xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "ดอกรัก เพ็ชรประเสริฐ" ... 6 ปี บนทางเดินชีวิตในโลกมืด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทุกอาทิตย์ เด็กหญิงจุฑาทิพย์ ทองเผือก หรือน้องจูน ต้องหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อพาแม่ไปโรงพยาบาล เด็กหญิงอายุ 9 ขวบนี้ทำหน้าที่เป็นดวงตาแทนผู้เป็นแม่มากว่า 6 ปีแล้ว

เวลานี้แม่ของจูนเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ เพราะชนะในคดีที่ตัดสินใจยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ชดเชยค่าเสียหายให้ จากผลการรักษาอาการไข้หวัดแต่เกิดการแพ้ยาจนทำให้แม่ของจูนตาบอด

“ดอกรัก เพ็ชรประเสริฐ” คือแม่ของจูน ปีนี้มีอายุ 46 ปีเต็ม และตกอยู่ในโลกของความมืดมา 6 ปีเต็มๆ เลยทีเดียว...จูนเล่าว่า ตอนที่ตาของแม่เริ่มมองไม่เห็น ตอนนั้นยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย อายุ 2 ขวบกว่า ไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นแม่ และรับรู้ว่า ครอบครัวที่เคยอบอุ่น มีพี่ชาย 2 คน และพ่อหายไป เหลือเพียงจูนและแม่

เมื่อโตขึ้นจูงจึงเข้าใจกับคำว่า เธอและแม่ถูกพ่อทิ้งไป เพียงเพราะแม่ตาบอด ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และตั้งแต่นั้น จูนต้องรับหน้าที่เป็นดวงตาแทนแม่

“หนูเสียใจที่แม่มองไม่เห็น อยากให้ตาแม่มองเห็นเหมือนเดิม อยู่ที่บ้านจะช่วยแม่ทำงานทุกอย่าง ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ทุก 7 วันต้องพาแม่ไปโรงพยาบาลเพื่อไปรับยาหยอดตา บางทีตี 1 ตี 2 แม่จะปลุกหนูให้พาแม่ไปโรงพยาบาลหน่อย เพราะแม่จะเหนื่อย แน่นหน้าอก แม่บอกว่าแม่ไม่ไหว จูนพาแม่ไปโรงพยาบาลที หนูก็จะพาแม่ไป”

นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กหญิงคนนี้ ปัจจุบันจูนเรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนการัญศึกษา จ.นนทบุรี เรียนฟรีจากการอุปการะของโรงเรียนเพราะเห็นว่าจูนและแม่ขัดสน

...จากชีวิตของลูกที่เต็มไปด้วยความลำบาก และต้องบอกว่า น่าสงสารเป็นอย่างมาก ก็มาถึงโศกนาฏกรรมในชีวิตของแม่ที่ต้องบอกว่า เจ็บปวดกว่าหลายเท่า ทั้งจากผลกระทบที่ได้รับทางร่างกายและจิตใจ

ภายหลังจากที่ดอกรักตาบอด อันเป็นผลมาจากการแพ้ยา อาชีพและความเป็นอยู่ทุกอย่างที่เคยทำที่นครสวรรค์ต้องหยุดลง สามีทิ้ง ครอบครัวแตกสลาย ดอกรักมีรายได้เพียงหนึ่งเดียวสำหรับเลี้ยงชีวิตตัวเธอเองและลูกคือ เงินเดือนๆ ละ 2,000 บาทจากประกันสังคมเท่านั้น ซึ่งไม่พอกับค่าใช้จ่าย

ผลจากการแพ้ยา นอกจากจะทำให้ดอกรักตกอยู่ในโลกมืด ยังทำให้ร่างกายตลอดจนอวัยวะภายในของดอกรักถูกทำลายเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นปอดที่ถูกทำลายจนเหลือนิดเดียว ลำไส้เป็นแผลทำให้กินข้าวมากไม่ได้ ท่อน้ำตาไม่มี เรียกได้ว่าอวัยวะภายในผิดปกติไปหมด จนดอกรักต้องตื่นกลางดึกเพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกเสมอ

