ทราบหรือไม่ว่าเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็นเดือนแห่งการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี แต่มีน้อยคนนักที่จะเห็นความสำคัญ แม้ว่าทุกวันนี้ข่าวเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะข่าวข่มขืนที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
และนั่นเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่าสังคมไทยยังไม่ตระหนัก และขาดการเหลียวแลในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
กล่าวสำหรับ “เหยื่อ”ของความรุนแรงแล้ว นอกจากความบอบช้ำทางร่างกายที่มองเห็นได้จากสภาพบาดแผล และร่องรอยความฟกช้ำแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือบาดแผลที่กรีดลึกลงในจิตใจต่างหากที่ยากต่อการเยียวยา ...เหยื่อความรุนแรงเกือบทุกรายต่างรู้สึกหมดคุณค่าในชีวิต
สังคมจึงต้องมีพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงเหล่านี้ ซึ่งมีพื้นที่หนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำมาเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว นั่นคือ “บ้านพักฉุกเฉิน” ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี
เมทีนี พงษ์เวช ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เล่าถึงความช่วยเหลือของบ้านแห่งนี้ว่า บ้านพักฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ประสบปัญหาสารพัดประเภทที่มีอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งการรับสมาชิกของสมาคมฯ เปิดกว้างสำหรับเด็กและสตรีที่เดือดร้อนให้เข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินก่อน หากเป็นกรณีพิการ หรือเป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ระยะสุดท้าย ซึ่งมีองค์กรอื่นๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะทาง และมีประสิทธิภาพในการดูแลได้ดีกว่า ทางสมาคมฯ ก็จำเป็นต้องส่งไปยังสถานที่ที่มีการรักษาเฉพาะทางต่อไป
ทั้งนี้ หากจะแบ่งกลุ่มผู้ถูกกระทำ ซึ่งเข้ามาอาศัยหลบชายคาบ้านพักฉุกเฉินเป็นการชั่วคราว แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่มท้องไม่พร้อม ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด 2.กลุ่มที่ได้รับความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจ ส่วนใหญ่เกิดจากความรุนแรงในครอบครัวและคนใกล้ชิด เช่น การถูกบังคับข่มขืน ถูกบังคับขายบริการทางเพศ เป็นต้น 3.กลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ และ 4.เด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกที่อยู่ในความดูแลของบ้านพักฉุกเฉินเป็นจำนวนกว่า 120 ชีวิต
แม้ว่าบรรยากาศภายในบ้านพักฉุกเฉินจะไม่แตกต่างไปจากโรงพยาบาลมากนัก แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และการให้ความช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจจากเจ้าหน้าที่ในสมาคมฯ ที่ทุกคนมีให้แก่สมาชิก สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้บ้านพักฉุกเฉินเป็น “บ้านพักใจ” ของเด็กและผู้หญิงที่ถูกใช้ความรุนแรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากจุดยืนของสมาคมฯ ที่ต้องการให้สมาชิกสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองหลังประสบกับวิกฤตชีวิต จึงจัดตั้งโครงการส่งเสริมอาชีพให้แก่สมาชิกผู้ที่มีความสนใจศึกษาในด้านต่างๆ เช่น เข้าเรียนในหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. เรียนคอมพิวเตอร์ เรียนทำอาหาร หรือนวดตัว เป็นต้น เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนตนเองระหว่างการรักษาบาดแผล ทั้งทางกายและจิตใจขณะที่พักพิงอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินแห่งนี้
จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อลองสังเกตดูรอบๆ แล้ว เต็มไปด้วยเด็กผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม อายุประมาณ 14-20 ปี กว่า 30 คนกำลังเรียนเย็บปักถักร้อย บ้างก็ฝึกทำอาหารสำหรับลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลก ซึ่งอย่างน้อยก็พอเชื่อมั่นได้ว่า เมื่อก้าวพ้นจากรั้วของบ้านหลังนี้ไปแล้ว พวกเธอจะมีวิชาชีพติดตัวเพื่อใช้สำหรับหารายได้ในอนาคต
เอ (นามสมมติ) คุณแม่ซึ่งยังไม่พ้นวัยรุ่น อายุเพียง 19 ปี เปิดเผยถึงสาเหตุที่ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินว่า เป็นเพราะครอบครัวไม่ยอมรับที่เธอท้องโดยไม่ได้แต่งงานและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซ้ำร้ายผู้ชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกในท้องยังหมางเมินไม่สนใจ เอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านที่จังหวัดปราจีนบุรี กระทั่งได้อ่านเรื่องราวของบ้านพักฉุกเฉินจากนิตยสารฉบับหนึ่ง เธอจึงติดต่อขอเข้ามาลี้ภัยชีวิตที่นี่ชั่วคราว ซึ่งก็ได้รับการดูแลอย่างดี
“เพื่อนๆ ที่มาอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ท้องแล้วแฟนทิ้ง ซึ่งก็รวมหนูด้วย หนูต้องทะเลาะกับพ่อแม่ ต้องออกจากบ้าน ที่สำคัญคือหนูไม่ได้เรียนหนังสือต่อ หนูอยากฝากข้อคิดให้แก่วัยรุ่นที่มีแฟนแล้ว หรือกำลังคิดจะมีว่า อย่าไว้ใจผู้ชายให้มากเกินไป ควรจะคบหาดูใจกันไปนานๆ หนูไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องเป็นแบบหนู และขอฝากไปยังผู้ชายทุกๆ คนว่า ควรรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง สำหรับกิจกรรมที่ร่วมกันทำเป็นประจำทุกวันคือ การเดินออกกำลังกาย แบ่งหน้าที่กันดูแลทำความสะอาดบ้าน เรียนหลักสูตรดูแลเด็กอ่อน”
ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี บอกเล่าถึงกลุ่มหญิงที่ท้องไม่พร้อม ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มใหญ่ของบ้านพักฉุกเฉินว่า เป็นเรื่องสะเทือนใจความรู้สึกตัวเองมาก เพราะเด็กส่วนใหญ่อายุยังน้อย บางคนไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก็สามารถท้องได้ และเกือบทุกคนผ่านการทำแท้งมาหมดแล้ว เพราะไม่กล้าบอกพ่อแม่
“หลายคนไม่มีทางออกและไม่มีที่ไป ทุกวันนี้บ้านพักฉุกเฉินรับดูแลตั้งแต่การให้อาหารและที่พักอาศัย การให้คำปรึกษาทางจิต และทางกฎหมาย การให้การศึกษา รวมถึงการฝึกอาชีพด้วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือสังคมไทยยังมองว่าเรื่องดังกล่าวน่าอาย เพราะท้องทั้งที่ยังไม่แต่งงาน เป็นการปิดพื้นที่ยืนสำหรับคนกลุ่มนี้โดยสิ้นเชิง ซึ่งมันทำให้เกิดความรู้สึกแย่มากในตัวเด็กเองด้วย”
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เมทีนี ให้ความเห็นว่า รัฐต้องมองเห็นประเด็นปัญหาก่อนเป็นเบื้องแรก และต้องหยิบประเด็นดังกล่าวขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ ผลักดันให้เกิดกฎหมาย พระราชบัญญัติความรุนแรงออกมาให้เร็วที่สุด
“ขณะนี้อยากจะรณรงค์ให้ทุกคนเห็นว่าปัญหาความรุนแรงไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสังคม ทุกคนควรจะก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไข วางกลยุทธ์เพื่อยุติความรุนแรงในสังคม ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม เพื่อให้ทุกคนรู้จักเคารพในสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้น และเพื่อให้สิทธิและศักดิ์ศรีของผู้หญิงคงอยู่ในพื้นที่สังคมไทย” เมทีนี กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาความรุนแรงอาจยังไม่เป็นประเด็นสาธารณะ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นปัญหาส่วนตัว แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนทุกภาคส่วน ที่จะต้องร่วมกันกลับไปแก้ไขปัญหาด้วยไม่ใช้ความรุนแรง โดยเริ่มที่ตัวเราเองให้ตระหนักว่าเป็นปัญหาร่วมกัน จุดนี้อาจทำให้ปัญหาความรุนแรงในสังคมลดลงไปได้บ้าง เพราะเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนอยากอยู่ในสังคมที่สงบสุข เป็นห่วงเป็นใย เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพลังใจเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะช่วยรักษาบาดแผลให้แก่เด็กและสตรีที่ถูกกระทำเหล่านั้นให้จางหายไป



