xs
xsm
sm
md
lg

บุญคุณปูดำ : หัวใจแห่งการอนุรักษ์ที่บางติบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“คนในหมู่บ้านนี้ ตกปูเป็นกันทุกคน เมื่อก่อนออกเรือเที่ยวหนึ่ง ได้เป็นเข่ง คนละ 30-40 กิโลกรัม” เป็นคำบอกเล่าของ ประชา คาวิจิตร ผู้ใหญ่บ้านบางติบ อ.คุระบุรี จ.พังงา ที่หวนรำลึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในหมู่บ้าน โดยเฉพาะปูดำ หรือปูทะเล



ชาวบ้านรุ่นแรกอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านบางติบ ในปี พ.ศ. 2509 ซึ่งแต่เดิมมีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น ป่าไม้แถบนี้ถูกสัมปทานตัดไปเกือบหมด ทำให้ง่ายต่อการบุกเบิกถากถางเป็นที่ทำกิน แต่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนผืนใหญ่ในหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนจึงสามารถยึดการทำประมงเป็นอาชีพหลักได้ ว่ากันว่าเฉพาะปูดำ ก็หาได้มาก จนมีเหลือพอให้พ่อค้ามารับไปส่งขายที่ประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว ผู้ใหญ่ประชาเองก็เป็นหนึ่งในคนรุ่นต่อๆ มาที่ย้ายถิ่นทำมาหากิน มาตามความอุดมสมบูรณ์ จนพูดได้ว่าบ้านที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากอาชีพตกปูดำขายนั่นเอง

แต่บ้านบางติบก็ไม่ต่างกับหมู่บ้านชนบทในที่อื่นๆ ที่หนีไม่พ้นหน้าประวัติศาสตร์ของยุคการทำลายล้างในนามของการพัฒนา

การเพิ่มขึ้นของเครื่องมือประมงชนิดทำลายล้าง ทั้งอวนรุน ยาเบื่อเมา และระเบิดปลา ประกอบกับการให้สัมปทานป่าโกงกาง เพื่อเผาถ่าน ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ปูดำที่เคยจับกันได้อย่างมากมาย ก็เหลือเพียง 2-3 กิโลกรัม หรืออาจไม่ได้เลย จนชาวบ้านหลายคนต้องเลิก เพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่ายในการออกเรือแต่ละเที่ยว บางคนก็หันมาทำสวนจริงจัง

การลดลงของปูดำอย่างน่าใจหาย ทำให้ทุกคนเริ่มหันมามองถึงความสำคัญของระบบนิเวศป่าชายเลนและสภาพแวดล้อม

ผู้ใหญ่ประชาและพรรคพวกจำนวนหนึ่งก็มีความวิตกถึงผลกระทบที่มีมาถึงเรื่องรายได้ และความเป็นอยู่ของชาวบ้าน พอดีกับที่ได้มีโอกาสไปช่วยงานปลูกป่าของ ปตท. ที่หมู่บ้านใกล้เคียง จึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักวิชาการ และนำคำแนะนำกลับมาริเริ่มทำงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลนในหมู่บ้านนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2539

ด้วยความที่เป็นชุมชนมุสลิมซึ่งอยู่กันฉันท์พี่น้อง ทำให้การขอร้องให้ละเลิกการใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างนั้นไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก แม้ว่าอาจจะมีความขัดแย้งกับชาวบ้านหมู่อื่นที่เข้ามาหากินในเขตบ้านบางติบบ้างในระยะแรก แต่การเลือกใช้สันติวิธี ด้วยการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ทำให้ไม่มีความขัดแย้งรุนแรง และเข้าใจกันได้ในที่สุด

ป่าโกงกางที่เคยถูกทำลายไปจากสัมปทานเผาถ่าน ชาวบ้านก็ช่วยกันลงแรงปลูกทดแทน ด้วยแผนงานที่ชัดเจน จนมีประโยคที่คนหมู่บ้านอื่นพูดแซวกันว่า “คนบางติบบ้าปลูกต้นไม้” พร้อมๆ กันนั้น กลุ่มอนุรักษ์ของผู้ใหญ่ประชาก็ช่วยปลูกจิตสำนึก สร้างความเข้าใจในเรื่องของการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ไม่จับตัววัยอ่อน และขอการสนับสนุนเรื่องการฟื้นฟูอาชีพให้กับชาวบ้านจากหน่วยงานภายนอก เพื่อจูงใจให้ชาวบ้านให้ความร่วมมือ

“ข้อดีที่เป็นจุดเด่นของชาวบ้านบางติบ คือเขาเปิดใจยินดีรับฟังคำแนะนำจากคนภายนอกเสมอ บวกกับการมีผู้นำที่เข้มแข็ง สามารถประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ความรู้และความช่วยเหลือจึงหลั่งไหลมาสู่บางติบ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนเพื่อสังคม การจัดตั้งกลุ่มอาชีพ การจัดฝึกอบรม-ดูงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชน และรู้จักใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น” เป็นความเห็นของ กิตติภัต ลาภชูรัต อดีตเจ้าหน้าที่จากสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 17 ซึ่งเคยร่วมงานกับชาวบ้านมาตลอด โดยเป็นหน่วยงานที่ช่วยจัดอบรมหลักสูตรการพัฒนา ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าชายเลน และสอนเพาะชำกล้าไม้

ความร่วมมือที่ทุกคนในหมู่บ้านมีให้อย่างเต็มใจ และผลจากการลงมือทำอย่างจริงจังในหลายๆ ด้าน พร้อมๆ กัน ส่งผลให้สัตว์น้ำในป่าชายเลนเริ่มมีปริมาณมากขึ้น รวมทั้งปูดำด้วย

