จากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ วันนี้ ปิยะนุช นาคคง ... กลายเป็นหญิงสาวผู้มากความสามารถ ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันทั้งในฐานะนักพูดชื่อดัง พิธีกรผู้มากฝีมือ ดาราเจ้าบทบาท หรือแม้กระทั่งในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
...และในวันนี้ ... เธอผู้นี้ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง และเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเนื่องจาก เป็นหน้าที่ที่ทำเพราะ "ใจรัก" โดยแท้ นั่นก็คือตำแหน่งผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ของจิ๋ว และนำไปสู่พิพิธภัณฑ์ของจิ๋วสัญจรในท้ายที่สุด
แรงบันดาลใจต่อ “ของจิ๋ว”
"พี่โชคดี เห็นของจิ๋วมาตั้งแต่เกิด แล้วก็โชคดีมากที่มีโอกาสได้เล่น ได้จับ เพราะคุณแม่ไม่หวง ความผูกพันเริ่มขึ้นแบบนั้น ... ขอเล่าย้อนนิดนึง สมัยคุณแม่พี่ (อ.ดรุณีนาถ นาคคง) ยังเป็นเด็ก คุณแม่เป็นลูกแม่ค้าย่านบางลำพู คุณยายพี่ขายขนม คุณแม่พี่ก็ช่วยคุณยายขาย คุณยายมีลูกคนเดียว แม่พี่ไม่มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กวัยเดียวกัน ก็เหงา ทางออกแก้เหงาของคุณแม่ของพี่ก็คือการไปเดินดูของในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปเกือบทุกวัน”
“ตู้ที่คุณแม่ชอบมากที่สุดคือตู้ของจิ๋ว ของเจ้าจอมมารดาเลียม ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 และนั่นเป็นก้าวแรกที่คุณแม่ได้รู้เห็น ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ และหลงรักของจิ๋วเหล่านั้น ยิ่งเมื่อเห็นทุกวัน ไปดูทุกวันก็ยิ่งผูกพัน...” ปิยะนุชกล่าว
และเพียงความผูกพันจากการดูเพียงเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรักความผูกพันกับของจิ๋วเหล่านี้ อ.ดรุณีนาถเริ่มสะสม และยิ่งกว่านั้น...เธอเริ่มอยากจะทำเอง
“สมัยเล็กๆ ได้เห็นคุณแม่พยายามจะผสมแป้งหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อจะให้ออกมาเป็นแป้งสำหรับปั้นขนมปัง แต่ในที่สุดก็มาลงตัวที่สูตรกาว + แป้งข้าวโพด + แป้งขนมปัง + โลชั่น ซึ่งก็เป็นสูตรที่นักปั้นขนมจิ๋ว ต้นไม้จิ๋ว อาหารจิ๋ว และของจิ๋วต่างๆ ในปัจจุบันนี้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย”
และด้วยความที่เป็นคนเก็บความรู้เกี่ยวกับขนมไทยไว้มากมาย อ.ดรุณีนาถจึงได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นผ่านแป้งปั้นออกมาเป็นขนมจิ๋วแบบเหมือนจริงแต่ย่อขนาดไว้ได้อย่างน่ารักน่าชัง ได้ขนมไทยๆ ขนาดจิ๋วประมาณ 50 - 60 ชนิด
สายธารแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
แต่ในระหว่างที่อ.ดรุณีนาถผู้เป็นแม่ กำลังไปได้สวยกับงานอดิเรกชิ้นโปรดอยู่นั้น ด้านดร.อานันท์ นาคคง ผู้เป็นลูกชายคนโตและพี่ชายของปิยะนุช กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ ด้วยทุนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกโจรปล้นบ้านจนหมดเนื้อหมดตัว และที่สำคัญที่สุดคือปริญญานิพนธ์ที่ต้องส่งนั้น อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจรเอาไปด้วย ช่วงนั้นสภาพของครอบครัวเข้าขั้นวิกฤต ส่วนสภาพจิตใจของดร.อานันท์นั้นถึงขั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด เมื่อรู้ตัวว่าต้องกลับประเทศไทยแบบคว้าน้ำเหลว
