ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันใช้ “หลักเมตตาธรรม” จากกรณีศาลตัดสินให้ชดใช้เงินจากความผิดพลาดในการรักษาคนไข้จนทำให้ตาบอด 8 แสนบาท แย้มแนวโน้มคงจะไม่อุทธรณ์ และยินยอมที่จะชดใช้เงินให้
จากกรณีที่วานนี้ (4 ส.ค.) ศาลจังหวัดนนทบุรี พิพากษาให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชดใช้ค่าเสียหายแก่ นางดอกรัก เพชรประเสริฐ เป็นจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2542 หลังจากที่นางดอกรักเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ แต่แพทย์ของโรงพยาบาลวินิจฉัยโรคผิดพลาด ฉีดยาให้ผิดจนทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง และตาบอดทั้ง 2 ข้างในเวลาต่อมานั้น และมีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า น.พ.วิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตรียมที่จะขออุทธรณ์สู้คดีนั้น
ล่าสุดน.พ.วิชัย ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกเห็นใจและยินดีให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยตามหลักมนุษยธรรม เบื้องต้นได้มอบหมายให้ น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนิติกรประจำกระทรวงสาธารณสุข ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยตามความเหมาะสม โดยดูข้อมูลจากการสอบสวนของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ และได้มอบให้กองนิติการ กระทรวงสาธารณสุขสรุปข้อมูลทั้งหมด นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อทราบและพิจารณาโดยด่วน
สำหรับในเรื่องคดีนั้น กระทรวงสาธารณสุขต้องปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ตามหนังสือ ที่ กค 0406.2/ว.23 ที่กำหนดแนวทางในการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาของศาล ให้หน่วยราชการถือปฏิบัติ หากหน่วยราชการใดมีคดีและแพ้คดีก็ให้ส่วนราชการเจ้าของคดียื่นอุทธรณ์คดีไปก่อนแล้วรายงานกระทรวงการคลัง สำหรับกรณีของนางดอกรัก เพชรประเสริฐ เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าไม่ควรมีการอุทธรณ์คดีต่อไป และจะได้ทำหนังสือหารือไปที่กระทรวงการคลัง หากกระทรวงการคลังเห็นด้วย กระทรวงสาธารณสุข ก็จะยุติเรื่องและชดใช้ค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน
น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ให้แนวนโยบายว่าให้ดูที่ตัวผู้ประสบภัยเป็นหลัก แต่โดยทั่วไปมีขั้นตอนของทางราชการในการดำเนินการเรื่องนี้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตามขั้นตอนของราชการทั้งหมด ครั้งนี้ทางกระทรวง สธ.จะยึดหลักดูที่ผู้เดือดร้อนว่าประสบเคราะห์กรรมอย่างไร ช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ ชีวิตความเป็นอยู่ทุกข์ยากหรือลำบากอย่างไรบ้าง ซึ่งก็คือการใช้หลักเมตตาธรรมนั่นเอง แต่จะให้คำตอบได้แน่ชัดว่าจะอุทธรณ์หรือไม่อย่างไรนั้น จะมีการประชุมเรื่องนี้ในวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.นี้ ซึ่งวันนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปคัดคำสั่งของศาลมาแล้ว
ด้านการดำเนินการกับแพทย์ที่วินิจฉัยผิดพลาดนั้น น.พ.พิพัฒน์กล่าวว่า ต้องดูที่ข้อเท็จจริงก่อน และต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย บางครั้งอาจเป็นเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ หรืออาจเป็นผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล คำว่าเมตตาธรรมนั้นใช้กับทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าแพทย์ก็เป็นคนทั่วไปแต่มีหน้าที่หนักที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย บางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ แต่ต้องดูที่เจตนาว่าเป็นการจงใจหรืออย่างไร ซึ่งต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีมาตรการป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แพทย์วินิจฉัยผิดพลาดจนเป็นเหตุให้มีผู้ป่วยฟ้องกระทรวง สธ.เช่นนี้อีก รองปลัดกระทรวง สธ.กล่าวว่า โดยทั่วไปได้ย้ำให้แพทย์และพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานพยาบาลที่มีการวางแนวทางไว้อยู่แล้ว ให้มีการพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่จะมีการส่งต่อ คือให้มีการสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยให้มากขึ้นและให้เข้าใจกัน ที่สำคัญในเรื่องของท่าทีและการแสดงออก ตลอดจนภาษาพูดและภาษากายให้ยึดหลักว่าผู้ป่วยทุกคนเป็นเหมือนญาติ ต้องมีมาตรฐานการรักษาเดียวกัน
