นับจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 6 ปีเต็ม ซึ่งจุดมุ่งหมายของ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ของคนไทยทุกคน ให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

6 ปีเต็มกับเป้าหมาย “การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ” สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ติดตามและประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
และได้บทสรุปที่น่าสนใจออกมาว่า เวลาที่ผ่านมานั้น สถานการณ์ในภาพรวมยังย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของนักเรียนที่ชี้ชัดตรงๆ ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาหลักๆ อยู่ในระดับต่ำมาก ขณะเดียวกันความสามารถในเชิงคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองและใช้วิจารญาณถือว่าสอบตกอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง
ประเด็นปัญหาที่พบจากการประเมินผลอีกประการคือความสับสนด้านหลักสูตร ที่ครูยังไม่เข้าใจเรื่องหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรของสถานศึกษา รวมไปถึงการเรียนการสอนโดยใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังเป็นโจทย์ที่แม่พิมพ์จำนวนมากยังตีไม่แตก ก่อให้เกิดความกังวลต่อเนื้อหาที่ต้องสอนให้ครบตามหลักสูตรที่ ศธ.กำหนด และหันกลับไปใช้วิธีการประเมินผลแบบเดิม
ส่วนการศึกษาสายอาชีวศึกษาที่รัฐต้องการเพิ่มสัดส่วนต่อสายสามัญจาก 30:70 มาเป็น 50:50 ก็ขยับขึ้นเพียงนิดเดียวเป็น 34:66 เท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกับ 6 ปีที่ผ่านมากันแน่?
เปิดปมเหตุแห่งปัญหา
ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าการที่เด็กไทยยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้เองทั้งที่เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาผ่านมา 6 ปีแล้วนั้น เป็นเพราะการเรียนการสอนยังเป็นในรูปแบบครูเป็นศูนย์กลางอยู่ แม้ว่าจะพยายามเน้นให้ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อเนื้อหาของหลักสูตรอัดแน่นมากเกินไป ครูก็จำเป็นต้องอัดความรู้ให้เด็กได้ครบตามหลักสูตรและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งลักษณะการเรียนการสอนดังกล่าวทำลายเด็กอย่างมาก เพราะเด็กจะหยุดคิดและไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง รอการบอกจากครูอาจารย์เพียงอย่างเดียว ซึ่งควรจะต้องลดทอนเนื้อหาของหลักสูตรลงไม่ให้แน่นจนเกินไป เพื่อครูได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนได้ และมีพื้นที่ให้เด็กได้คิดเอง
ขณะที่ แบ๊ง งามอรุณโชติ นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จุฬาฯ ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่เป็นนักเรียนสวมกางเกงขาสั้น แสดงความเห็นถึงผลการประเมินที่สรุปว่าเด็กนักเรียนยังมีการคิดวิเคราะห์ต่ำว่า อยากให้มองว่าเด็กมีพัฒนาการดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ มากกว่าจะสรุปว่าผลที่ออกมาต่ำ เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผล
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาเกี่ยวพันกับสาเหตุหลายประการ ทั้งครู หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน เด็กนักเรียน รวมไปถึงงบประมาณด้วย แต่ 6 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีการปรับวิธีการเรียนการสอนดีขึ้น สื่อการศึกษาดีขึ้น แต่ครูต้องมีภาระงานมากขึ้น เวลาที่จะใช้เตรียมการสอนน้อยลงก็ต้องเห็นใจ ขณะที่หลักสูตรก็ยังมีการเปลี่ยนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า 6 ปีที่ผ่านมาไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานเท่านั้นเอง
เด็กเมินอาชีวะเพราะรัฐไม่จูงใจ