"ตอนนั้นพี่ชายเข้าขั้นสติแตก เพราะโจรเอาไปหมดแม้กระทั่งจานข้าวยังเอาไป ที่สำคัญคือปริญญานิพนธ์ที่กำลังจะส่งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โจรเอาไปด้วย พี่ชายก็ต้องเก็บข้อมูลใหม่ ทำใหม่ทั้งหมด แต่ทางจุฬาฯ ปฏิเสธไม่ให้อยู่ต่อ นั่นแปลว่าพี่จะต้องกลับบ้านแบบมือเปล่า ไม่ได้อะไรกลับมา ตอนนั้นเขาเครียดมาก ทางบ้านเราก็เครียด แต่เป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของครอบครัวเราที่ขณะนั้นบังเอิญว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จประเทศอังกฤษพอดี และทรงทราบเรื่อง จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวเราอย่างหาที่สุดมิได้ พี่ชายจึงมีโอกาสอีกครั้ง และในที่สุดก็สามารถส่งปริญญานิพนธ์ และนำความรู้กลับมารับใช้บ้านเกิดเมืองนอนได้”
“ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณนี้ คุณแม่ก็สำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง อยากทำขนมจิ๋วถวายตอบแทนพระเมตตาของพระองค์ท่าน จึงเกิดความมุ่งมั่น และออกเดินทางเก็บข้อมูลชนิดเหนือสุดจรดใต้สุด เพื่อปั้นขนมให้ครบ 108 ชนิด เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2535"
แต่ในการเดินทางเก็บข้อมูลในครั้งนั้น อ.ดรุณีนาถกลับได้ข้อมูลขนมไทยมาถึง 1,700 ชนิด จนในที่สุด วันที่ 1 เมษายน 2535 อ.ดรุณีนาถได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายขนมไทยขนาดจิ๋วหลายร้อยชนิดต่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ยังความปลาบปลื้มปีติแก่ตัวเองและครอบครัวด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เป็นวันที่อ.ดรุณีนาถจดจำไปจนชั่วชีวิต
เข้าสู่ยุคของจิ๋วเฟื่องฟู
จนกระทั่งในปี 2536 เมื่อปิยะนุชผู้เป็นลูกสาวเริ่มมีรายการโทรทัศน์เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นรายการที่เอาชื่อมารดาไปตั้งเป็นชื่อรายการ คือรายการ “ดรุณีปี 36” อ.ดรุณีนาถก็เริ่มเปิดสอนการทำขนมไทยจิ๋วผ่านทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก และมีนักเรียนสมัครเข้ามานับพันคน ในยุคนั้นของจิ๋วที่ปั้นจากแป้งขนมไทยกลายเป็นของชำร่วยยอดนิยมและมีมูลค่าสูงมาก
อ.ดรุณีนาถใช้ความรู้ ประสบการณ์ ความประณีต และใจรัก ค่อยๆ ประดิดประดอยของจิ๋วเหล่านี้เรื่อยมากว่าค่อนชีวิต จนสภาพร่างกายและสายตาไม่เอื้ออำนวย จึงรามือลงบ้าง หน้าที่สืบทอดอนุรักษ์ดำรงของจิ๋วเหล่านี้จึงตกอยู่ที่ปิยะนุช...ลูกสาวที่รักและสนใจของจิ๋วมากกว่าลูกคนอื่นๆ
สำหรับปิยะนุชแล้ว หากในรุ่นของมารดา เป็นรุ่นแห่งการเพาะเมล็ดแห่งการฟื้นฟูของจิ๋วเหล่านี้ รุ่นเธอก็มีภารกิจอันยิ่งใหญ่คือการดูแล รดน้ำ พรวนดิน ให้ต้นไม้แห่งความตั้งใจของแม่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง...และในที่สุดเมื่อย่างเข้าปี พ.ศ. 2542 ปิยะนุชก็สามารถสร้างก้าวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของวงการของจิ๋วได้เป็นผลสำเร็จ เธอและพรรคพวกเพื่อนพ้องผู้รักของจิ๋วเช่นเดียวกับเธอ ได้ร่วมมือกันจนสามารถเปิดพิพิธภัณฑ์ของจิ๋วได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซิตี้ บางนา
“แต่วันนี้พิพิธภัณฑ์นี้ไม่อยู่แล้วนะคะ คือต้องบอกก่อนว่า เมืองไทยเรามีพิพิธภัณฑ์มากถึง 729 แห่งทั่วประเทศ เฉพาะกรุงเทพฯ 159 แห่ง แต่ทุกแห่งเงียบเหงา เพราะคนไทยไม่นิยมเดินชมพิพิธภัณฑ์ อาจจะด้วยเพราะไม่เคยปลูกฝังให้รัก ด้วยเพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ข้างบ้านนี่เอง ด้วยเพราะไม่รู้ว่ามีความสำคัญหรือมีความหมายต่อชาติและสังคมอย่างไร ก็เลยไม่ไป ...
