“อมปากกระบอกปืน ระเบิดหัวหนีโรค”
“หักคอลูก ยิงเมียท้อง หนีหนี้บอล เผยจดหมาย เสี่ยลาตาย”
“ซดยาหนี รักสามเส้า”
“น.ศ.ระเบิดขมับหนีหนี้พนันบอล”
พาดหัวข่าวข้างต้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆในสังคมไทยปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายคล้ายเป็นการประจานความป่วยไข้ของสังคมใบนี้ รายงานความเป็นไปถึงความเจ็บป่วยทางจิตใจของผู้คนจนหาทางออกให้กับชีวิตด้วยการตายผ่านทางสื่อมวลชนเป็นระยะ สารพัดเหตุผลล้วนเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตาย ปัญหาเศรษฐกิจ/สังคมที่รุมเร้า สภาพจิตใจที่ทนรับการสูญเสียคนที่รักไม่ไหว ไปจนถึงความน้อยใจ และชีวิตที่รู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ โดยเลือกทางออกเป็นความตายของทุกสิ่ง
ประเทศไทยมีสถิติการฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 5,000 คน/ หรือวันละ 13 คน โดยประมาณ และพบว่าภาคเหนือมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด หลายหน่วยงานของสังคมพยายามลดอัตราการฆ่าตัวตายลงให้ได้ เพราะการฆ่าตัวตายที่คนฆ่าเชื่อว่าจบปัญหานั้น แท้จริงก่อปัญหาไม่รู้จบต่างหาก ฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสังคม ทำให้สูญเสียทรัพยากรบุคคล และเศรษฐกิจของประเทศ มีผลต่อสุขภาพจิตของคนใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นเสมือนตราบาปในใจของผู้ใกล้ชิดไปตลอดชีวิต
ที่สำคัญคือ เป็นเครื่องบ่งชี้สภาพของสังคม โดยเฉพาะสภาวะความผูกพันและความเข้มแข็งของคนในสังคม
ขณะที่กำลังมีความพยายามลดอัตราการฆ่าตัวตาย มีคนหนึ่งตกเป็นจำเลยว่าเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้การฆ่าตัวตายเพิ่มปริมาณขึ้น เราทายชื่อเขาได้ไม่ยาก ก่อนหน้านี้เขาเป็นจำเลยของปรากฏการณ์หลากหลายในสังคมนี้มาแล้ว เชื่อกันว่าการกระทำของเขาจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม มันได้สร้างอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลสั่นสะเทือนทั้งดีและร้ายไปในทุกวงการ ...เขาคนนั้นคือ สื่อมวลชน
รายงานขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการป้องกันการฆ่าตัวตาย ระบุว่า บันไดพื้นฐาน 1 ใน 6 ขั้นของการป้องกันการฆ่าตัวตาย คือ การลดการรายงานข่าวการฆ่าตัวตายในสื่อต่างๆลง มีการศึกษาในงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า สื่อมีอิทธิพลกับการฆ่าตัวตาย เช่น หลังการตายของ Marilyn Monroe ในเดือน ส.ค. 1962 มีคนฆ่าตัวตายตามมา 303 ราย เพิ่มขึ้น 12 % ,หลังจากหนังสือชื่อ Final exit กล่าวถึงวิธีการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยระยะสุดท้ายออกจำหน่าย มีผู้ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 313% ,รายงานการฆ่าตัวตายรายเดือนของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่1948-1968 พบว่า มีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญหลังจากมีการลงสื่อเรื่องการฆ่าตัวตาย
มีประเด็นว่า ถ้ามีการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายพร้อมรายละเอียดในหน้า1 ของหนังสือพิมพ์ จะมีแนวโน้มการตายจากฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น
น.พ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต อธิบายว่า อิทธิพลของสื่อที่มีต่อการฆ่าตัวตาย คือ การเลียนแบบ ทั้งนี้เนื่องจากคนที่คิดจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว สามารถหาวิธีการที่จะตายได้ไม่ยาก เพราะสื่อนำเสนอไว้ละเอียดมาก เช่น ข้างศพผู้ตาย บนโต๊ะหน้ากระจก พบขวดใส่ยานอนหลับ ชื่อ...ขนาด 100 มล.
