-1-
“สะธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสรณา
พ่อแม่แลครูบา เทวดาในราศี
ข้าเจ้าเอา ก ข เข้ามาต่อ ก กา มี
แก้ไขในเท่านี้ ดีมีดีอย่าตรีชา”
สรรพเสียงพร้อมเพรียงของนักเรียนตัวน้อย ที่นั่งประนมมือแต้อยู่ในศาลาที่รายรอบอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดแก้ว ริมฝีปากเล็กขยับเอื้อนสำเนียงใสชัดเจนอย่างตั้งใจ ขณะที่บางคนออกอาการโยกลำตัวตามท่วงทำนองกระแทกกระทั้นเมื่อถึงท่อนสวดบทกาพย์ฉบัง 16 ที่จังหวะจะโคนกระชับฉับไวขึ้น
นักเรียน จำนวน 304 คน จาก 26 จังหวัด ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดภาคกลาง รวมทั้งสิ้น 76 โรงเรียน ถูกแบ่งกลุ่มกระจายเข้านั่งประจำที่ในศาลาราย 12 หลังที่อยู่รอบอุโบสถวัดพระแก้ว เมื่อสวดจบบทได้พักเสียงชั่วครู่ และทันทีที่ครูส่งสัญญาณมือ เสียง “สวดโอ้เอ้วิหารราย”ก็ดังขึ้นพร้อมเพรียงกันอีกครั้งหนึ่ง
การสวดโอ้เอ้วิหารราย ในวันออกพรรษาที่ผ่านมานั้น สำนักพระราชวัง และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ร่วมกันจัดสวดโอ้เอ้วิหารราย ณ ศาลารายบริเวณวัดพระแก้ว เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสครองราชย์ครบ 60 ปี และเพื่อส่งเสริมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณ
สวดโอ้เอ้วิหารราย พุทธประเพณีที่นับวันจะเลือนราง และง่ายดายต่อการสูญหายไปกับกาลเวลา แม้เอ่ยปากถามเอากับคนรุ่นปัจจุบันก็ยากนักที่จะได้คำตอบที่กระจ่างว่าสวดโอ้เอ้วิหารรายคืออะไร “ครูมืด” หรือ อาจารย์ประสาท ทองอร่าม นาฏศิลปินโขน จากกรมศิลปากร ถึงกับบอกว่า การสวดโอ้เอ้วิหารรายได้หายไปจากสังคมไทยแล้ว มีเพียงครูในกรมศิลปากรไม่กี่คนที่สามารถสวดได้ ครูมืดและเพื่อนครูในกรมศิลป์ จึงรวมตัวกันถ่ายทอดวิธีการสวดโอ้เอ้วิหารรายให้กับครูในโรงเรียนสังกัด กทม.และจังหวัดในภาคกลาง เพื่อให้นำไปฝึกสอนเด็ก และให้เด็กๆ ได้มาสวดร่วมกันในวันออกพรรษาที่วัดพระแก้ว
“วัฒนะ บุญจับ” นักอักษรศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้เขียนบอกเล่าถึงการสวดโอ้เอ้วิหารรายเอาไว้ว่า โอ้เอ้วิหารรายมีมาแต่ครั้งอยุธยา เมื่อคราวพระบรมไตรโลกนาถ ทรงอุทิศพระราชวังส่วนหนึ่งให้สถาปนาเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ และโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่งมหาชาติคำหลวงขึ้นเพื่อใช้สวดในอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ์ โดยการณ์ครั้งนั้นมีพระสังฆราชเป็นองค์ประธาน เมื่อแต่งคำหลวงแล้วเสร็จจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝึกซ้อมนักสวดตามวิหารที่รายรอบอุโบสถ และคัดเลือกผู้ที่สวดดี คล่องแคล่ว แม่นยำในอักขระ และทำนอง ขึ้นไปสวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่หัวที่วิหารใหญ่ ส่วนพวกที่ไม่ได้รับคัดเลือกก็ยังคงฝึกสวดกันอยู่ที่ศาลารายเช่นเดิม