จึงมาเป็นของจิ๋วสัญจร
และจากแนวคิดดังนี้เอง โครงการ “ของจิ๋วสัญจร” จึงเกิดขึ้น เพื่อปลุกระดมและสร้างกระแสให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของพิพิธภัณฑ์ ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่ายังมีพิพิธภัณฑ์มากมายทั่วประเทศที่รอคอยการมาเยือนของผู้ชมอยู่อย่างมีความหวัง โดยขณะนี้ปิยะนุชได้นำเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิตของเธอ 5 ล้านบาท มาดำเนินการในโครงการดังกล่าว และนำออกสัญจรไปให้ประชาชนในหลายเขตพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้ชมกัน และอีกไม่นานก็คงจะออกไปยังต่างจังหวัดด้วย
แม้ในวันนี้เธอยังต้องลงเรี่ยวลงแรงกับงานของจิ๋ว แต่เธอก็คิดว่ามันคือความสุข…หลายคนหาว่าเธอบ้าและเพี้ยน …แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงปฏิเสธทุกครั้งที่เธอไปขอความช่วยเหลือ เธอก็ยังคงทำ…อุปสรรคจากองค์กรไม่ได้ทำให้ความฝันอันยิ่งใหญ่ของดวงใจที่รักของเล็กๆ หมดหวัง...ด้วยหวังว่าสักวัน คนจะหันมารักพิพิธภัณฑ์มากขึ้น…ด้วยหวังว่าสักวัน คนจะกลับมาเห็นความสำคัญของความเป็นรากเหง้ามากขึ้น วันนี้ เธอก็ยังคงทำต่อไป
“พี่และชาวชมรมทุกคนได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งความรักและความปรารถนาดีที่เรามีต่อประเทศไทย คงสามารถทำให้จุดประกายทางความคิดให้บุคคลระดับผู้บริหารประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ สักวันหนึ่ง...พิพิธภัณฑ์จะได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งบ่มเพาะเมล็ดพืชที่ดีงามแก่แผ่นดิน หากถามว่า พวกที่มาทำงานของจิ๋ว และของจิ๋วสัญจรได้อะไร พี่คงต้องถามกลับไปเช่นกันว่า แล้วชาวบ้านบางระจันที่ตายกันทั้งหมู่บ้านนั้น ... เขาได้อะไร พวกเราก็คงได้ในสิ่งเดียวกัน” ... ปิยะนุชกล่าวทิ้งท้าย





...และในวันนี้ ... เธอผู้นี้ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง และเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเนื่องจาก เป็นหน้าที่ที่ทำเพราะ "ใจรัก" โดยแท้ นั่นก็คือตำแหน่งผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ของจิ๋ว และนำไปสู่พิพิธภัณฑ์ของจิ๋วสัญจรในท้ายที่สุด
แรงบันดาลใจต่อ “ของจิ๋ว”
"พี่โชคดี เห็นของจิ๋วมาตั้งแต่เกิด แล้วก็โชคดีมากที่มีโอกาสได้เล่น ได้จับ เพราะคุณแม่ไม่หวง ความผูกพันเริ่มขึ้นแบบนั้น ... ขอเล่าย้อนนิดนึง สมัยคุณแม่พี่ (อ.ดรุณีนาถ นาคคง) ยังเป็นเด็ก คุณแม่เป็นลูกแม่ค้าย่านบางลำพู คุณยายพี่ขายขนม คุณแม่พี่ก็ช่วยคุณยายขาย คุณยายมีลูกคนเดียว แม่พี่ไม่มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กวัยเดียวกัน ก็เหงา ทางออกแก้เหงาของคุณแม่ของพี่ก็คือการไปเดินดูของในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปเกือบทุกวัน”
“ตู้ที่คุณแม่ชอบมากที่สุดคือตู้ของจิ๋ว ของเจ้าจอมมารดาเลียม ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 และนั่นเป็นก้าวแรกที่คุณแม่ได้รู้เห็น ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ และหลงรักของจิ๋วเหล่านั้น ยิ่งเมื่อเห็นทุกวัน ไปดูทุกวันก็ยิ่งผูกพัน...” ปิยะนุชกล่าว
และเพียงความผูกพันจากการดูเพียงเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรักความผูกพันกับของจิ๋วเหล่านี้ อ.ดรุณีนาถเริ่มสะสม และยิ่งกว่านั้น...เธอเริ่มอยากจะทำเอง