จำนวน 3 ขวด
ดังนั้น คนที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย พอมาอ่านข่าวนี้ก็ฆ่าตัวตายได้ไม่ยาก แค่กินยานอนหลับยี่ห้อนี้เกินขนาดเข้าไปก็ตายได้แล้ว
“ต่างประเทศเขาถึงระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่ควรเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างละเอียด และไม่ควรขึ้นหน้าหนึ่ง แต่ของไทยทำทั้งสองอย่างเลย เรียกได้ว่าเป็นการกระตุ้นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่คิดจะฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าคิดในด้านกลับแทนที่สื่อจะกระตุ้นให้ที่คิดจะฆ่าตัวตายไม่ฆ่าตัวตายก็จะเป็นเรื่องดี แต่กลับกลายเป็นว่า การเสนอข่าวส่งอิทธิพลด้านลบไป”
“อย่างกรณีการฆ่าตัวตายแบบวิธีพิสดาร ด้วยการนำถุงพลาสติกครอบหัว เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2548 โดยผู้ตายได้มีการตั้งกล้องวิดีโอถ่ายขณะการเสียชีวิตไว้ ซึ่งถัดมาในวันที่ 31 มี.ค. 2548 ก็ผู้ที่ฆ่าตัวตายปริศนา ด้วยการใช้วิธีที่เหมือนกันเพียงแต่ไม่มีการถ่ายวีดีโอไว้อย่างในกรณีแรก และต่อมาอีก 2-3 วัน ก็มีข่าวการฆ่าตัวตายลักษณะเดียวกันตามมาอีก เช่นเดียวกับข่าวการฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ด้วยวิธีการนำเตาอังโล่ไว้ในรถ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เลียนแบบการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่น ที่ถูกนำเสนอข่าวอย่างครึกโครม ต่างกันเพียงจำนวนผู้เสียชีวิตในญี่ปุ่นมีมากหลายสิบคน”
ข้อท้วงติงประการสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การนำเสนอสาเหตุการฆ่าตัวตายทันทีในพาดหัวข่าว เช่น “หนุ่มน้อยใจพี่ไถเงิน ตัดใจลาโลก”
เรื่องนี้ น.พ.ทวีศิลป์บอกว่า สร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคมอย่างมาก เพราะคนจะฆ่าตัวตายไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว ถ้ามอง ณ จุดสุดท้ายที่เขาตัดสินใจ เป็นภาวะวิกฤตทางอารมณ์ หมายความว่า ณ วินาทีที่เขาตัดสินใจนั้น เขาถูกกดดันบีบคั้นอย่างรุนแรงจนทนไม่ได้ เขาถึงตัดสินใจทำ ส่วนสาเหตุที่นำมาก่อนที่ทำให้ถึงจุดนั้นก็อาจจะเกิดได้จากหลายๆเรื่อง และอาจจะมีวิกฤตอย่างอื่นเข้ามา เช่น เศรษฐกิจ อะไรก็แล้วแต่
เรียกได้ว่า วินาทีก่อนหน้าที่คนจะฆ่าตัวตาย วิกฤตจากตรงนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เขาฆ่าตัวตายทันที เป็นภาวะวิกฤติของอารมณ์ที่สั่งสมมาจากปัญหาก่อนหน้านี้นานัปการ เปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร่วงหล่นลงไปรวมกับปัญหาที่ทับถมไว้ก่อนหน้านี้ แล้วทันใดนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย
น.พ.ทวีศิลป์ อธิบายว่า การเสนอข่าวว่าฆ่าตัวตายเพราะช้ำรัก พิษหนี้พนันบอล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ระบุสาเหตุทันที ส่งผลลบกับสังคม ในด้านที่ส่งข้อมูลผิดๆให้สังคม เกิดการสร้างการเรียนรู้ว่า จิตใจคนเปราะบาง เพียงแค่สาเหตุที่คนภายนอกมองว่า “งี่เง่า” ก็ทำให้ใครคนหนึ่งฆ่าตัวตายได้แล้ว ทำให้เกิดการประณาม และละเลยที่จะหาสาเหตุที่แท้จริงว่า มีสภาวะอะไรที่รุมเร้าคนนั้นจนบีบให้เขาเลือกความตายเป็นทางออก
เมื่อคำนึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต่างร้อยรัดและเชื่อมโยงเข้าถึงกัน การเสนอข่าวของสื่อมวลชนก็ย่อมส่งผลกับบางสิ่งบางอย่างได้เช่นกัน ทางออกในการดำเนินการร่วมกันที่มีผู้เสนออย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในเวลานี้ และน่าที่จะเอาไปปฏิบัติใช้ได้ไม่ยากนัก เมื่อผู้เสนอคือคนที่ทำงานทั้งในวงการสุขภาพจิตและงานด้านสื่อมวลชน
วุฒิพงศ์ ฉายะพิงค์ หัวหน้าฝ่ายสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสวนปรุง ให้ข้อเสนอแนะร่วมระหว่างนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิตและนักสื่อสารมวลชน ว่า
“วงการสุขภาพจิตควรสัมมนาร่วมกับวงการสื่อสารมวลชนอย่างเป็นระบบเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการที่จะนำไปสู่การป้องกันแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายร่วมกันต่อไปรวมถึงความร่วมมือเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนในวิชา การนำเสนอทางสื่อสารมวลชนเพื่อลดผลกระทบเกี่ยวกับการเลียนแบบ ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนไม่ควรเสนอข่าวที่เด่นชัด กระตุ้นเร้าอารมณ์และบอกวิธีการฆ่าตัวตายไว้ชัดเจน ควรนำเสนอรูปแบบรายการที่เป็นไปเพื่อป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย เช่นรายการสารคดี บทความ”
วุฒิพงศ์ เสนอบทบาทที่ควรจะเป็นร่วมกันของสื่อมวลชนและวางการสุขภาพจิต คือ เผยแพร่ความรู้ทางสื่อมวลชนให้มากขึ้น เช่น บทความ สารคดี ควรอำนวยความสะดวกแก่สื่อมวลชน เพื่อเป็นแหล่งข่าวและความรู้เกี่ยวกับเรื่องการฆ่าตัวตาย จัดตั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบอำนวยความสะดวกต่อการให้ความรู้ ข่าวการฆ่าตัวตาย ตลอด 24 ชั่วโมง จัดสัมมนาและจัดทำคู่มือการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายเพื่อลดผล กระทบต่อการเลียนแบบ ควรจัดทำเว็บไซต์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับป้องกันฆ่าตัวตาย มีบุคคลรับผิดชอบ สำรวจเว็บ ไซต์ที่ชวนกันฆ่าตัวตาย
“ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เวลามีข่าวการฆ่าตัวตาย บุคลากรในวงการสุขภาพจิตต้องพร้อมที่จะให้ข่าว ให้ข้อมูลแก่สื่อทันที ไม่ใช่อิดออดไม่ยอมให้สัมภาษณ์ เพราะกลัวถูกหัวหน้าตำหนิ เพราะเรามีหน้าที่ต้องให้ความรู้แก่สังคม โดยมีสื่อมวลชนเป็นตัวช่วย”วุฒิพงศ์สรุปทิ้งท้าย