บัญชา เกิดมณี นายกโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กล่าวถึงประเด็นสัดส่วนการเข้าศึกษาต่อของนักเรียนในสายอาชีวศึกษาต่อสายสามัญซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่า ขณะนี้เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ต่างหันไปศึกษาต่อในสายสามัญเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ตามการจูงของกระแสสังคม ทั้งๆ ที่เด็กบางคนชอบและมีความถนัดในสาขาอาชีพ แต่ไม่มีการจูงใจจากสังคม โดยเฉพาะกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่จะสิ้นสุดลงในปีนี้ และในปี 2549 เปลี่ยนไปใช้ระบบกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) ก็ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาอาชีวศึกษาบางส่วนและเป็นการสนับสนุนผู้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า
ขณะที่ปัจจุบันนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาไม่สามารถผลิตบุคลากรแรงงานฝีมือป้อนโรงงานอุตสาหกรรมได้เพียงพอ แต่เด็กส่วนใหญ่ก็มุ่งไปเรียนทางสายสามัญอยู่ หากรัฐต้องการให้สัดส่วนเปลี่ยนเป็น 50:50 ก็ควรมีการจัดทำแผนที่สถานศึกษา และหารือร่วมกันทุกฝ่ายว่าสังกัดใดควรรับเด็กเท่าใด ซึ่งทุกคนต้องเปิดใจไม่คำนึงถึงเรื่องจำนวนเด็กและเงินอุดหนุนรายหัวเป็นหลัก
นายกโรงเรียนอาชีวศึกษาฯ ระบุด้วยว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการคิดวิเคราะห์ของเด็กนักเรียนต่ำ สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กหลั่งไหลเข้าเรียนในสายสามัญมากเกินไป เมื่อปริมาณมากก็ทำให้คุณภาพลดลง ทั้งๆที่สถานศึกษาอาชีวศึกษามีกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ได้มีน้อยหรือกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองตามที่ สกศ.ประเมินออกมา เพียงแต่ขาดการจูงใจจากรัฐบาลทำให้เด็กไม่สนใจเข้าเรียน
เครือข่ายพ่อแม่ย้ำหลักสูตรแน่นเกิน
ขณะที่ในส่วนของเครือข่ายพ่อแม่เด็ก พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายก็ได้ให้ความเห็นและวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิรูปการศึกษาว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ 1.ครู และ 2.หลักสูตร ซึ่งทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกัน
กล่าวคือ ด้วยความที่หลักสูตรการเรียนการสอนทุกวันนี้มีเนื้อหาสาระมากเกินไป ทำให้เด็กหรือครูไม่มีเวลาที่จะคิดหรือวิเคราะห์ได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยปัจจัยตรงนี้ ครอบคลุมรวมไปถึงสถาบันการศึกษาที่ผลิตครูเองก็ยังไม่สามารถสอนให้ครูคิดเองได้ด้วย
ดังนั้น จะต้องมีการระดมความคิดที่จะปรับเนื้อหาในหลักสูตรให้น้อยกว่าเดิม พร้อมทั้งเพิ่มเติมในส่วนของคำถามท้ายบทเรียนเข้าไป เพื่อทำให้เด็กสามารถคิดและวิ เคราะห์ได้ ขณะที่ในส่วนของครู ก็ต้องเร่งจัดทำคู่มือสำหรับครูขึ้นมา โดยตั้งเป็นคณะกรรมการจัดทำคู่มือครูเป็นการเฉพาะ และต้องไม่ใช่คนจากกระทรวงศึกษาธิการ
6 ปีเต็มกับเป้าหมาย “การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ” สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ติดตามและประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
และได้บทสรุปที่น่าสนใจออกมาว่า เวลาที่ผ่านมานั้น สถานการณ์ในภาพรวมยังย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของนักเรียนที่ชี้ชัดตรงๆ ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาหลักๆ อยู่ในระดับต่ำมาก ขณะเดียวกันความสามารถในเชิงคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองและใช้วิจารญาณถือว่าสอบตกอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง
ประเด็นปัญหาที่พบจากการประเมินผลอีกประการคือความสับสนด้านหลักสูตร ที่ครูยังไม่เข้าใจเรื่องหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรของสถานศึกษา รวมไปถึงการเรียนการสอนโดยใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังเป็นโจทย์ที่แม่พิมพ์จำนวนมากยังตีไม่แตก ก่อให้เกิดความกังวลต่อเนื้อหาที่ต้องสอนให้ครบตามหลักสูตรที่ ศธ.กำหนด และหันกลับไปใช้วิธีการประเมินผลแบบเดิม
ส่วนการศึกษาสายอาชีวศึกษาที่รัฐต้องการเพิ่มสัดส่วนต่อสายสามัญจาก 30:70 มาเป็น 50:50 ก็ขยับขึ้นเพียงนิดเดียวเป็น 34:66 เท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกับ 6 ปีที่ผ่านมากันแน่?