และนั่นเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่าสังคมไทยยังไม่ตระหนัก และขาดการเหลียวแลในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
กล่าวสำหรับ “เหยื่อ”ของความรุนแรงแล้ว นอกจากความบอบช้ำทางร่างกายที่มองเห็นได้จากสภาพบาดแผล และร่องรอยความฟกช้ำแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือบาดแผลที่กรีดลึกลงในจิตใจต่างหากที่ยากต่อการเยียวยา ...เหยื่อความรุนแรงเกือบทุกรายต่างรู้สึกหมดคุณค่าในชีวิต
สังคมจึงต้องมีพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงเหล่านี้ ซึ่งมีพื้นที่หนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำมาเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว นั่นคือ “บ้านพักฉุกเฉิน” ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี
เมทีนี พงษ์เวช ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เล่าถึงความช่วยเหลือของบ้านแห่งนี้ว่า บ้านพักฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ประสบปัญหาสารพัดประเภทที่มีอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งการรับสมาชิกของสมาคมฯ เปิดกว้างสำหรับเด็กและสตรีที่เดือดร้อนให้เข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินก่อน หากเป็นกรณีพิการ หรือเป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ระยะสุดท้าย ซึ่งมีองค์กรอื่นๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะทาง และมีประสิทธิภาพในการดูแลได้ดีกว่า ทางสมาคมฯ ก็จำเป็นต้องส่งไปยังสถานที่ที่มีการรักษาเฉพาะทางต่อไป
ทั้งนี้ หากจะแบ่งกลุ่มผู้ถูกกระทำ ซึ่งเข้ามาอาศัยหลบชายคาบ้านพักฉุกเฉินเป็นการชั่วคราว แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่มท้องไม่พร้อม ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด 2.กลุ่มที่ได้รับความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจ ส่วนใหญ่เกิดจากความรุนแรงในครอบครัวและคนใกล้ชิด เช่น การถูกบังคับข่มขืน ถูกบังคับขายบริการทางเพศ เป็นต้น 3.กลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ และ 4.เด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกที่อยู่ในความดูแลของบ้านพักฉุกเฉินเป็นจำนวนกว่า 120 ชีวิต
แม้ว่าบรรยากาศภายในบ้านพักฉุกเฉินจะไม่แตกต่างไปจากโรงพยาบาลมากนัก แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และการให้ความช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจจากเจ้าหน้าที่ในสมาคมฯ ที่ทุกคนมีให้แก่สมาชิก สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้บ้านพักฉุกเฉินเป็น “บ้านพักใจ” ของเด็กและผู้หญิงที่ถูกใช้ความรุนแรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากจุดยืนของสมาคมฯ ที่ต้องการให้สมาชิกสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองหลังประสบกับวิกฤตชีวิต จึงจัดตั้งโครงการส่งเสริมอาชีพให้แก่สมาชิกผู้ที่มีความสนใจศึกษาในด้านต่างๆ เช่น เข้าเรียนในหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. เรียนคอมพิวเตอร์ เรียนทำอาหาร หรือนวดตัว เป็นต้น เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนตนเองระหว่างการรักษาบาดแผล ทั้งทางกายและจิตใจขณะที่พักพิงอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินแห่งนี้
จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อลองสังเกตดูรอบๆ แล้ว เต็มไปด้วยเด็กผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม อายุประมาณ 14-20 ปี กว่า 30 คนกำลังเรียนเย็บปักถักร้อย บ้างก็ฝึกทำอาหารสำหรับลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลก ซึ่งอย่างน้อยก็พอเชื่อมั่นได้ว่า เมื่อก้าวพ้นจากรั้วของบ้านหลังนี้ไปแล้ว พวกเธอจะมีวิชาชีพติดตัวเพื่อใช้สำหรับหารายได้ในอนาคต