คำสารภาพของคนเคยฆ่าตัวตาย
“เคยเป็นคนที่อ่อนแอถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวเอง ด้วยการแขวนคอตาย รู้สึกอ่อนแอ ทรมานทางจิตใจ หลีกหนีการมีชีวิตอยู่ มันเป็นอะไรที่ว่างเปล่ามากๆในตอนนั้น”
นี่คือคำให้การของ “หนิง” หญิงสาววัย 18 ปี คนที่เคยพยายามฆ่าตัวตายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จุดหักเหไม่ได้อยู่ที่มีคนมาเห็นแล้วช่วยไว้ได้ทัน แต่อยู่ที่เสียงแม่เรียกลูกสาวคนเดียวลงมากินข้าว
“ถ้าไม่ได้ยินเสียงแม่ตอนนั้น แค่คิดว่ากับข้าวที่แม่ทำพรุ่งนี้ ใครจะกินถ้าเราไป... ร้องไห้แบบบ้าไปเลย” หนิงเผยความรู้สึกลึกๆในใจว่า การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องของคนที่กล้า และเข้มแข็งในการตัดสินใจ ทั้งที่จริงๆ ตอนนั้นเป็นเวลาที่จิตใจอ่อนแอมากๆ
“ตอนที่หนิงคิดทำสิ่งนี้เพียงเพราะรู้สึกเหงามากๆ แบบว่างเปล่าเศร้าซึม ไม่มีใคร ทั้งทั้งที่ถ้าคิดแล้วมันก็มีนะ แต่ ณ ตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองมีใคร พอกลับมาคิดทีหลัง ก็คิดว่าในช่วงเวลาที่คิดแบบนั้นก็อาจเพราะอยากเป็นจุดสนใจ แต่ก่อนเคยประณามคนที่ฆ่าตัวตายว่า โง่ เง่า ไร้สาระ สิ้นคิด แต่พอได้เจอกับตัวเอง รู้เลยว่ามันเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก รู้สึกเลยนะว่าจิตใจอ่อนแอมาก จนคิดแบบนั้นได้เลย อย่าไปต่อว่าคนที่คิดฆ่าตัวตาย เพราะว่าถ้าสภาพจิตใจเราไม่เป็นอย่างเขา เราจะไม่รู้เลยว่ามันสาหัสแค่ไหน ”
หญิงสาววัยรุ่นเช่นหนิง คิดหาทางออกให้กับชีวิตที่แสนเหงาของเธอด้วยการฆ่าตัวตาย เมื่อซักถามสภาพแวดล้อมของหนิง เธอบอกว่า เป็นแค่วัยรุ่นธรรมดา ไม่มีจุดเด่น ไม่มีความสำคัญในสังคม เป็นคนเงียบๆ เป็นลูกคนเดียว อยู่กับแม่และยายที่บ้าน ชีวิตเรียบๆ เป็นคนที่ใครๆก็มองข้าม ความเหงา ความเศร้า ภาวะความอ่อนแอที่หนิงรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีใคร การตายมีค่ากว่าการมีชีวิตอยู่ ทำให้เธอจะแขวนคอตาย
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อได้ตั้งสติย้อนกลับมาคิดด้วยตัวเอง หนิงบอกว่า สิ่งที่เธอมีอยู่ในชีวิตมีค่าที่สุดในโลก มีแม่และยายที่รักและเป็นห่วง มีบ้านอยู่อาศัยที่ มีเงินให้เรียน เธอดีกว่าเพื่อนอีกหลายคนที่ไม่ได้เรียนต่อ ความคิดด้านบวกนี้สร้างความตกใจให้หนิงว่า ทำไมเมื่อก่อนเธอไม่คิดถึงมัน
“เราคิดทำร้ายตัวเอง ความคิดเราทำร้ายเรา ทั้งที่มีความสุขดีทุกอย่าง แค่เป็นคนเรียบๆ ไม่หวือหวา ไม่มีจุดเด่นในหมู่เพื่อน ก็ทำให้อยากฆ่าตัวตาย ทำให้ได้รู้ว่าหนิงมีจิตใจที่อ่อนแอมากเกินไป โชคดีที่ได้ยินเสียงแม่เรียก ถ้าไม่มีเสียงนั้น ป่านนี้หนิงคง...”