“สมัยเล็กๆ ได้เห็นคุณแม่พยายามจะผสมแป้งหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อจะให้ออกมาเป็นแป้งสำหรับปั้นขนมปัง แต่ในที่สุดก็มาลงตัวที่สูตรกาว + แป้งข้าวโพด + แป้งขนมปัง + โลชั่น ซึ่งก็เป็นสูตรที่นักปั้นขนมจิ๋ว ต้นไม้จิ๋ว อาหารจิ๋ว และของจิ๋วต่างๆ ในปัจจุบันนี้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย”
และด้วยความที่เป็นคนเก็บความรู้เกี่ยวกับขนมไทยไว้มากมาย อ.ดรุณีนาถจึงได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นผ่านแป้งปั้นออกมาเป็นขนมจิ๋วแบบเหมือนจริงแต่ย่อขนาดไว้ได้อย่างน่ารักน่าชัง ได้ขนมไทยๆ ขนาดจิ๋วประมาณ 50 - 60 ชนิด
สายธารแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
แต่ในระหว่างที่อ.ดรุณีนาถผู้เป็นแม่ กำลังไปได้สวยกับงานอดิเรกชิ้นโปรดอยู่นั้น ด้านดร.อานันท์ นาคคง ผู้เป็นลูกชายคนโตและพี่ชายของปิยะนุช กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ ด้วยทุนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกโจรปล้นบ้านจนหมดเนื้อหมดตัว และที่สำคัญที่สุดคือปริญญานิพนธ์ที่ต้องส่งนั้น อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจรเอาไปด้วย ช่วงนั้นสภาพของครอบครัวเข้าขั้นวิกฤต ส่วนสภาพจิตใจของดร.อานันท์นั้นถึงขั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด เมื่อรู้ตัวว่าต้องกลับประเทศไทยแบบคว้าน้ำเหลว
"ตอนนั้นพี่ชายเข้าขั้นสติแตก เพราะโจรเอาไปหมดแม้กระทั่งจานข้าวยังเอาไป ที่สำคัญคือปริญญานิพนธ์ที่กำลังจะส่งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โจรเอาไปด้วย พี่ชายก็ต้องเก็บข้อมูลใหม่ ทำใหม่ทั้งหมด แต่ทางจุฬาฯ ปฏิเสธไม่ให้อยู่ต่อ นั่นแปลว่าพี่จะต้องกลับบ้านแบบมือเปล่า ไม่ได้อะไรกลับมา ตอนนั้นเขาเครียดมาก ทางบ้านเราก็เครียด แต่เป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของครอบครัวเราที่ขณะนั้นบังเอิญว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จประเทศอังกฤษพอดี และทรงทราบเรื่อง จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวเราอย่างหาที่สุดมิได้ พี่ชายจึงมีโอกาสอีกครั้ง และในที่สุดก็สามารถส่งปริญญานิพนธ์ และนำความรู้กลับมารับใช้บ้านเกิดเมืองนอนได้”
“ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณนี้ คุณแม่ก็สำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง อยากทำขนมจิ๋วถวายตอบแทนพระเมตตาของพระองค์ท่าน จึงเกิดความมุ่งมั่น และออกเดินทางเก็บข้อมูลชนิดเหนือสุดจรดใต้สุด เพื่อปั้นขนมให้ครบ 108 ชนิด เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2535"
แต่ในการเดินทางเก็บข้อมูลในครั้งนั้น อ.ดรุณีนาถกลับได้ข้อมูลขนมไทยมาถึง 1,700 ชนิด จนในที่สุด วันที่ 1 เมษายน 2535 อ.ดรุณีนาถได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายขนมไทยขนาดจิ๋วหลายร้อยชนิดต่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ยังความปลาบปลื้มปีติแก่ตัวเองและครอบครัวด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เป็นวันที่อ.ดรุณีนาถจดจำไปจนชั่วชีวิต
เข้าสู่ยุคของจิ๋วเฟื่องฟู
จนกระทั่งในปี 2536 เมื่อปิยะนุชผู้เป็นลูกสาวเริ่มมีรายการโทรทัศน์เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นรายการที่เอาชื่อมารดาไปตั้งเป็นชื่อรายการ คือรายการ “ดรุณีปี 36” อ.ดรุณีนาถก็เริ่มเปิดสอนการทำขนมไทยจิ๋วผ่านทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก และมีนักเรียนสมัครเข้ามานับพันคน ในยุคนั้นของจิ๋วที่ปั้นจากแป้งขนมไทยกลายเป็นของชำร่วยยอดนิยมและมีมูลค่าสูงมาก