ในปีพ.ศ. 2544 ผู้ใหญ่ประชาและชุมชนก็ได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ทำงานวิจัยชาวบ้านในหัวข้อ “แนวทางการเพิ่มปริมาณปูดำ โดยพึ่งพาระบบนิเวศป่าโกงกางแบบยั่งยืน”

ผลลัพธ์จากการวิจัยปูดำ กลับมีคุณค่าเกินกว่าคาดคิด เพราะช่วยให้ชุมชนได้เข้าใจถ่องแท้มากขึ้น เมื่อศึกษาถึงสาเหตุการลดลงของปูดำ ทั้งจากสภาพความเสื่อมโทรมของป่าชายเลน การใช้เครื่องมือประมงชนิดทำลายล้าง ปัญหาน้ำเสียจากบ่อกุ้ง ซึ่งจะส่งผลไปถึงสัตว์น้ำอื่นๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อาหาร และสุดท้ายเป็นผลกระทบที่เกิดต่ออาชีพและความเป็นอยู่ของชาวบ้านเอง

ปูดำได้กลายเป็นหัวใจของการถ่ายทอดความรู้ในการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าไปสู่คนรุ่นใหม่ เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้พยายามชักชวนและเปิดโอกาสให้ทุกคนในหมู่บ้านเข้ามามีส่วนร่วม “ต้องสร้างคนรุ่นใหม่ด้วย ไม่ใช่อนุรักษ์แต่ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวผมมองว่าต้องสร้างคน อนุรักษ์คนด้วย เป็นต้นทุนทางสังคมอย่างหนึ่ง”

มานะ วงศ์นา ก็เป็นเด็กหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งที่ผู้ใหญ่ประชาพยายามผลักดันให้ไปเข้าร่วมการอบรมด้านอนุรักษ์ จากสิงห์รถบรรทุกมาดนักเลงที่ไม่สนใจกิจกรรมใดๆ ในชุมชน ปัจจุบันมานะเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มบริหารทรัพยากรชุมชน บ้านบางติบ ที่จัดตั้งขึ้นมาในปีพ.ศ. 2547 ก่อนเหตุการณ์สึนามิ เพื่อเป็นแกนหลักในการดูแลป่าชายเลน ทำงานวิจัยระยะต่อไป และประสานงานให้กลุ่มพัฒนาชาวบ้านทุกๆ กลุ่มในชุมชน

“ทีแรกที่ผู้ใหญ่ให้ไปฝึกอบรม ไม่อยากไปเลย จำใจไปเพราะเกรงใจ แต่พอตอนหลังก็คิดครับว่า บ้านเราเองถ้าเราไม่ช่วยกันรักษาเอาไว้ใครจะมาทำ ตอนตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ทำสวนไม่เป็นเลย มีดพร้านี่วันแรกฟันหักไปเลย ต้องขอเดินตามญาติไปดูว่าเขาทำสวนกันยังไงอยู่ 2 เดือน งานอนุรักษ์นี่เหมือนกัน แต่ก่อนไม่มีความรู้เลย แต่ตอนนี้ผมมีความเชื่อว่า ทุกอย่างเราเริ่มต้นใหม่ได้”

เมื่อสามารถสานต่อแนวคิดการทำงานไปสู่คนรุ่นใหม่ได้อย่างเข้มแข็งแล้ว การต่อยอดโครงการต่างๆ ในหมู่บ้าน และการขยายฐานการอนุรักษ์ให้กว้างไกล ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่ยาก

“การทำงานของเราได้ผลมาก ไม่ใช่เฉพาะในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ชุมชนอื่นๆ ใกล้เคียง ตอนนี้ ก็อยากเอาอย่างการอนุรักษ์อย่างบ้านบางติบ มาขอดูงาน ขอคำแนะนำ เพราะเห็นเรามีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก” ผู้ใหญ่ประชากล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ปัจจุบันนี้ บ้านบางติบ มีพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ที่กว้างขวางถึง 6,000 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดูดซับความรุนแรงของคลื่นสึนามิเอาไว้ ทำให้ทุกคนปลอดภัย และไม่มีความเสียหายมากนัก แม้ว่าปริมาณปูดำและสัตว์น้ำอื่นๆ ยังไม่กลับมามากเหมือนเมื่อครั้งอดีตที่อุดมสมบูรณ์สูงสุด แต่ผลจากการดำเนินงานอนุรักษ์ทรัพยากรตลอด 10 ปี ก็ทำให้ชาวบ้านได้เห็นถึงความสำคัญและเข้าใจความเชื่อมโยงของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ป่าชายเลน ป่าบก การใช้น้ำ การทำสวน ทำประมง ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเกื้อกูล ด้วยมีรากของการใช้ฐานทรัพยากรชุมชนร่วมกัน

ในอนาคตกลุ่มบริหารทรัพยากรชุมชนบ้านบางติบ คาดหวังว่าการวิจัยปูดำ นอกจากจะช่วยให้กลับมามีปูดำอุดมสมบูรณ์เหมือนก่อนแล้ว ยังอาจพัฒนาไปในเชิงพาณิชย์ที่ไม่ก่อให้เกิดการทำลายได้

นอกจากนั้นแผนงานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ก็เป็นสิ่งที่ชุมชนบางติบมีความพร้อม เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งป่าชายเลน น้ำตก สวนเกษตร วัฒนธรรมชาวมุสลิมที่น่าสัมผัส และที่สำคัญคือ อาหารทะเลที่จับกันสดๆ ปลอดสารพิษ รสชาติอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลาดไม่ได้เลย ปูดำบ้านบางติบ
กำลังโหลดความคิดเห็น