เด็กไทยสร้างชื่อให้ประเทศไม่เลิก ประกาศชัยชนะคว้า 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงินเคมีโอปิกได้สำเร็จ แถมยังทำคะแนนสูงถึงอันดับที่ 2 ของโลกอีกด้วย
ดร.นงนุช ชาญปริยวาทีวงศ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งว่า ตามที่ สสวท.ได้คัดเลือกและจัดส่งผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันเคมีโอลิมปิกระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ 16-25 กรกฎาคม 2548 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ผลปรากฏว่าผู้แทนประเทศไทยสามารถทำได้ 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงินจากฝีมือของ
เหรียญทอง นายเจษฎา เตมัยสมิธิ โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก
เหรียญเงิน นายธวัชชัย ชัยจรัสพงษ์ โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก นายภูมิ ชัยรัตน์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนายศุภมงคล มัชมี โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
นอกจากนี้นายเจษฏา เตมัยสมิธิ เจ้าของเหรียญทอง ยังสามารถทำคะแนนได้สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จากจำนวนประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน 59 ประเทศ และประเทศสังเกตการณ์ 8 ประเทศ ข้อสอบประกอบด้วยภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยภาคปฏิบัติแบ่งเป็น 2 ข้อคือ ด้านเคมีอินทรีย์ เกี่ยวกับการสังเคราะห์ ด้านเคมีวิเคราะห์เกี่ยวกับการวิเคราะห์สารตัวอย่างอนินทรีย์
ด้านนายเจษฎา เตมัยสมิธิ (เจด) อายุ 17 ปี โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก เจ้าของเหรียญทองและยังสร้างชื่อเสียงให้ประเทศโดยทำคะแนนได้สูงถึงอันดับที่ 2 ของโลก กล่าวว่าการเตรียมตัวก่อนไปแข่งขันครั้งนี้ต้องเตรียมตัวทั้งทฤษฎีและปฏิบัติการเพราะทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กัน ถ้าเรียนมาแต่ทฤษฎี ไม่เคยได้มีการปฏิบัติในบางเรื่องก็อาจจะไม่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ถ้าทำภาคปฏิบัติโดยไม่มีความรู้พื้นฐานทางทฤษฎีก็คงทำไม่ได้
"การเตรียมตัวก่อนไปแข่งขัน นอกจากจะเข้าค่ายเตรียมความพร้อมแล้วก็จะอ่านหนังสือ ทำแล็บเพื่อเก็บประสบการณ์ และรักษาระดับความเครียดเพื่อไม่ให้สูงเกินไป ผมรู้สึกดีใจและขอบคุณที่มีคนติดตามข่าว สำหรับคนที่มีโอกาสก็อยากจะชวนให้ลองสมัครเข้าร่วมโครงการโอลิมปิกวิชาการนี้ดูบ้าง เพราะถึงจะไม่ได้เป้าหมายสูงสุดตามที่ตั้งใจ แต่ประสบการณ์ที่ได้ก็คุ้มค่าแล้ว"
ขณะที่นายธวัชชัย ชัยจรัสพงษ์ (เบนซ์) วัย 17 ปี โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก เจ้าของเหรียญเงินเล่าว่า เป็นผู้แทนประเทศไทยแล้วรู้สึกกดดันพอสมควร เพราะเหมือนต้องแบกรับภาระของประเทศไว้ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้ชาติ
"พยายามทำให้ดีที่สุดครับ อยากจะคว้าเหรียญทองกลับมา"
ส่วนนายภูมิ ชัยรัตน์ (ภูมิ) วัย 18 ปี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เจ้าของเหรียญเงินเปิดเผยว่า วิชาเคมีเป็นวิชาที่น่าสนใจ เพราะมีทั้งการวิเคราะห์ คำนวณ และใช้ความจำ ผสมผสานกันควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติที่ทำให้ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถเห็นได้ทั่วไป
"ผมชอบการทำแล็บเพราะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน ได้ทำบางอย่างที่น้อยคนจะมีโอกาสได้ทำ อีกทั้งยังเป็นการฝึกให้คนเราละเอียดรอบคอบ และมีความระมัดระวังเนื่องจากสารเคมีที่ใช้ทุกชนิดจะมีอันตรายในตัว ซึ่งหากประมาทอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และอยากให้ทุกคนช่วยกันให้ความสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น จะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศ"
เช่นเดียวกับนายศุภมงคล มัชมี (จอห์น) วัย 18 ปี โรงเรียนวัดสุทธิวราราม เจ้าของเหรียญเงินเผยว่า เข้าร่วมโครงการโอลิมปิกวิชาการเพราะต้องการพัฒนาความคิดของตัวเองให้เป็นระบบมากขึ้น และได้รับความรู้ในสาขาที่ตนสนใจอย่างเต็มที่ ส่วนเคล็ดลับการเรียนก็คืออย่าไปเครียดกับการเรียนมาก แต่ทำให้เต็มที่ อย่าไปคิดว่าต้องสอบได้ที่ 1 หรือต้องเรียนเก่งที่สุด จงคิดว่าเราเรียนเพื่อเอาความรู้ ไม่ได้เรียนเพื่อไปแข่งกับใคร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตของเราจะสำเร็จหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการต้องเรียนเก่งๆ เท่านั้น
อนึ่ง ขณะนี้ทั้ง 4 คนเดินทางจากกรุงไทเป ประเทศไต้หวันถึงไทยแล้ว ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นและคับคั่งจากพ่อแม่ ญาติ ๆ คณะครู อาจารย์ จากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ที่นำป้ายผ้าแสดงความยินดีและดอกไม้มาให้ผู้แทนไทยทั้ง 4 คน ทำให้บางคนถึงกับร่ำไห้
ทั้งนี้ ผู้แทนไทย 4 คนที่ได้รับเหรียญรางวัล จะได้รับทุนโอลิมปิกตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอกเป็นเวลา 10 ปี แต่มีเพียง 2 คน คือ นายเจษฎา เตมัยสมิธิ เหรียญทอง และได้คะแนนเป็นที่ 2 ของโลก และนายธวัชชัย ชัยจรัสพงษ์ เหรียญเงิน ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะรับทุนโอลิมปิก ขณะที่นายภูมิ ชัยรัตน์ เหรียญเงิน กำลังศึกษาอยู่ปี 1 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และนายศุภมงคล มัชมี อยู่ปี 1 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทราบจากผู้ปกครองของนายศุภมงคล ว่าลูกชายตั้งใจเป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยได้โดยตรงตั้งแต่ต้นแล้วจึงไม่เปลี่ยนใจ ส่วนผู้ปกครองนายภูมิ บอกว่าถ้าลูกชายจะตัดสินใจใหม่เพื่อเลือกเรียนทุนโอลิมปิกก็แล้วแต่ลูก