อ.ดรุณีนาถใช้ความรู้ ประสบการณ์ ความประณีต และใจรัก ค่อยๆ ประดิดประดอยของจิ๋วเหล่านี้เรื่อยมากว่าค่อนชีวิต จนสภาพร่างกายและสายตาไม่เอื้ออำนวย จึงรามือลงบ้าง หน้าที่สืบทอดอนุรักษ์ดำรงของจิ๋วเหล่านี้จึงตกอยู่ที่ปิยะนุช...ลูกสาวที่รักและสนใจของจิ๋วมากกว่าลูกคนอื่นๆ
สำหรับปิยะนุชแล้ว หากในรุ่นของมารดา เป็นรุ่นแห่งการเพาะเมล็ดแห่งการฟื้นฟูของจิ๋วเหล่านี้ รุ่นเธอก็มีภารกิจอันยิ่งใหญ่คือการดูแล รดน้ำ พรวนดิน ให้ต้นไม้แห่งความตั้งใจของแม่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง...และในที่สุดเมื่อย่างเข้าปี พ.ศ. 2542 ปิยะนุชก็สามารถสร้างก้าวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของวงการของจิ๋วได้เป็นผลสำเร็จ เธอและพรรคพวกเพื่อนพ้องผู้รักของจิ๋วเช่นเดียวกับเธอ ได้ร่วมมือกันจนสามารถเปิดพิพิธภัณฑ์ของจิ๋วได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซิตี้ บางนา
“แต่วันนี้พิพิธภัณฑ์นี้ไม่อยู่แล้วนะคะ คือต้องบอกก่อนว่า เมืองไทยเรามีพิพิธภัณฑ์มากถึง 729 แห่งทั่วประเทศ เฉพาะกรุงเทพฯ 159 แห่ง แต่ทุกแห่งเงียบเหงา เพราะคนไทยไม่นิยมเดินชมพิพิธภัณฑ์ อาจจะด้วยเพราะไม่เคยปลูกฝังให้รัก ด้วยเพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ข้างบ้านนี่เอง ด้วยเพราะไม่รู้ว่ามีความสำคัญหรือมีความหมายต่อชาติและสังคมอย่างไร ก็เลยไม่ไป ...
จึงมาเป็นของจิ๋วสัญจร
และจากแนวคิดดังนี้เอง โครงการ “ของจิ๋วสัญจร” จึงเกิดขึ้น เพื่อปลุกระดมและสร้างกระแสให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของพิพิธภัณฑ์ ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่ายังมีพิพิธภัณฑ์มากมายทั่วประเทศที่รอคอยการมาเยือนของผู้ชมอยู่อย่างมีความหวัง โดยขณะนี้ปิยะนุชได้นำเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิตของเธอ 5 ล้านบาท มาดำเนินการในโครงการดังกล่าว และนำออกสัญจรไปให้ประชาชนในหลายเขตพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้ชมกัน และอีกไม่นานก็คงจะออกไปยังต่างจังหวัดด้วย
แม้ในวันนี้เธอยังต้องลงเรี่ยวลงแรงกับงานของจิ๋ว แต่เธอก็คิดว่ามันคือความสุข…หลายคนหาว่าเธอบ้าและเพี้ยน …แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงปฏิเสธทุกครั้งที่เธอไปขอความช่วยเหลือ เธอก็ยังคงทำ…อุปสรรคจากองค์กรไม่ได้ทำให้ความฝันอันยิ่งใหญ่ของดวงใจที่รักของเล็กๆ หมดหวัง...ด้วยหวังว่าสักวัน คนจะหันมารักพิพิธภัณฑ์มากขึ้น…ด้วยหวังว่าสักวัน คนจะกลับมาเห็นความสำคัญของความเป็นรากเหง้ามากขึ้น วันนี้ เธอก็ยังคงทำต่อไป
“พี่และชาวชมรมทุกคนได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งความรักและความปรารถนาดีที่เรามีต่อประเทศไทย คงสามารถทำให้จุดประกายทางความคิดให้บุคคลระดับผู้บริหารประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ สักวันหนึ่ง...พิพิธภัณฑ์จะได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งบ่มเพาะเมล็ดพืชที่ดีงามแก่แผ่นดิน หากถามว่า พวกที่มาทำงานของจิ๋ว และของจิ๋วสัญจรได้อะไร พี่คงต้องถามกลับไปเช่นกันว่า แล้วชาวบ้านบางระจันที่ตายกันทั้งหมู่บ้านนั้น ... เขาได้อะไร พวกเราก็คงได้ในสิ่งเดียวกัน” ... ปิยะนุชกล่าวทิ้งท้าย