“โชคดีอยู่บ้าง ที่ตอนนั้นไปออกรายการโทรทัศน์ แล้วมี พญ.ภาวิกา สัมมะโน ที่อยู่โรงพยาบาลทหารเรือ เขาเมตตาช่วยออกค่าใช้จ่ายรักษาให้ทุกเดือน เดือนละ 4,000 บาท เพราะทุกวันต้องไปโรงพยาบาลตลอด ตาต้องหยอดน้ำตาเทียม ทาเจลที่ดวงตา และต้องเอาเลือดของตัวเองผสมกับยาเพื่อทำเป็นยาหยอดตาด้วย พี่เลยต้องย้ายมาอยู่ที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพราะใกล้กับโรงพยาบาลที่เขาช่วยรักษาให้”ดอกรักอธิบายสาเหตุที่ต้องย้ายมาอยู่ที่ปากเกร็ดตั้งแต่ ปี 2544 หลังจากเธอตาบอดได้ 2 ปี

“แรกๆทำใจไม่ได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ตลอดชีวิตเรามองเห็นมา 40 ปีเต็ม ทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ พอทุกอย่างมืด มันน่ากลัวมาก เราไม่เห็นอะไรเลย ตอนตามองเห็นบางทีเรายังกลัวความมืด แต่ตอนนี้เราต้องอยู่กับความมืดไปตลอดชีวิต พี่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะลูก เพราะน้องจูนเท่านั้น ถ้าไม่มีเราเขาจะอยู่กับใคร และเพราะพี่มีลูกที่ช่วยพี่ทุกอย่างก็ทำให้พี่มีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ด้วย”

หลายครั้งการใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่ผู้คนรีบร้อน ก็มีผลทำให้ดอกรักเจ็บตัวได้ง่ายๆเหมือนกัน

“พี่ตกรถเมล์บ่อยมาก ตอนนั้นตกรถเมล์จนกระดูกก้นกบหัก ดีที่ไม่หลุดไปใต้ท้องรถ พอเราลงรถขายังไม่แตะถึงพื้นเลย รถกระชากออกไป บางทีก็เจอกระเป๋ารถเมล์ด่า เพราะเราทำอะไรช้า เงอะงะ ถึงจะมีลูกไปด้วยแต่เขาก็ยังเด็ก”

ดอกรักเอ่ยถึงลูกสาวว่า “สงสารเขา แทนที่จะได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว ก็ไม่ได้อยู่ จะไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กก็ไม่ได้ ต้องดูแลแม่ ไปโรงเรียนก็ไม่ได้ไปทุกวัน เพราะต้องพาแม่ไปหาหมอ บางทีต้องตื่นกลางดึกพาแม่ไปโรงพยาบาลอีก ค่าใช้จ่ายก็ไม่พอ กินอะไรก็ต้องประหยัด เหนื่อยมาก ทั้งเหนื่อยกับความรู้สึก เหนื่อยกับความเป็นไป แต่ถ้าเราไม่เลือกฆ่าตัวตาย เลือกที่จะมีชีวิตอยู่เราก็ต้องสู้ต่อไป”

ดอกรักยอมรับว่า แรกสุดเธอเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย เพราะชีวิตรับไม่ไหวกับความโหดร้ายที่เผชิญอยู่ สามีทิ้งไป เธอตาบอด ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงลูกสาวซึ่งยังเล็กไม่ถึง 3 ขวบว่า จะอยู่กับใครถ้าไม่มีแม่ ดอกรักก็กัดฟันที่จะสู้กับความเป็นไปของชีวิตให้ได้

สำหรับการเป็นคดีความกับแพทย์ ดอกรักเล่าความรู้สึกว่า “กดดันมาก ทุกข์ใจ คดีพี่เป็นคดีอนาถา บอกได้เลยถ้าไม่ถึงที่สุดไม่มีใครอยากเป็นคดีความกับหมอหรอก เหมือนกับว่าชีวิตนี้ต้องเดิมพันกับตรงนั้นไปเลย แต่ที่พี่ตัดสินใจสู้เงินอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด พี่อยากให้สังคมนี้ได้รู้และมีบทเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นผู้ป่วยบ้าง”

