xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิต “นายตำรวจ...รักเด็ก” “พล.ต.ต.สุรศักดิ์ สุทธารมณ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากเอ่ยชื่อ “พล.ต.ต. สุรศักดิ์ สุทธารมณ์” หรือ สมญานาม “นายพลเพื่อชีวิต” ที่สื่อมวลชนเรียกขาน ในบรรณพิภพแวดวงคนเพลงลูกทุ่ง และเพลงเพื่อชีวิต หรือแม้แต่แวดวงศิลปะ คงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเนื่อง เพราะผลงานที่ผ่านมามากมายไม่ว่าจะเป็นเพลงหล่อลากดิน, อีสานแล้ง, จันทร์เจ้าขา ฯลฯ และอีกกว่า 70 บทเพลง ล้วนเป็นบทเพลงที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม สมญา “นายพลเพื่อชีวิต” มิใช่ได้มาเพียงเพราะการแต่งเพลง เป็นศิลปินเท่านั้น หากแต่ทั้งชีวิตยังได้อุทิศเพื่อการทำงาน ในฐานะ นายตำรวจที่ทำงานด้านเด็ก เยาวชน และยาเสพติดอีกด้วย

-1-
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก พล.ต.ต. สุรศักดิ์ หรือที่เพื่อนๆ ในวัยเด็กเรียกว่า “อ๊อด” เป็นเพียงเด็กผู้ชายรูปร่างสูงผอมธรรมดาๆ คนหนึ่ง ชีวิตในวัยเด็กของ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ก็เหมือนกับเด็กชาวสิงห์บุรีทั่วๆ ไป แต่ที่ต่างจากเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันคือการเป็นคนที่ชอบแต่งโคลงกลอนมาก แม้ว่าในโรงเรียนจะมีโอกาสได้เรียนเล็กน้อย แต่เมื่อยามว่างก็จะผลัดกันแต่งกลอนคนละท่อนกับเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเพื่อนคนนี้นี่เองที่ทำให้เขาติดใจการแต่งกาพย์กลอนอย่างยิ่ง

พล.ต.ต.สุรศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า นอกจากจะแต่งกลอนแล้วเขายังชอบอ่านหนังสือ อย่างร้อยป่าพันธุ์บางกอก ก็อ่านมาตั้งแต่เล่มแรกๆ การได้อ่านหนังสือเยอะๆ ทำให้รู้จักนักคิด นักเขียนมากมาย ทั้งเหม เวชกร ช่วง บุญพินิต รวมทั้งชื่นชอบภาพประกอบต่างๆ ในหนังสือ ทำให้เขาชอบการวาดภาพมาตั้งแต่เด็กด้วย

“ความฝันช่วงนั้นอยากเป็นศิลปินแต่งกลอน วาดภาพ คิดจะเข้าเรียนเพาะช่าง แต่ก็ไม่ได้เรียน เพราะอาค้านว่าวาดรูปกว่าจะได้รูปหนึ่งนานเป็นวันเป็นปี จึงตัดสินใจมาเรียนต่อ ม.7-8 ที่กรุงเทพฯ แล้วลุงซึ่งเป็นทหารก็ชวนให้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ สอบอยู่ 3 ปี ไม่ติด เพราะเราไม่ชอบ จนปีสุดท้าย จึงเริ่มคิด เพราะไม่รู้จะไปเรียนต่อที่ไหนหรือทำอะไร การเป็นลูกคนโตมีน้องผู้หญิง 3 คน ทำให้ต้องตั้งใจจริงจังกับอนาคต เราต้องเป็นที่พึ่งของน้องๆ ตอนนั้นจึงกวดวิชาอีก 1 ปี จึงสอบติด ม.เกษตรศาสตร์ คณะกสิกรรมและสัตว์บาล เพราะชอบศิลปะ ธรรมชาติ จบแล้วตั้งใจกลับบ้านทำไร่ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ แต่ดันได้เตรียมทหารฯ ด้วย เลยตัดสินใจเรียนเตรียมทหารฯ เหล่า ตำรวจ”