เอ (นามสมมติ) คุณแม่ซึ่งยังไม่พ้นวัยรุ่น อายุเพียง 19 ปี เปิดเผยถึงสาเหตุที่ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินว่า เป็นเพราะครอบครัวไม่ยอมรับที่เธอท้องโดยไม่ได้แต่งงานและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซ้ำร้ายผู้ชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกในท้องยังหมางเมินไม่สนใจ เอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านที่จังหวัดปราจีนบุรี กระทั่งได้อ่านเรื่องราวของบ้านพักฉุกเฉินจากนิตยสารฉบับหนึ่ง เธอจึงติดต่อขอเข้ามาลี้ภัยชีวิตที่นี่ชั่วคราว ซึ่งก็ได้รับการดูแลอย่างดี
“เพื่อนๆ ที่มาอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ท้องแล้วแฟนทิ้ง ซึ่งก็รวมหนูด้วย หนูต้องทะเลาะกับพ่อแม่ ต้องออกจากบ้าน ที่สำคัญคือหนูไม่ได้เรียนหนังสือต่อ หนูอยากฝากข้อคิดให้แก่วัยรุ่นที่มีแฟนแล้ว หรือกำลังคิดจะมีว่า อย่าไว้ใจผู้ชายให้มากเกินไป ควรจะคบหาดูใจกันไปนานๆ หนูไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องเป็นแบบหนู และขอฝากไปยังผู้ชายทุกๆ คนว่า ควรรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง สำหรับกิจกรรมที่ร่วมกันทำเป็นประจำทุกวันคือ การเดินออกกำลังกาย แบ่งหน้าที่กันดูแลทำความสะอาดบ้าน เรียนหลักสูตรดูแลเด็กอ่อน”
ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี บอกเล่าถึงกลุ่มหญิงที่ท้องไม่พร้อม ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มใหญ่ของบ้านพักฉุกเฉินว่า เป็นเรื่องสะเทือนใจความรู้สึกตัวเองมาก เพราะเด็กส่วนใหญ่อายุยังน้อย บางคนไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก็สามารถท้องได้ และเกือบทุกคนผ่านการทำแท้งมาหมดแล้ว เพราะไม่กล้าบอกพ่อแม่
“หลายคนไม่มีทางออกและไม่มีที่ไป ทุกวันนี้บ้านพักฉุกเฉินรับดูแลตั้งแต่การให้อาหารและที่พักอาศัย การให้คำปรึกษาทางจิต และทางกฎหมาย การให้การศึกษา รวมถึงการฝึกอาชีพด้วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือสังคมไทยยังมองว่าเรื่องดังกล่าวน่าอาย เพราะท้องทั้งที่ยังไม่แต่งงาน เป็นการปิดพื้นที่ยืนสำหรับคนกลุ่มนี้โดยสิ้นเชิง ซึ่งมันทำให้เกิดความรู้สึกแย่มากในตัวเด็กเองด้วย”
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เมทีนี ให้ความเห็นว่า รัฐต้องมองเห็นประเด็นปัญหาก่อนเป็นเบื้องแรก และต้องหยิบประเด็นดังกล่าวขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ ผลักดันให้เกิดกฎหมาย พระราชบัญญัติความรุนแรงออกมาให้เร็วที่สุด
“ขณะนี้อยากจะรณรงค์ให้ทุกคนเห็นว่าปัญหาความรุนแรงไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสังคม ทุกคนควรจะก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไข วางกลยุทธ์เพื่อยุติความรุนแรงในสังคม ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม เพื่อให้ทุกคนรู้จักเคารพในสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้น และเพื่อให้สิทธิและศักดิ์ศรีของผู้หญิงคงอยู่ในพื้นที่สังคมไทย” เมทีนี กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาความรุนแรงอาจยังไม่เป็นประเด็นสาธารณะ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นปัญหาส่วนตัว แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนทุกภาคส่วน ที่จะต้องร่วมกันกลับไปแก้ไขปัญหาด้วยไม่ใช้ความรุนแรง โดยเริ่มที่ตัวเราเองให้ตระหนักว่าเป็นปัญหาร่วมกัน จุดนี้อาจทำให้ปัญหาความรุนแรงในสังคมลดลงไปได้บ้าง เพราะเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนอยากอยู่ในสังคมที่สงบสุข เป็นห่วงเป็นใย เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพลังใจเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะช่วยรักษาบาดแผลให้แก่เด็กและสตรีที่ถูกกระทำเหล่านั้นให้จางหายไป