xs
xsm
sm
md
lg

อ่อนไหวในความเป็นเลิศ คู่มือเพื่อเด็กอัจฉริยะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีความหวังที่จะให้ลูกของตัวเองนั้นเติบโตขึ้นเป็นเด็กเก่ง ฉลาด มีไหวพริบ หลายคนอาจพูดว่า หากลูกเป็นเด็กอัจฉริยะได้เลยจะยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวตนแห่งความเป็นเด็กปัญญาเลิศนั้น แสนที่จะเปราะบาง จึงจำเป็นจะต้องอาศัยความรัก ความเข้าใจ ตลอดจนการเอาใจใส่จากคนที่เป็นพ่อแม่ รวมถึงครูอาจารย์ด้วย

ล่าสุด “ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กอัจฉริยะที่มีเพียงไม่กี่คนในประเทศไทยได้ผลิต “คู่มือ” เพื่อให้ความรู้แก่ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ที่มีบุตรหลานและลูกศิษย์เป็นเด็กอัจฉริยะโดยเฉพาะ และกำลังจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

....หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “สำรวจแววอัจฉริยะ”

-1-

ก่อนที่จะพูดถึงตัวหนังสือ อาจารย์อุษณีย์ได้ปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กอัจฉริยะว่า ก่อนอื่นคนเป็นพ่อแม่จะต้องรู้ว่าคำว่า เด็กอัจฉริยะคืออะไร และต้องรู้จักอาการหรือข้อบ่งชี้ทางพฤติกรรมที่จะแสดงสัญญาณความเป็นอัจฉริยะเสียก่อน ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ไม่ใช่เด็กที่มีภาวะบกพร่องหรือพิการ ที่จะเห็นความแตกต่างทางกายภาพได้ชัดเจน

สำหรับเด็กอัจฉริยะปัญญาเลิศนั้น การแสดงออกจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความใส่ใจที่จะสังเกต และความเข้าใจของพ่อแม่ด้วย

"ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กอัจฉริยะนั้น ไม่ใช่เด็กที่มีภาวะบกพร่องพิการ ที่จะเห็นได้ด้วยลักษณะทางกายภาพนั่นคือ เด็กปัญญาเลิศไม่สามารถเห็นได้ชัดเหมือนเด็กพิการที่นับได้ เช่น ตาบอด หูหนวก แขนขาด อันนี้เราจะเห็นได้ชัด แต่สำหรับเด็กอัจฉริยะเราไม่สามารถเห็นได้ว่าเขาหัวใส ปัญญาดี มันเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัว ซึ่งการแสดงออกจะแตกต่างกันออกไป จำเป็นจะต้องเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องสังเกตและมีความรู้ความเข้าใจ”

นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมก็มีส่วนเป็นตัวช่วยกระตุ้น ส่งเสริม หรือทำลายความเป็นอัจฉริยะของเด็กเช่นกัน เช่น บางประเทศอดอยากมาก มีเด็กที่มีปัญญาเลิศ แต่สิ่งแวดล้อมไม่อำนวย เด็กก็ไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงสมอง หรือบางประเทศ หรือบางกลุ่มบางสังคม ไม่ให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือ หรือไม่ให้ลูกคนเล็กเรียนหนังสือ ทำให้เด็กเหล่านั้นไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งทำให้ความเป็นอัจฉริยะถูกละเลยไป

“เราพบมากทีเดียวสำหรับเด็กปัญญาเลิศที่ประสบปัญหาแบบนี้ เช่น ในเคนย่า พ่อแม่บอกว่าลูกคนเล็กนี่เก่งมาก จำวัวจำควายที่เลี้ยงได้ แยกได้ว่าตัวไหน ลูกคนอื่นๆ จำไม่ได้ พ่อแม่เลยให้เลิกเรียนแล้วออกมาช่วยพ่อแม่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หรืออย่างที่จีน ตัวอย่างที่เราไปพบเล่าว่า สมัยเด็กๆ เป็นเด็กที่ฉลาดมาก คิดเลขได้เร็วมาก พ่อแม่เลยให้เลิกเรียนมาช่วยพ่อแม่ค้าขาย เพราะลูกคนอื่นไม่เก่งเท่านี้ ลูกคนอื่นเมื่อโตขึ้นก็ได้เป็นหมอ ทำอาชีพดีๆ ทั้งที่เขาเป็นคนเก่งที่สุดในบ้าน ซึ่งน่าเสียดาย"

-2-

อาจารย์อุษณีย์ ได้กล่าวถึงระบบการศึกษาที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกว่า มีลักษณะคล้ายกับฟาร์มไก่ กล่าวคือไก่ทุกตัวกินข้าวเหมือนกัน กินเวลาเดียวกัน เปรียบได้กับการให้ความรู้ในแต่ละระดับชั้นที่เป็นความรู้ในระดับเดียวกันเท่ากัน เวลาเชือดเหมือนกัน คือปีละ 2 ครั้ง เปรียบกับการสอบกลางเทอม และสอบปลายเทอม ถึงเวลาจะขายไก่ก็เป็นระบบ สามารถดูได้ว่าอยู่ในระดับไหน สามารถรู้ได้เลยว่าอายุเท่านี้ขายได้หรือยัง เสมือนเป็นการคาดการณ์ให้เด็กไว้ล่วงหน้า