-2-
ตั้งแต่นั้นมางานในฐานะตำรวจก็เริ่มต้นขึ้น พล.ต.ต.สุรศักดิ์ บอกว่า ที่เลือกเป็นตำรวจเพราะได้ช่วยเหลือคน จนจบนายร้อยตำรวจตั้งแต่ปี 2513 จึงมาจับงาน ด้านการปราบปราม สืบสวน สอบสวน ตอนนั้นก็ภูมิใจในงานที่เราได้จับโจร ปราบโจร ส่วนงานด้านเด็กเริ่มจริงๆ จังๆ ตอนย้ายมาอยู่กองปราบปราบ เมื่อปี 2526 ได้สัมผัสกับโสเภณีเด็กชาย แรงงานเด็ก เด็กถูกทอดทิ้ง เด็กกำพร้า เด็กพิการ เด็กถูกทุบตี จึงค่อยๆ ตระหนักว่า ปัญหามีมากมาย ที่ผ่านมาในการทำงานกลายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

“เริ่มปราบจับอย่างเดียวทลายซ่องได้ดีใจ ทำไปนานๆ สักพัก เจอภาพแม่ แม่เล้า เด็ก นั่งยิ้มกริ้ม อย่างนี้ยินยอมพร้อมใจกันหมด ภาพอย่างนี้ช่วยกลับไปก็มาอีก เริ่มไม่แน่ใจ ทำไปเหมือนสูญเปล่า ที่เป็นจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งคือพ่อจูงลูกมาขาย ลูกก็บอกจะขายอยากทำงาน หลังจากจับพ่อเข้าคุกกลับออกมาก็มีพ่อ 1 ใน 3 ฆ่าตัวตาย ทำให้เราคิดว่า บางทีที่เราคิดว่า เขาเป็นคนไม่ดี บางทีอาจจะหมดทางแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร เราได้ลงลึกในปัญหามากขึ้น เปลี่ยนจากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำงานกันเป็นทีม แก้ไขปัญหาทำอย่างไรให้เขาอยู่ได้เริ่มศึกษามากขึ้นไม่ใช่จับอย่างเดียว แต่ต้องช่วงให้เขาอยู่ได้”

“เมื่อก่อนเราไม่ได้ทำงานสัมผัสงานด้านนี้ ถือว่าเด็กช่วยผม เมื่อก่อนผมก็คิดเหมือนตำรวจทั่วๆ ไป เราเรียนมาอย่างหนึ่งถูกสร้างมาให้อย่างหนึ่ง ใช้คอนเซ็ปต์อย่างทหารก็คือทำลายล้าง ศัตรูจะเข้ามากล้ำกรายไม่ได้ ต้องไล่ออกไป ถ้าไม่ไล่ออกก็ต้องฆ่ากัน ตำรวจก็คอนเซ็ปต์เดียวกัน ทำลายล้าง ต้องไม่มีโจร ประชาชนจึงจะอยู่สุขสบาย ฉะนั้นโรงเรียนนายร้อย นายพล ทุกระดับ จะเรียนวิธีการจับโจร สืบสวนฝึกร่างกายให้เข้มแข็ง ฝึกยุทธวิธี เรียนสืบสวนให้รู้ว่าใครเป็นโจร เรียนสวบสวนเอาโจรให้ติดคุก แต่ไม่เรียนเรื่องผู้เสียหาย” พล.ต.ต.สุรศักดิ์ บอกด้วยว่า ตอนนี้หลักสูตรผู้เสียหายก็ยังไม่มี เคยเสนอไป 10 กว่าปีแล้ว เขาเห็นด้วยแต่ยังไม่เห็นทำอะไร

“20 กว่าปีที่ทำงานด้านเด็ก สิ่งที่ได้คือหัวใจของความห่วงใยและการทำงานเป็นทีม” พล.ต.ต. สุรศักดิ์ บอกและว่า การได้มาทำงานคลุกคลีกับเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ โดยครั้งแรกๆ มูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็กในมูลนิธิเด็กได้ติดต่อให้เข้าไปช่วยเด็กจากโรงงาน ซ้องโสเภณีบ้าง จากที่ไม่เคยคุยกับเด็กๆ เลย จับเสร็จก็ไต่สวนผู้ต้องหาตลอดเวลา ก็เปลี่ยนเป็นได้เยี่ยมเด็กนั้นทำให้เราคิดถึงสังคมมากขึ้น ไม่ได้คิดเชิงอาชญากรรมอย่างเดียว จากจุดนี้เด็กสอนผม สอนให้คิดถึงคนอื่น สอนให้ทำงานกันเป็นทีมเป็น และเริ่มรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นจะมีเป้าที่ชัดเจน