ขณะที่ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมว.สธ. กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะให้การดูแลทุกอย่าง เพื่อขวัญกำลังใจและตามหลักมนุษยธรรม ขอให้ผู้เสียหายมั่นใจว่า กระทรวงจะไม่ทอดทิ้ง และได้สั่งการให้โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ติดตามให้การดูแล ผู้เสียหายด้วยมาตรฐานสูงสุดสิ่งใดที่จะช่วยเหลือได้ต้องทำอย่างเร่งด่วนและเต็มที่
อย่างไรก็ตาม กรณีของนางดอกรักนั้น แพทยสภาได้มีการตั้งคณะกรรมการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสอบสวนแล้ว วินิจฉัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับแพทย์ผู้ดูแลด้วย ซึ่งเรื่องถูกหรือผิดนั้น เป็นหน้าที่ของแพทยสภา ส่วนกระทรวงจะดูแลในเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มที่
ส่วน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า ในกรณีนี้กระทรวงไม่ควรยื่นเรื่องอุทธรณ์ แต่ควรจะจ่ายเงินให้กับนางดอกรักตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน เพราระนางดอกรักได้รับความเสียหายจากกรณีที่เกิดขึ้นจริง และกระทรวงควรจะพัฒนาแนวทางการชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสังกัด โดยอาจจะมีการตั้งกองทุนชดเชยความเสียหายขึ้นมาใหม่ หรือมีการเพิ่มเติมการชดเชยค่าเสียหายเข้าไปในกองทุนเงินทดแทนเบื้องต้นตามมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งแม้จะมีการจ่ายค่าทดแทนให้กับผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล แต่ก็เป็นเพียงการชดเชยให้เบื้องต้น ไม่เกิน 80,000 บาท เท่านั้น ไม่ใช่ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
อนึ่ง สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2542 นางดอกรัก เพชรประเสริฐ มีอาชีพเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ได้เข้ารักษาตัวที่คลินิกของ น.พ.สมเกียรติ แสงประเสริฐ ซึ่งเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ด้วย เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัด ต่อมานางดอกรักเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง มีอาการคันตาและน้ำตาไหลตลอดเวลา เกิดแผลพุพองในปาก และปวดแสบปวดร้อนไปทั่วตัว จึงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ โดย น.พ.พรชัย ชอบทางศิลป์ เป็นผู้ตรวจรักษา
ระหว่างที่ตรวจ นางดอกรักได้แจ้งให้แพทย์ทราบว่าอาจเกิดจากการแพ้ยา เพราะเพิ่งไปฉีดยาที่คลินิกมา ต่อมาแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคเยื่อตาอักเสบ สั่งยาให้ไปกินต่อที่บ้าน แต่นางดอกรักแพ้ยาอย่างรุนแรงและทนไม่ไหว จึงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์อีกครั้ง พบกับ น.พ.สุชาติ วิภาสกรวราวุธ และบอกว่าป่วยเป็นโรคของกลุ่มอาการที่แพ้ยาที่ชื่อว่า สตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม ซึ่งเป็นอาการป่วยแพ้ยาขั้นรุนแรงที่สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือตาบอดได้ ซึ่ง น.พ.สุชาติรับตัวไว้รักษา แต่ไม่ยอมให้ยารักษาอาการแก้โรคแพ้ยาที่ชื่อเดกซาเมททาโซน แต่กลับสั่งให้ฉีดยาแก้แพ้ที่ชื่อซีพีเอ็มแทน พร้อมกับให้น้ำเกลือ
ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2542 ตาของนางดอกรักก็บอดสนิททั้ง 2 ข้าง นางดอกรักจึงฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 13 ล้านบาท จากนายแพทย์ทั้ง 3 คน รวมทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้นสังกัด ฐานปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ได้รับอันตราย