xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์เตือนใช้ยาโรคผิวหนังนานทำให้ตับอักเสบและตาบอดได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แพทย์เตือนใช้ยารักษาโรคผิวหนังต่อเนื่องระวังตับอักเสบและตาบอดได้ แนะยอมรับความจริงและอยู่กับโรคที่รักษาไม่หายจะดีกว่าเสี่ยงเกิดโรคใหม่จากการใช้ยา ด้านนายกสมาคมแพทย์ผิวหนังเอเชียชี้ ยาทุกตัวมีผลแทรกซ้อน อาจเกิดการแพ้ยาได้ ดังนั้นต้องใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เผยโรคแพ้ยาสตีเวนส์ จอห์นสัน 1 ใน 4 เกิดขึ้นเองไม่มีสาเหตุ

น.พ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง บรรณาธิการตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน เปิดเผยว่าโรคผิวหนังหลายชนิดเป็นโรคเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน พบว่ายารักษาโรคผิวหนังหลายตัวมีผลเสีย เช่น ทำให้ตับอักเสบ และผิวลอกทั้งตัวจนถึงขั้นตาบอด จึงต้องควรระมัดระวังไม่ใช้ยาเหล่านี้โดยไม่จำเป็น

น.พ.ประวิตร กล่าวว่า ยารักษาอาการโรคผิวหนังที่อาจมีผลเสียต่อ ได้แก่ ยาเมทโทรเทรกเสท ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน อาจทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งถ้าเป็นเรื้อรังจะทำให้ตับแข็งได้ และผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจะต้องเข้าใจว่าโรคนี้ไม่หายขาด บางครั้งการยอมรับความจริงและอยู่กับโรคที่ไม่มากนัก อาจดีกว่าที่จะรับประทานยาที่อาจเป็นพิษเพียงเพื่อหวังว่าให้มีผิวเรียบสนิท นอกจากนั้นยังมี ยาเรตินอยด์ ที่ใช้รักษาโรคสิวและโรคสะเก็ดเงิน อาจมีพิษต่อตับและทำให้มีค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้นได้ ยังทำให้ทารกในครรภฺ์พิการ ยามิโนไซคลิน ยาซัลฟา เช่น แบคทริม และยาอิริโทรมัยซิน ที่ใช้รักษาโรคสิวอาจทำให้ตับอักเสบได้

ยากริสิโอฟุลวิน คีโตโคนาโซล ที่รักษาอาการติดเชื้อราและยีสต์ของผิวหนัง อาจมีพิษต่อตับได้ ยากลุ่มสเตียรอยด์ ใช้รักษาโรคผิวหนัง เช่น โรคตุ่มน้ำพองใส โรคหลอดเลือดอักเสบและโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ถ้าได้รับยาต่อเนื่องกันนานอาจทำให้ตับอ่อนอักเสบและมีไขมันสะสมที่ตับ ยากลุ่มสมุนไพรและยาหม้อ สมุนไพรบางตัว เช่น ใบขี้เหล็กและเห็ดหลินจือ ถ้าได้รับในขนาดสูงอาจเป็นพิษต่อตับได้ ยาในกลุ่มนี้บางครั้งมีสารปนเปื้อนหรือแบผสมยากลุ่มสเตียรอยด์ลงไป จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยาด้วย” น.พ.ประวิตรกล่าว

ด้านพ.ญ.ปรียา กุลละวณิชย์ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งเอเชีย กล่าวว่า ยากลุ่มซัลฟา เช่น แบคทริมที่ใช้รักษาสิว นอกจากจะทำให้ตับอักเสบได้แล้วยังอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรมได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มอาการนี้นอกจากเกิดจากการแพ้ยายังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และพยาธิ และพบว่า กลุ่มอาการสตีเวนส์ จอห์นสัน ที่อาจรุนแรงจนทำให้ตาบอดได้นั้น ร้อยละ 25-50 จะไม่ทราบสาเหตุคือเกิดขึ้นได้เอง เพื่อป้องกันการแพ้ยาโดยไม่จำเป็นซึ่งอาจมีผลเสียต่อร่างกาย เช่น ตับอักเสบ และมีผิวหนังลอกทั้งตัวจึงควรใช้ยาเท่าที่จำเป็นภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะยาทุกตัวมีข้อแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าใช้ยาแล้วมีผื่นผิวหนัง ลมพิษ ไข้ อาการคัน คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยอ่อน ตัวเหลือง ตาเหลือง ต้องรีบหยุดยาและมาพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากแพ้ยาได้
กำลังโหลดความคิดเห็น