อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ เตือนคางคกมีพิษร้ายแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ไม่มีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคเอดส์ พบตำราจีนใช้คางคกเผารักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง แนะผู้ป่วยเอดส์รับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งการรับประทานยาต้านไวรัส ยาป้องกันโรคฉวยโอกาส ซึ่งสิทธิในโครงการ 30 บาท ช่วยคนไทยห่างไกลโรคครอบคลุม

น.พ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคนไข้ติดเชื้อเอชไอวีรับประทานคางคกต้มกับสมุนไพรจนหายจากโรคเอดส์ว่า ตามคัมภีร์แพทย์แผนไทยไม่มีการกล่าวถึงสรรพคุณทางยาของคางคก แต่มีกล่าวถึงบ้างในตำราระยะหลัง ซึ่งอาจเป็นอิทธิพลของการแพทย์แผนโบราณของประเทศจีนที่นำคางคกมาทำเป็นยาอยู่บ้าง สรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้คางคกที่ตายซาก ไม่เน่าเหม็น เอาทั้งตัวมาเผาไฟจนเป็นถ่านสีดำ บดละเอียดผสมน้ำมันพืช ทารักษาแผลเรื้อรัง เช่น แผลโรคเรื้อน แผลคุดทะราด
น.พ.วิชัย กล่าวว่า คางคกมีต่อมพิษที่ผิวหนัง ที่ต่อมน้ำลาย พบพิษมากที่รังไข่ เครื่องใน ไข่คางคก เรียกว่า สารพิษ บูโฟท็อกซิน คางคกเป็นสัตว์ในตระกูล “บูโฟนิดี” สารพิษของคางคกไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนธรรมดา เมื่อปี 2540 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการต้มคางคกกินแกล้มเหล้า
สำหรับคางคกรักษาโรคเอดส์ น.พ.วิชัย กล่าวว่า ตามข่าวที่เสนอผ่านสื่อมวลชนถือว่าไม่น่าเชื่อถือ เพราะในข่าวอ้างว่าเป็นตำราตั้งแต่บรรพบุรุษ แสดงว่าเป็นตำราที่เก่ามาก แต่โรคเอดส์เพิ่งพบคนไทยป่วยเป็นคนแรกในปี 2527 มีการระบาดใหญ่เมื่อปี 2530 ขณะที่ตำราบอกว่าสูตรคางคกรักษาโรคหายนั้น ไม่น่าจะเป็นเอดส์
“ถ้านำคางคกมากิน ต้องกินด้วยความระมัดระวังมาก ไม่กินส่วนที่เป็นพิษ ผิวหนัง ต่อมน้ำลาย เครื่องใน ไข่คางคกยิ่งร้ายแรงเพราะพิษมาก ขณะที่การรักษาโรคเอดส์ รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนทั้งการป้องกันและการรักษาโรคฉวยโอกาส เมื่อระดับภูมิต้านทานต่ำให้กินยาต้านไวรัสฟรีในโครงการ 30 บาท ช่วยคนไทยห่างไกลโรค โรคฉวยโอกาสก็รักษาได้อยู่แล้ว ซึ่งผลการรักษาให้ผลดี ไม่ต้องพึ่งวิธีการที่เสี่ยงอันตราย” น.พ.วิชัย กล่าว
น.พ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคนไข้ติดเชื้อเอชไอวีรับประทานคางคกต้มกับสมุนไพรจนหายจากโรคเอดส์ว่า ตามคัมภีร์แพทย์แผนไทยไม่มีการกล่าวถึงสรรพคุณทางยาของคางคก แต่มีกล่าวถึงบ้างในตำราระยะหลัง ซึ่งอาจเป็นอิทธิพลของการแพทย์แผนโบราณของประเทศจีนที่นำคางคกมาทำเป็นยาอยู่บ้าง สรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้คางคกที่ตายซาก ไม่เน่าเหม็น เอาทั้งตัวมาเผาไฟจนเป็นถ่านสีดำ บดละเอียดผสมน้ำมันพืช ทารักษาแผลเรื้อรัง เช่น แผลโรคเรื้อน แผลคุดทะราด
น.พ.วิชัย กล่าวว่า คางคกมีต่อมพิษที่ผิวหนัง ที่ต่อมน้ำลาย พบพิษมากที่รังไข่ เครื่องใน ไข่คางคก เรียกว่า สารพิษ บูโฟท็อกซิน คางคกเป็นสัตว์ในตระกูล “บูโฟนิดี” สารพิษของคางคกไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนธรรมดา เมื่อปี 2540 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการต้มคางคกกินแกล้มเหล้า
สำหรับคางคกรักษาโรคเอดส์ น.พ.วิชัย กล่าวว่า ตามข่าวที่เสนอผ่านสื่อมวลชนถือว่าไม่น่าเชื่อถือ เพราะในข่าวอ้างว่าเป็นตำราตั้งแต่บรรพบุรุษ แสดงว่าเป็นตำราที่เก่ามาก แต่โรคเอดส์เพิ่งพบคนไทยป่วยเป็นคนแรกในปี 2527 มีการระบาดใหญ่เมื่อปี 2530 ขณะที่ตำราบอกว่าสูตรคางคกรักษาโรคหายนั้น ไม่น่าจะเป็นเอดส์
“ถ้านำคางคกมากิน ต้องกินด้วยความระมัดระวังมาก ไม่กินส่วนที่เป็นพิษ ผิวหนัง ต่อมน้ำลาย เครื่องใน ไข่คางคกยิ่งร้ายแรงเพราะพิษมาก ขณะที่การรักษาโรคเอดส์ รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนทั้งการป้องกันและการรักษาโรคฉวยโอกาส เมื่อระดับภูมิต้านทานต่ำให้กินยาต้านไวรัสฟรีในโครงการ 30 บาท ช่วยคนไทยห่างไกลโรค โรคฉวยโอกาสก็รักษาได้อยู่แล้ว ซึ่งผลการรักษาให้ผลดี ไม่ต้องพึ่งวิธีการที่เสี่ยงอันตราย” น.พ.วิชัย กล่าว