พล.ต.ต. สุรศักดิ์ เล่าถึงช่วงที่ 2 ในการงานว่า ช่วงนี้เป็นช่วงของการ “ช่วยเหลือ” ช่วงนี้เองที่มีบทเพลงออกมามาก เช่น นกเขาน้อย โรยไม่รู้บาน ฯลฯ ส่วน ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่เน้นงานป้องกัน โดยเฉพาะเด็กเร่ร่อน ส่วนใหญ่เด็กที่ออกจากบ้านต้องถึงที่สุดแล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ เด็กกลุ่มนี้ถูกทำร้ายมาจากที่บ้านกว่า 90% ช่วงนี้ทำงานเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐเอกชน เอ็นจีโอ ช่วยกัน อีกทั้งเรายังเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ เมื่อก่อนจับส่งกรมประชาสังเคราะห์ ก็กลายเป็นตำรวจเข้าปกป้องคุ้มครอง ดูแลไม่ให้ใครมาทำร้ายเอาเปรียบค้ายา ทำกิจกรรมกับเด็กๆ พาไปบวชบ้าง ส่งกลับบ้านบ้าง

พล.ต.ต.สุรศักดิ์ บอกว่า งานช่วงที่ 4 นี้เด็กเริ่มช้ำแล้ว จึงหาทางเยียวยาทำคนให้เป็นคนดีไม่ถูกทำร้ายจนเป็นอย่างนี้ ช่วงนี้เรียกว่า “การสร้างคนดี” จึงเกิดเป็นโครงการต่างๆ มากมาย โดยเอาปัญหายาเสพติดเป็นตัวตั้ง ทำงานในชุมชนทำให้ครอบครัวเข้มแข็งเข้าไปถึงชุมชน พยายามปลูกฝัง สร้างคนดีขึ้นในชุมชนเพื่อสู้กับคนไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีในชุมชนก็จะต้องกำจัดไปให้หมดไป ทั้งโต๊ะบิลเลียด ตู้เกม บ่อนการพนัน มีบ้านไหนขายยาก็จับกุม สร้างสถานที่ดีๆเสริมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศูนย์เด็กเล็ก สนามกีฬา ในชุมชน

“การพาเด็กไปดูนกให้เด็กรู้จักรักนกรักต้นไม้รักธรรมชาติ รู้จักรักคนอื่นสร้างความรักให้กับเด็ก สร้างเมตตาธรรมให้กับเด็กรักธรรมชาติแล้วเด็กจะรักคน มีจิตสาธารณะทำงานเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ปีแรกทำได้ 5,000 กว่าคน ก็ได้เงินสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา เพื่อนบ้าง บริษัทห้างร้านบ้าง รวมถึงลิขสิทธิ์ที่ได้จากบทเพลงที่ผมได้แต่งไว้บ้าง ซึ่งถือว่าดีกว่าช่วงแรกๆ ที่จะต้องใช้งบประมาณส่วนตัวเพราะกรมตำรวจไม่มีงบประมาณด้านนี้” พล.ต.ต. สุรศักดิ์ กล่าวและว่า งานด้านเด็ก ชุมชนมวลชนสัมพันธ์ เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ถ้าจะลดโจร ผมมองว่าตำรวจทำได้ดีกว่าหน่วยงานอื่นผมขอยืนยันเพราะเรามีโอกาสใกล้ชิดกับคนใกล้ชิดกับชุมชนมากกว่าใคร

“ไม่เหนื่อยไม่ท้อนะทำแล้วก็มีความสุข งานทุกอย่างค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ปรับ อย่างพาเด็กไปดูนกทีแรกก็โดนด่าดูทำไมว่ะ ทำโครงการครูตำรวจ บรรดาตำรวจก็สงสัย ไปดูเด็กเร่ร่อนทำไม แต่ตอนนี้ตำรวจเปลี่ยนตั้งเยอะ เมื่อก่อนตำรวจกับชาวบ้านคุยกันที่ไหน ตำรวจเอางานปราบเป็น “ตัวชูโรง” ตำรวจต้องเป็น “ฮีโร่” สร้างตำรวจให้แข็งขึ้น ทั้งๆ ที่ในสภาพความเป็นจริงบ้านเมืองที่หนาแน่นอยู่ทุกวันนี้ตำรวจทำไม่ไหว เราต้องยอมรับความจริง แต่ถ้าเราทำงานในชุมชน ได้มีคนดีคอยช่วยเหลือ ตำรวจเพิ่มเพื่อนที่เป็นประชาชนเครือข่ายก็จะเต็มไปหมด”

