xs
xsm
sm
md
lg

สตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม โรคแพ้ยาที่แพทย์ไม่อยากเจอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นข่าวครึกโครมขึ้นมาทันที เมื่อศาลนนทบุรีมีคำสั่งตัดสินให้กระทรวงสาธารณสุขชดใช้ค่าเสียหายให้นางดอกรัก เพ็ชรประเสริฐ เป็นจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2542 หลังจากที่นางดอกรักเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ แต่แพทย์ของโรงพยาบาลวินิจฉัยโรคผิดพลาด ฉีดยาให้ผิดจนทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง และตาบอดทั้ง 2 ข้างในเวลาต่อมา โดยแพทย์ระบุว่านางดอกรักเป็นโรคสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม


ก่อนหน้านี้เคยมีคนไข้ป่วยด้วยโรคนี้เช่นกัน นั่นคือน้องต้นกล้า ดช.ภูวริช เกษวิชิต ที่แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคลมชัก และให้ยาแก้ลมชักมากิน ขณะที่เด็กไม่เคยมีอาการลมชักมาก่อน จนมีอาการแผลพุพองเน่าเละทั่วตัว และมีปัญหาถึงนัยน์ตา แม้จะไม่ถึงขั้นบอด แต่ก็ไม่ปกติเหมือนเดิม ขณะนี้คดีนี้ยังอยู่ในชั้นศาล คนไข้ฟ้องกระทรวงสาธารณสุขเช่นกัน หลายคำถามอยากรู้ว่าโรคนี้คืออะไรกันแน่

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้รายละเอียดว่าโรคนี้เป็นกลุ่มอาการโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการแพ้ยา โดยผู้ป่วยมีโอกาสที่จะแพ้ยาได้ทุกชนิด แต่ผลที่จะทำให้ถึงขั้นตาบอดนั้นพบได้ประมาณ 1 ใน 100 ซึ่งการแพ้ยาพบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้ที่ชอบซื้อยารับประทานเอง และหากพบว่าเกิดอาการแพ้ยาแล้ว ควรจะต้องหยุดรับประทานยาทันที

และจากการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า โรคสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม เป็นหนึ่งในไม่กี่โรคที่แพทย์ไม่ต้องการจะเจอในชีวิตของการเป็นแพทย์ เพราะนี่คือโรคแพ้ยาชนิดรุนแรง สตีเวนส์ จอห์นสัน (Stevens johnsons syndrome (SJS)และ TENS หรือ toxic epidermal necrolysis) เป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ บางรายไม่เคยมีประวัติแพ้ยาก็เกิด บางรายเกิดจากการติดเชื้อเริม และเมื่อเป็นแล้วอัตราตายสูงถึง 25-80%

ยังโชคดีอยู่บ้างที่โรคนี้เป็นน้อยมาก จากอุบัติการณ์ในสหรัฐฯ พบ 2.6-8.2 รายใน 1 ล้านราย ในจำนวนนี้ 50% เกิดจากยา อีกครึ่งเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ทราบสาเหตุ อัตราการเสียชีวิตประมาณ 20-80% เมื่อปี พ.ศ.2465 Stevens และ Johnsons ได้พบเด็กสองคนที่มีอาการไข้ แผลเต็มปาก ตาอักเสบอย่างรุนแรง และผื่นตามตัว ซึ่งต่อมาได้ตั้งชื่อโรคตามเขาสองคนนี้

ลักษณะของโรค มักจะเกิดอาการในช่วง 1-4 อาทิตย์ภายหลังรับยา หรือภายหลังติดเชื้อ แต่มีรายงานว่าผู้ป่วยมักมีอาการไข้ ปากแห้ง ปวดเมื่อยในช่วงแรก อาจจะถึง 1-3 วันหลังได้ยาเลยก็ได้ ลักษณะผื่นตอนแรกจะขึ้นเม็ดเล็กๆ ลามขยายใหญ่ กลายเป็นบวมพุพองทั้งตัว และลอกออกได้ในภายหลัง ผื่นจะกินบริเวณกว้างทั้งลำตัว ไม่เว้นแม้แต่เยื่อบุตา ปาก ช่องคลอด ก้น คือเป็นหมดทั้งร่างกาย

ผื่นในช่วงแรกๆ อาจจะมีลักษณะเหมือนเบ้าตาวัว (target lesion หรือ iris lesion) คือยังไม่มาก แต่หลังจากนั้นก็จะลุกลามไปทั่วร่างกาย

ปัญหาสำคัญที่พบบ่อยคือมีการอักเสบที่เยื่อบุตา ม่านตา ซึ่งอาจทำให้ตาบอด หรือแม้กระทั่งลูกตาทะลุ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ตับอักเสบ ไตอักเสบ เลือดออกจากทางเดินอาหาร ข้ออักเสบ ปอดอักเสบ

สาเหตุของโรคนี้ไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเป็นกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อยาหรือการติดเชื้อ ภาวะที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้บ่อย ได้แก่ เริมที่เกิดขึ้นครั้งแรก การติดเชื้อ ไมโคพลาสมา ส่วนยาที่พบบ่อยที่ก่อให้เกิดโรคนี้ ได้แก่ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น นาโปรซิน celebrex bextra oxaprozin ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซัลฟา (แบคทริม) เพนนิซซิลลิน และยากันชักเช่น ฟิไนโตอิน (phenytoin)

ดังนั้นข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยและญาติเมื่อเกิดสงสัย ให้หยุดยา มาพบแพทย์ การรักษาคือการประคับประคองคล้ายๆ คนที่โดนไฟไหม้ เช่น การให้น้ำเกลือ ทำแผล ให้ยาคอติโคสเตียรอยด์ช่วย

(ข้อมูลจาก www.thaihealth.net)
กำลังโหลดความคิดเห็น