ทำให้สามารถเดาระดับชั้นเด็กได้จากการบอกอายุ เช่น หากเด็กบอกว่าอายุ 15 ปี เราจะทราบได้ว่าเด็กคนนี้อยู่ชั้น ม.4 นั่นเป็นเพราะระบบการเรียนแบบฟาร์มไก่ที่ให้เด็กทุกคนทำอะไรเหมือนกันหมด ซึ่งอาจารย์อุษณีย์กล่าวว่าเป็นวิธีที่ผิด เพราะขนาดเด็กธรรมดาที่ได้สุ่มตัวอย่างตรวจสอบ ผลที่ออกมาทำให้ทราบว่าสติปัญญาของเด็กแต่ละคนมีช่วงกว้างห่างกันประมาณ 3 ระดับชั้น

“ขนาดเด็กธรรมดายังห่างกัน 3 ระดับชั้น ถ้าเป็นเด็กอัจฉริยะปัญญาเลิศนี่มันสวิงมากกว่า เพราะความสามารถที่มันซ่อนอยู่ภายในตัวเขา มันทำให้เขามีสมองดีกว่าเด็กอื่นๆ และเมื่อเขาต้องไปเรียนในระบบฟาร์มไก่ที่สอนเหมือนกันหมด จะทำให้เด็กอัจฉริยะบางคนเกิดความเบื่อหน่าย ที่เราจะเห็นว่าออกมาในรูปของการก่อกวน การเดินรอบๆ ห้องยุกยิกอยู่นิ่งไม่ได้ เด็กจีเนียสพวกนี้ครูจะไม่ค่อยรัก เพราะทำอะไรไม่เหมือนกับคนอื่น”

“ถามว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมไม่นิ่ง เพราะว่าเขาเบื่อ ครูสอนในสิ่งที่รู้เรื่องแล้ว เหมือนคนติดยา แต่พวกนี้ติดความรู้ กระหายที่จะได้ความรู้เหมือนกับการหิวอาหาร เด็กอัจฉริยะบางคนอ่านเอนไซโคพีเดีย (สารานุกรม) ทุกเล่ม จำได้หมด พอมีเล่มใหม่ออกมานี่สั่นเลยนะ อาการคนมันอยากอ่าน อยากเสพความรู้ แต่ถ้าเด็กเหล่านี้ไปอยู่ในห้องเรียนเล้าไก่ อยู่ตามอายุร่างกาย ไม่ใช่อายุสมอง”

“พวกนี้จะเบื่อ บางทีเดินว่อนทั่วห้อง อาการเหมือนเด็กไฮเปอร์เพราะยุกยิก แต่จริงๆ เป็นอาการไฮเปอร์เทียมเท่านั้น แต่เมื่อทุกคนไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเด็กเป็นเด็กอัจฉริยะแล้วไปคิดว่าเขาเป็นเด็กสมาธิสั้น หรือโง่ พ่อแม่บางคนไม่เข้าใจคิดว่าลูกมีปัญหาทางจิต พาไปหาหมอ ให้หมอฉีดยาให้ลูกลดอาการกระตือรือร้น ก็เป็นการสกัดกั้นพัฒนาการของความอัจฉริยะไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นกัน”

อาจารย์อุษณีย์ยกตัวอย่างกรณีเด็กอัจฉริยะในประเทศไทยที่ตอนแรกพ่อแม่ไม่เข้าใจว่า เคยพบกรณีตัวอย่างเด็กรายหนึ่ง อายุ 3 เดือน ขณะที่พ่อแม่กำลังนอนดูวิดีโอเทปรายการตลกอยู่นั่นเอง ลูกชายวัย 3 เดือนที่นอนอยู่ในกระด้งเด็ก ก็เกิดหัวเราะคิกคักขึ้นมา และแสดงอาการต่างๆ ที่ทำให้เข้าใจว่าดูโทรทัศน์ได้และเข้าใจความได้อย่างชัดเจน ทำเอาพ่อแม่หันมามองหน้ากันแล้วต้องกระโจนลงเรือนแทบไม่ทัน เนื่องจากคิดว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัยทารกของพวกเขาโดนผีเข้าเสียแล้ว

และกว่าหนูน้อยผู้นี้จะถูกนำตัวมาพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง ก็เล่นเอาแทบจะจับไข้เนื่องจากพ่อแม่พาตระเวนรดน้ำมนต์ไล่ผีวัดแล้ววัดเล่า เป็นต้น