-3-
อย่างไรก็ตามงานด้านศิลปะ –บทเพลง ก็ไม่ได้ทิ้ง พล.ต.ต. สุรศักดิ์ บอกว่าทำไปควบคู่กันถึง ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากไหนแต่ก็ทำอย่างมีความสุข อาศัยว่าอ่านหนังสือมากคลุกคลีงานด้านนี้มาตั้งแต่ม. 4 จนกระทั่งอยู่โรงเรียนเตรียมฯ ถือเป็นสิ่งที่เรารักชอบ ฉะนั้น จึงมีโอกาสได้ร่วมเล่มหนังสือ 2 เรื่อง คือ “ผูกผัน” และ “ยาวแส่แหยเสือก” และสคส.บทกลอนเล่มเล็กๆ หลายเล่ม โดยเฉพาะช่วงที่เป็นสารวัตรสืบสวนบางพลัด พ.ศ.2524-2525 ปีนั้น เริ่มเรียนแต่งเพลงวาดรูป และเข้าไปเรียนหลักสูตรสั้นๆ ที่ สมาคมนักแต่งเพลง (เฉลิมเขตต์) จึงรู้จักครูเพลงคนสำคัญๆ เช่น อ.เฟื้อ หริพิทักษ์, อ.สวัสดิ์ ตันติสุข, อ.วิโชค มุกดามณี, อ.ธงชัย รักปทุม, อ.สาคร โสภา จนกระทั่งไปมาหาสู่โดยตลอด

“จริงๆ แล้วชอบลูกทุ่ง เพลงแรกที่แต่ง คือ “หล่อลากดิน” ...เกิดมาหล่อลากดินต้องกินยาลดความหล่อ... เมื่อวานก็ดูสวยดี วันนี้สวยกว่าเมื่อวาน ทำนองโดยอาจารย์ ชลที ธารทอง ช่วงนั้นเพลงนี้ดังทีเดียว รวมทั้งได้หาเงินให้อีสานแล้ง เพราะอ่านฟ้าบ่กั้น ของ ลาวคำหอม จึงจุดประกายขึ้นมา กลายเป็นเพลง “อีสานแล้ง” พล.ต.ต.สุรศักดิ์ก็เกริ่นร้องให้ฟัง...น้ำฟ้าก็ไม่หลั่งไหล น้ำใจ ก็ไม่เห็นมี น้ำตาล้นหัวใจปรี่ ความสุขีอีสานยังห่างไกล... และจากการได้ทำงานลงพื้นทีทำให้เกิดผลงานเพลงอีกหลายเพลง ซึ่งเพลงที่แต่งทั้งหมดล้วนมาจากประสบการณ์ตรงไม่ใช่มานั่งคิดจินตนาการ อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าจะเขียนให้ดีต้องเข้าไปสัมผัส

สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ของ พล.ต.ต. สุรศักดิ์ ยืนยันจะทำงานด้านเด็กต่อไป โดยขณะนี้เป็นกรรมการด้านเด็กอยู่ 3 แห่ง มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก สหทัยมูลนิธิ มูลนิธิคุณพุ่ม และคงมีเวลาวาดรูปมากขึ้น ได้แต่งเพลงทำเกี่ยวกับชีวิตคน ลงชุมชน และตั้งใจจะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาเพื่อที่จะทำด้านเด็กต่อ เรื่องกฎหมายเด็กมีความสำคัญ หลายๆ อย่างกฎหมายป.วิอาญา ห้องสอบสวนเด็ก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีปี 2539 ก็เป็นอนุกรรมการอยู่ในสภาหลายสมัยแล้ว งานนี้คงต้องทำต่อ และกลุ่มวุฒิฯ ด้านเด็กเขาทำต่อไม่ได้เนื่องจากครบวาระ ผมจึงต้องเข้าไปสานงานต่อจากนี้

พล.ต.ต. สุรศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ชีวิตนี้ไม่ได้อยากดังอะไร ทำไปอย่างที่คิดว่าอะไรดีก็ทำ ไม่ต้องยึดอะไร ไม่ต้องตั้งใจว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เห็นว่ามันเหมาะมันควร สมควรที่จะทำก็ทำ

กำลังโหลดความคิดเห็น