ขณะที่จูนพูดถึงแม่ว่า “หนูรักแม่ อยากให้แม่มองเห็นเหมือนเดิม ให้มีร่างกายแข็งแรง ถ้าพ่อได้ยินอยากให้พ่อกลับมาหาแม่ มาดูแลแม่ หนูคิดถึงพ่อ ไม่เคยรู้เลยว่าพ่ออยู่ไหน อยากให้พ่อมาขอโทษแม่”

นอกจากนี้ จูนยังเล่าถึงเพื่อนที่โรงเรียนซึ่งได้ทราบเรื่องของแม่และเธอจากรายการโทรทัศน์ว่า “ยายของเพื่อนหนูเขาดูแล้วก็ร้องไห้ เพื่อนๆก็รักเรา ไปโรงเรียนก็มีความสุข โตขึ้นหนูอยากเป็นตำรวจ ไม่อยากเป็นหมอ เพราะกลัวคนตายมาหลอก อยากจับผู้ร้าย คนที่ทำไม่ดี”

เมื่อถามดอกรักว่า เคยรู้สึกโกรธแค้นแพทย์ที่ทำการรักษาไข้หวัดแต่กลายเป็นว่าต้องตาบอดหรือไม่ เธอตอบว่า “ตอนแรกโกรธ แต่ไม่แค้น แต่ตอนนี้ไม่คิดโกรธแค้นใครทั้งนั้น คิดว่าเป็นเวรกรรมของเรา ก็ก้มหน้าชดใช้ให้หมด การที่ตัดสินใจฟ้อง เพราะเรายึดถือว่า เมื่อการรักษามีความเสียหาย และทำให้ชีวิตเราซึ่งก็เป็นคนจนๆคนหนึ่งอยู่แล้วแย่ลงไปอีก ก็น่าที่จะเยียวยาช่วยเหลือเราบ้าง ซึ่งไม่ได้ฟ้องแพทย์ แต้ฟ้องต้นสังกัด พี่ไม่เคยโกรธแค้นหมอ ทุกวันนี้ก็ยังต้องพึ่งพาหมออยู่”

เงินจำนวน 8 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวนหนึ่งที่จะได้รับจากกระทรวงสาธารณสุขนั้น ดอกรักวางแผนไว้ว่า “เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูก กับค่าใช้จ่ายประจำวัน อาจจะคิดหาอาชีพที่คนตาบอดและร่างกายไม่แข็งแรงทำได้ด้วย จะได้เสริม ไม่อย่างนั้น วันหนึ่งเงินก้อนนี้อาจจะหมดไป ต้องวางแผนใช้จ่ายดีๆ ให้ประหยัดที่สุด”

และสำหรับอนาคตข้างหน้า ดอกรักตอบว่า “พี่ยังหวังว่าจะกลับมามองเห็นได้อีก ปลัดบอกว่าให้ไปลองรักษาตาดู แต่ก็ไม่รับปากว่าจะหาย ทุกวันนี้พี่ก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง อยากเห็นหน้าลูก อยากเห็นเขาประสบความสำเร็จ ได้เรียนหนังสือ ได้เป็นตำรวจอย่างที่เขาต้องการ พี่ไม่หวังอะไรมาก ถ้าสุดท้ายรักษาตาให้มองเห็นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถือว่าที่เราได้ก็พอแล้ว”

ขณะที่สังคมกำลังเถียงกันระหว่างความผิด ความถูกทางการแพทย์ และความสงสารกับมนุษยธรรมอยู่นั้น ดอกรักบอกว่า เธอไม่มีความรู้มากพอที่จะไปร่วมเถียงด้วย รู้แต่ว่า ปัจจุบันนี้และสิ่งที่กำลังจะเป็นไป เธอต้องดำรงชีวิตอยู่ในโลกมืดใบนี้ให้ได้ และต้องดูแลลูก ขณะที่ลูกก็ดูแลเธอไปด้วย เธอรู้เพียงว่า พอใจกับจำนวนเงินที่ได้รับ แม้จะแลกกับดวงตาไม่ได้ แต่เมื่อมันได้เกิดขึ้นแล้ว เธอก็จะฝ่าฟันวิกฤติของชีวิตนี้ไปให้จงได้ก็เท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น