เปิดปมเหตุแห่งปัญหา
ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าการที่เด็กไทยยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้เองทั้งที่เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาผ่านมา 6 ปีแล้วนั้น เป็นเพราะการเรียนการสอนยังเป็นในรูปแบบครูเป็นศูนย์กลางอยู่ แม้ว่าจะพยายามเน้นให้ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อเนื้อหาของหลักสูตรอัดแน่นมากเกินไป ครูก็จำเป็นต้องอัดความรู้ให้เด็กได้ครบตามหลักสูตรและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งลักษณะการเรียนการสอนดังกล่าวทำลายเด็กอย่างมาก เพราะเด็กจะหยุดคิดและไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง รอการบอกจากครูอาจารย์เพียงอย่างเดียว ซึ่งควรจะต้องลดทอนเนื้อหาของหลักสูตรลงไม่ให้แน่นจนเกินไป เพื่อครูได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนได้ และมีพื้นที่ให้เด็กได้คิดเอง
ขณะที่ แบ๊ง งามอรุณโชติ นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จุฬาฯ ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่เป็นนักเรียนสวมกางเกงขาสั้น แสดงความเห็นถึงผลการประเมินที่สรุปว่าเด็กนักเรียนยังมีการคิดวิเคราะห์ต่ำว่า อยากให้มองว่าเด็กมีพัฒนาการดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ มากกว่าจะสรุปว่าผลที่ออกมาต่ำ เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผล
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาเกี่ยวพันกับสาเหตุหลายประการ ทั้งครู หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน เด็กนักเรียน รวมไปถึงงบประมาณด้วย แต่ 6 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีการปรับวิธีการเรียนการสอนดีขึ้น สื่อการศึกษาดีขึ้น แต่ครูต้องมีภาระงานมากขึ้น เวลาที่จะใช้เตรียมการสอนน้อยลงก็ต้องเห็นใจ ขณะที่หลักสูตรก็ยังมีการเปลี่ยนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า 6 ปีที่ผ่านมาไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานเท่านั้นเอง
เด็กเมินอาชีวะเพราะรัฐไม่จูงใจ
บัญชา เกิดมณี นายกโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กล่าวถึงประเด็นสัดส่วนการเข้าศึกษาต่อของนักเรียนในสายอาชีวศึกษาต่อสายสามัญซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่า ขณะนี้เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ต่างหันไปศึกษาต่อในสายสามัญเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ตามการจูงของกระแสสังคม ทั้งๆ ที่เด็กบางคนชอบและมีความถนัดในสาขาอาชีพ แต่ไม่มีการจูงใจจากสังคม โดยเฉพาะกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่จะสิ้นสุดลงในปีนี้ และในปี 2549 เปลี่ยนไปใช้ระบบกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) ก็ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาอาชีวศึกษาบางส่วนและเป็นการสนับสนุนผู้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า
ขณะที่ปัจจุบันนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาไม่สามารถผลิตบุคลากรแรงงานฝีมือป้อนโรงงานอุตสาหกรรมได้เพียงพอ แต่เด็กส่วนใหญ่ก็มุ่งไปเรียนทางสายสามัญอยู่ หากรัฐต้องการให้สัดส่วนเปลี่ยนเป็น 50:50 ก็ควรมีการจัดทำแผนที่สถานศึกษา และหารือร่วมกันทุกฝ่ายว่าสังกัดใดควรรับเด็กเท่าใด ซึ่งทุกคนต้องเปิดใจไม่คำนึงถึงเรื่องจำนวนเด็กและเงินอุดหนุนรายหัวเป็นหลัก
นายกโรงเรียนอาชีวศึกษาฯ ระบุด้วยว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการคิดวิเคราะห์ของเด็กนักเรียนต่ำ สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กหลั่งไหลเข้าเรียนในสายสามัญมากเกินไป เมื่อปริมาณมากก็ทำให้คุณภาพลดลง ทั้งๆที่สถานศึกษาอาชีวศึกษามีกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ได้มีน้อยหรือกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองตามที่ สกศ.ประเมินออกมา เพียงแต่ขาดการจูงใจจากรัฐบาลทำให้เด็กไม่สนใจเข้าเรียน
เครือข่ายพ่อแม่ย้ำหลักสูตรแน่นเกิน
ขณะที่ในส่วนของเครือข่ายพ่อแม่เด็ก พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายก็ได้ให้ความเห็นและวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิรูปการศึกษาว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ 1.ครู และ 2.หลักสูตร ซึ่งทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกัน
กล่าวคือ ด้วยความที่หลักสูตรการเรียนการสอนทุกวันนี้มีเนื้อหาสาระมากเกินไป ทำให้เด็กหรือครูไม่มีเวลาที่จะคิดหรือวิเคราะห์ได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยปัจจัยตรงนี้ ครอบคลุมรวมไปถึงสถาบันการศึกษาที่ผลิตครูเองก็ยังไม่สามารถสอนให้ครูคิดเองได้ด้วย
ดังนั้น จะต้องมีการระดมความคิดที่จะปรับเนื้อหาในหลักสูตรให้น้อยกว่าเดิม พร้อมทั้งเพิ่มเติมในส่วนของคำถามท้ายบทเรียนเข้าไป เพื่อทำให้เด็กสามารถคิดและวิ เคราะห์ได้ ขณะที่ในส่วนของครู ก็ต้องเร่งจัดทำคู่มือสำหรับครูขึ้นมา โดยตั้งเป็นคณะกรรมการจัดทำคู่มือครูเป็นการเฉพาะ และต้องไม่ใช่คนจากกระทรวงศึกษาธิการ