งความดำเนินคดีบริษัทอีซี่บายต่อสำนักงานสอบสวนกลาง กองปราบปราม เนื่องจากมีการเก็บดอกเบี้ยผิดกฎหมาย และบริษัทอีซี่บายได้แนะนำให้ผู้บริโภคไปแก้ไขสัญญา ให้ตรงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สามารถคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 28% นั้น วันนี้(27 พ.ย.)ชมรมหนี้บัตรเครดิตและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ออกแถลงการณ์เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อปรับเปลี่ยนสัญญากับทางบริษัท และเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย รีบดำเนินการแก้ไขดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งแนะนำให้ผู้บริโภคที่มีปัญหาหนี้ มาร้องเรียนต่อสำนักงานสอบสวนกลาง กองปราบปรามเพิ่มเติม พร้อมได้เสนอทางออกให้กับผู้บริโภคในเรื่องนี้ดังนี้
หยุดการแก้สัญญาสินเชื่อเงินสดกับบริษัทเงินกู้ทั้งหมด เพราะการแก้ไขสัญญา เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำสัญญาไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค และดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ให้ผู้บริโภคที่มีสัญญาเงินกู้ที่เห็นว่า ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม เบี้ยปรับและอื่น ๆ เกินกฎหมายกำหนด ดำเนินการแก้ปัญหาให้กับตนเอง อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ให้หยุดชำระเงินกู้โดยทันที โดยสามารถรอชำระตามคำพิพากษาของศาล หรือทำจดหมายเป็นทางการขอชำระหนี้กับบริษัทเงินกู้ โดยระบุให้นำเงินค่างวดที่ชำระตามสัญญามาหักชำระเป็นเงินต้น โดยกำหนดให้เจ้าหนี้ตอบรับภายใน 3 วัน หากเจ้าหนี้ปฏิเสธหรือเพิกเฉย ให้นำเงินไปชำระ(วางทรัพย์) กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ หรือ
ให้ลูกหนี้ไปชำระเงินค่างวดตามสัญญา กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ โดยถือเป็นการชำระเงินต้นทั้งหมด ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้เต็มจำนวน ให้นำจำนวนเงินที่ชำระไปแล้ว ไปหักจากเงินต้น และชำระส่วนของเงินต้นที่เหลือ กับสำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี หรือสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศ หากลูกหนี้รายใดได้ชำระเท่ากับเงินต้นหรือเกินกว่าแล้ว ให้ลูกหนี้หยุดชำระโดยทันที หากมีการฟ้องร้องในภายหลัง รีบดำเนินการหาทนายความเพื่อสู้คดี รวมทั้งลูกหนี้ต้องเก็บหลักฐานการชำระเงิน หลักฐานการกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยทุกครั้ง
นางสาววรรณวรินทร์ ไกรรักษ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การออกแถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ถูกหลอกซ้ำซาก ทั้งนี้หากให้ลูกหนี้ไปปรับแก้สัญญาใหม่ ทั้งที่สัญญาเดิมยังมีดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายอยู่ และการคิดดอกเบี้ยและเงินต้นในสัญญาเก่าก็ทำอย่างผิดกฎหมาย การเรียกไปปรับสัญญาทั้งที่ยอดหนี้เก่ายังไม่ได้ถูกปรับ ก็เท่ากับไปสมยอมดอกเบี้ยที่จ่ายไป การจ่ายเงินที่ผ่านไปก็เหมือนจ่ายเงินกระดาษนั่นเอง
“ขณะนี้ทางชมรมลูกหนี้บัตรเครดิตและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะนำให้ลูกหนี้หยุดจ่ายหนี้บัตรเครดิตไปก่อน และอยากให้มีการฟ้องคดีเกิดขึ้น แต่ไม่ทราบว่าทางอีซี่บายและพวก non-bank ทั้งหลายจะฟ้องเมื่อไหร่ เพราะหากมีการฟ้องจะมีการคิดดอกเบี้ยถูกต้องตามกฎหมายคือ ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และสำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมายอมรับว่าการคิดดอกเบี้ยที่ร้อยละ 28 ต่อปีถูกต้องตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งได้ทวงถามเรื่องนี้กับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าทำไมกฎหมายรองจึงขัดจากกฎหมายหลัก”
นางสาววรรณวรินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีลูกหนี้ติดต่อเข้ามายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษามากขึ้นวันละไม่ต่ำกว่า 30 ราย แต่ส่วนใหญ่ยังเกรงว่าจะถูกสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารฟ้องกลับ โดยได้ชี้แจง และแนะนำแนวทาง ซึ่งอยากให้ผู้เสียหายออกมาแสดงพลังกันให้มาก ไม่อยากแค่ให้รอ เพราะนี่เป็นเรื่องของเรา ต้องช่วยกัน อยากให้ไปช่วยแจ้งความที่คิดดอกเบี้ยเกินที่กฎหมายกำหนด
“สำหรับสิ่งที่จะดำเนินการต่อจากนี้คือ รอศาลปกครองสูงสุดตัดสินกรณีลูกหนี้ไปร้องการคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด และต่อไปจะดำเนินการในเรื่องของการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน และการปกปิดจำนวนงวดที่ต้องชำระ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ขณะที่ในเรื่องของเครดิตบูโร กำลังจะหาแนวทางที่จะทำยังไงให้ถอนชื่ออกจากเครดิตบูโร เนื่องจากเป็นประวัติเสียหายมาก ทำให้ทำธุรกรรมทางการเงินไม่ได้ เพราะติดหนี้ที่ไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้ากลุ่มนี้”นางสาววรรณวรินทร์กล่าวในที่สุด