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นชัดถึงความโชคร้ายในความโชคดีของเด็กอัจฉริยะบางคนที่อาการอัจฉริยะแสดงให้เห็นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก และพัฒนาทางร่างกายอื่นๆ ยังไม่สมบูรณ์พร้อม คือเขารู้เรื่องหมดทุกอย่าง แต่พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ จะเกิดภาวะคับข้อง และเมื่อโตขึ้นมาในสภาวะที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ ครูไม่เข้าใจ ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาแล้วไม่เหมือนคนอื่นนั้นเป็นเพราะอะไร
หรือกระทั่งการที่ไปเรียนในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เรียนในระบบฟาร์มไก่ที่ต้องเรียนเหมือนกัน จะทำให้เด็กเหล่านี้เกิดภาวะคับข้อง และโดยส่วนใหญ่เด็กอัจฉริยะจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าเด็กปกติอื่นๆ หากเราเจ็บสัก 1 เด็กอัจฉริยะจะเจ็บสัก 10 ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องระวังให้ดี

“เราไม่พบเด็กปัญญาอ่อนที่พยายามฆ่าตัวตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเราพบเด็กอัจฉริยะปัญญาเลิศที่พยายามฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากความคับข้องอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย” อาจารย์อุษณีย์แจกแจง

-3-

ทีนี้ ก็มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า ประเทศไทยมีเด็กอัจฉริยะอยู่เป็นจำนวนประมาณเท่าใด และศักยภาพความเป็นอัจฉริยะของพวกเขาเหล่านั้นมีมากน้อยแค่ไหนนั้น?

อาจารย์อุษณีย์ ตอบว่าไม่สามารถตอบจำนวนที่แน่นอนได้เพราะยังมีหลายอีกหลายครอบครัวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และทำลายความเป็นอัจฉริยะของลูก และมีอีกไม่น้อยที่ไม่ถึงกับทำลาย แต่ก็ไม่ได้สนับสนุน ทำให้ความอัจฉริยะเหล่านี้ลบเลือนไป แต่ถ้าหากให้กะประมาณอย่างคร่าวๆ แล้วคงมีไม่น้อยกว่า 2 แสนคน ซึ่งใน 2 แสนคนนี้ หากส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอย่างถูกต้องแล้ว เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นกำลังของประเทศที่สำคัญต่อไป

ส่วนศักยภาพในความเป็นอัจฉริยะนั้น มีเด็กบางคนอายุเพียง 4 -5 ขวบ แต่สามารถพูดคุยในเรื่องการเงินกับบุคลากรการธนาคารระดับหัวหน้าสาขาได้อย่างรู้เรื่อง , เด็กอายุ 11 ปีสามารถทำข้อสอบคณิตศาสตร์ระดับปี4 ของคณะศึกษาศาสตร์ สาขาคณิตศาสตร์ได้อย่างสบายๆ หรือบางคนเกิดในสภาพบ้านที่ยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สามารถอ่านออกเขียนได้ อ่านและเขียนภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆได้อีกไม่น้อยกว่า 5 ภาษา เป็นต้น

“อยากฝากไปถึงพ่อแม่ที่พบว่าลูกของตัวเองมีพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่จะเป็นเด็กอัจฉริยะว่า สิ่งที่พ่อแม่จะต้องทำคือต้องเข้าใจลูกมากๆ อย่าไปคาดหวังหรือคิดแทนว่าหากลูกเป็นเด็กอัจฉริยะแล้ว ควรจะเรียนด้านไหนหรือทำอะไร ควรจะเป็นฝ่ายช่วยสนับสนุนในเรื่องที่ลูกสนใจมากกว่าจะคาดหวัง ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความกดดัน และหากลูกได้เกรด 0 ในการสอบยังไม่ต้องตกใจ”

“มีอัจฉริยะจำนวนมากที่สอบตกเนื่องจากเด็กเหล่านี้จะมีวิธีคิดเป็นของตัวเอง หากลูกล้มเหลวในระบบการสอบในโรงเรียนทั่วไปอย่าฟูมฟาย ขอให้ยืนอยู่ข้างๆ ลูก เป็นกำลังใจให้ลูก อย่าไปซ้ำเติมเพราะเด็กเหล่านี้ละเอียดอ่อนมาก และถ้าหากพ่อแม่เอาใจใส่ดูแลและสนับสนุนดีๆ แล้ว โอกาสที่ประเทศไทย จะมีไมเคิล แองเจลโล , วูลฟ์กัง อมาดิอุส โมสาร์ต หรือบิลล์ เกตส์ ก็คงจะไม่เกินความคาดหมาย”

ท้ายที่สุดนี้ อาจารย์อุษณีย์ได้กล่าวถึงหนังสือ “สำรวจแววอัจฉริยะ” ที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนหน้าว่าเป็นหนังสือชุดที่เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ที่มีบุตรหลานและลูกศิษย์เป็นเด็กอัจฉริยะ ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเป็นเด็กปัญญาเลิศ พร้อมชุดแบบทดสอบความเป็นอัจฉริยะในแต่ละด้าน เพื่อใช้ในการค้นหาความสามารถพิเศษของเด็ก อันจะนำไปสู่การส่งเสริมความสามารถของเด็กอย่างเหมาะสมและถูกวิธี

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่คนใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมความเป็นอัจฉริยะของลูก สามารถติดต่อรับคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพ หมายเลขโทรศัพท์ 02-260-2601
กำลังโหลดความคิดเห็น