“วิหารราย” จึงน่าจะหมายถึง ศาลาราย วิหารราย หรือ พิหารราย นั่นก็คือศาลาโถงที่สร้างขึ้นเป็นหลังๆ เรียงกันเป็นแถวรอบอุโบสถ หรือพระวิหาร ซึ่งศาลาเหล่านี้มักใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก “สวดโอ้เอ้วิหารราย” หรือบางคราถูกเรียกว่า “สวดโอ้เอ้ศาลาราย” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี หนังสือมหาชาติคำหลวงที่ปราชญ์ราชบัณฑิตได้ร่วมกันประดิษฐ์คำสวดขึ้นนั้น ได้กระจัดกระจายสูญหายไปมากเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาถูกข้าศึกตีแตก จวบจนรัชสมัยของราชวงศ์จักรีในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ราชบัณฑิตในสำนักพระราชวังแต่งซ่อมมหาชาติคำหลวงในกัณฑ์ที่สูญหายไป แม้กระนั้นลีลาและเม็ดพราย ท่วงทำนองซึ่งเป็นหัวใจในการสวดที่ถูกเขียนกำกับเอาไว้ในมหาชาติคำหลวง ก็ไม่อาจหาผู้ใดที่กำหนดแบบทำนองสวดได้ใหม่เฉกเช่นต้นฉบับเดิม
-2-
“ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส
ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป
พาราสาวะถี ใครไม่มีปราณีใคร
ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ
ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ
ไล่คว้าผ้าที่คอ อะไรล่อก็เอาไป
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไท
ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา”
กาพย์ “พระไชยสุริยา” ซึ่งเป็นบทสวดโอ้เอ้วิหารรายในปัจจุบันนั้น ถูกนำมาใช้ในการสวดโอ้เอ้วิหารรายครั้งแรกเมื่อสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากการใช้บทสวดมหาชาติคำหลวงมีผู้สนใจฟังน้อย รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนมาใช้กาพย์พระไชยสุริยาสวดทดแทน
ครูมืด เล่าว่า กาพย์พระไชยสุริยานั้น แต่งด้วยกาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และกาพย์สุรางคนางค์ 28 เป็นนิทานสำหรับอ่านที่สุนทรภู่แต่งถวายพระอักษรแก่เจ้าฟ้าชายกลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว พระโอรสในรัชกาลที่ 2 นอกจากจะสอนเรื่องการออกเสียงสะกด แม่ ก กา แม่กด แม่กน แม่เกย ฯลฯ แล้ว เนื้อเรื่องของพระไชยสุริยายังสอนศีลธรรมแก่เด็กอีกด้วย
เนื้อเรื่องย่อของพระไชยสุริยานั้น มีว่า พระไชยสุริยาเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาวัตถี ต่อมาข้าราชการหมกมุ่นในกิเลสไม่อยู่ในศีลในธรรม ฉ้อราษฎร์บังหลวง ราษฎรหันหาไสยศาสตร์ ศาสนาเสื่อม นักปราชญ์ถูกดูหมิ่นดูแคลน ที่สุดก็เกิดอาเพศน้ำเข้าท่วมธานี กระทั่งพระไชยสุริยาพร้อมด้วยพระมเหสีต้องล่องเรือออกจากเมือง ระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ทำให้เรือแตก แต่พระไชยสุริยาและพระมเหสีรอดชีวิตมาพบกับฤาษี พระฤาษีได้ชี้เหตุที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความพินาศ ทำให้พระองค์เกิดความเลื่อมใสในศาสนา และหันมารักษาศีลปฏิบัติธรรมในที่สุด
“การสวดโอ้เอ้วิหารรายนั้น จะสวดในวันเข้าพรรษา กลางพรรษา และออกพรรษา แต่ปัจจุบันหากครูจะนำมาให้เด็กสวดในวันพระ วันภาษาไทย หรือวันอื่นๆ ก็สามารถทำได้ และเป็นการดีด้วย เพราะเด็กจะได้ฝึกออกเสียงคำสะกด ควบกล้ำต่างๆ ได้ถูกต้อง ซึ่งครูตั้งใจว่าจะสืบสานการสวดโอ้เอ้วิหารรายให้มีต่อไปทุกปี”
อาจารย์สมปอง ยิ่งมานะ โรงเรียนวัดวิมุตยาราม กล่าวว่า หลังจากที่มาฝึกอบรมกับครูมืดแล้ว ได้กลับไปฝึกเด็กนักเรียนที่โรงเรียน โดยพิจารณาว่าเด็กคนไหนมีความกระตือรือร้นสนใจในการฝึกสวดก็จะถูกคัดเลือกให้มาร่วมสวดโอ้เอ้วิหารรายที่วัดพระแก้ว นอกจากนี้ ยังจะนำเอาบทสวดโอ้เอ้วิหารรายไปให้เด็กได้ใช้สวดในเย็นวันศุกร์ ซึ่งนักเรียนต้องสวดมนต์ประจำสัปดาห์อยู่แล้ว
“กาพย์เรื่องพระไชยสุริยานั้นสอนเรื่องการออกเสียงการสะกดต่างๆ ซึ่งเด็กเล็ก ป.1-2 อาจจะอ่านหนังสือได้ไม่คล่อง แต่ครูมืดได้ให้แผ่นซีดีการสวดโอ้เอ้วิหารรายไป เราก็นำไปเปิดให้เขาได้ฟังทำนองการอ่านกาพย์แต่ละชนิด เด็กเล็กจะสามารถจำทำนองได้ ท่องได้ในบางบท เมื่อเขาโตขึ้น อ่านหนังสือได้คล่อง การสอนให้เขาสวดจะง่ายขึ้น เพราะทำนองคุ้นหูมาแล้ว แต่การฝึกสวดโอ้เอ้วิหารรายครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกครูฝึกให้กับเด็กที่อ่านหนังสือได้คล่องแล้ว ซึ่งเด็กทุกคนก็ทำได้ดีและสนุก”
เช่นเดียวกับ อาจารย์กรุณา ศรีนันทพันธ์ โรงเรียนผ่องพลอยอนุสรณ์ ที่พาลูกศิษย์มาร่วมสวดที่วัดพระแก้วเช่นกัน บอกว่า เด็กทุกคนสนุก และชอบที่ได้สวดกาพย์พระไชยสุริยา เพราะมีทั้งจังหวะเร็วๆ ที่เด็กจะลงเสียงเอื้อนกระทั้นแข่งกัน และการเอื้อนในบทที่ทำนองช้า ซึ่งการฝึกนักเรียนจะใช้ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนในการฝึก และจะสอนให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปได้ฝึกสวดอย่างต่อเนื่องด้วย
“น้องดิน” เกรียงไกร ญานเนตร นักเรียนชั้น ป.2 จากโรงเรียนวัดวิมุตยาราม ตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มอายว่า ได้มาสวดโอ้เอ้วิหารรายที่วัดพระแก้ว เพราะตัวจริงที่ถูกคัดเลือกไว้ป่วย และชอบที่ได้มาสวดโอ้เอ้ฯ ไม่เคยเบื่อที่ต้องฝึกสวด แม้ตอนแรกจะสวดได้ไม่คล่อง แต่ฝึกบ่อยๆ ก็คล่องขึ้น
ท้ายเล่มหนังสือบทสวดกาพย์พระไชยสุริยาของน้องดิน มีลายเซ็นของครูมืด ศิลปินชั้นครูชื่อดังบันทึกไว้ด้วย แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมของเจ้าตัวที่มีต่อผู้มอบลายเซ็นดังกล่าวให้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ให้มุ่งหน้าเพื่อเรียนรู้ในศิลปะไทยด้วยหัวใจภาคภูมิ