โฆษกกรมสุขภาพจิตวอนคนในสังคมเฝ้าระวังผู้มีอาการโรคจิตเภทคาดมี 600,000 คนทั่วประเทศ เนื่องจากสารเคมีในสมองผิดปกติ มีอาการหูแว่วประสาทหลอน หลงผิด คนเหล่านี้น่าเห็นใจ ก่อเหตุรุนแรงเพราะสติหลุดต้องดูแลให้กินยาสม่ำเสมอ คุมอาการไม่ให้กำเริบ ลางบอกเหตุอาจเกิดเรื่องคือพฤติกรรมเปลี่ยน “ไม่กินยา เก็บตัว สะสมอาวุธ พูดคนเดียว”
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน นายแพทย์ใหญ่กรมสุขภาพจิตในฐานะโฆษกกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ลูกชายวัย 16 ปีใช้อาวุธมีด จี้จับแม่เป็นตัวประกันเพราะมีอาการทางจิต หูแว่ว ประสาทหลอน เกิดหลงผิดคิดว่าจะมีคนมาทำร้าย ว่าทีมจิตแพทย์ของสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเข้าคลี่คลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเรื่องยุติลงด้วยดีนั้น อาการดังกล่าวทางจิตแพทย์เรียกรวมว่าเป็นโรคจิตเภท ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคนี้ แต่พบว่าผู้ป่วยจิตเภทมีสารเคมีในสมองที่เรียกว่า “โดปามีน” สูงผิดปกติ บางรายเกิดจากการเสพยาบ้า เกิดจากโรคทางสมองอาการเหล่านี้ใช้ยารักษาให้อาการสงบได้ คาดว่าประชากรไทย ร้อยละ 1 หรือกว่า 600,000 คนทั่วประเทศเป็นโรคจิตเภท
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวย้ำว่า ผู้ป่วยโรคจิตเภทต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ตรงตามเวลาที่แพทย์สั่ง มีทั้งยาเม็ด ยาน้ำและยาฉีด โดยทั่วไปนิยมให้รับประทานยาเม็ด บางรายที่ไม่ให้ความร่วมมือแพทย์อาจสั่งยาน้ำ ให้ญาติผสมในน้ำดื่มหรืออาหาร เมื่อคนไข้รับประทานทำให้อาการสงบลงได้ นอกจากนี้ยังมียาฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 เข็มออกฤทธิ์ได้ 2-4 สัปดาห์ ประการสำคัญต้องได้รับยาสม่ำเสมอ
“อาการหูแว่วประสาทหลอน กลัวคนมาทำร้ายเกิดจากสารเคมีในสมองเสียสมดุลยาจะปรับให้สารเคมีในสมองสมดุลขึ้นคนเหล่านี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90 อยู่ในสังคม ชุมชนได้ อาการปกติ ไม่ต้องหวาดกลัว แต่หากเขาขาดยาจะเกิดความก้าวร้าวรุนแรงขึ้น เป็นที่สนใจของสังคม แต่คนประเภทนี้จะไม่ทำร้ายใคร การที่เขาจับตัวประกันเพราะเขาหวาดระแวง หวาดกลัว ณ เวลานั้น สิ่งที่ทำให้เขามีความมั่นใจ คือ หาใครก็ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นเพื่อน ต้องกำลังบังคับคนที่เขาเลือกมักเป็นคนที่อ่อนแอกว่า คือ เด็ก ผู้หญิง ทำให้เขาเกิดความมั่นคงทางจิตใจ ไม่มีใครมาทำร้าย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากสารเคมีในสมองผิดปกติ สั่งงานผิดปกติให้หูได้ยินเสียงแว่ว ตาเห็นภาพหลอนว่ามีคนมาทำร้าย สั่งการระบบความคิดคลาดเคลื่อนจากความจริง ถ้าได้ยารักษาโรคจิตในช่วงที่มีอาการ เขาจะเหมือนคนปกติ”นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ครอบครัวควรเฝ้าระวังสังเกตอาการ คือ ถ้าคนมีประวัติขาดยา ไม่ให้ความร่วมมือในการรับประทานยา เก็บตัว แยกจากครอบครัว มีอารมณ์หงุดหงิดเปลี่ยนจากเดิม ไม่ร่วมมือในการกินยา เรื่องเล็กน้อยทำให้เขาคุมอารมณ์ไม่ได้ ถ้ามีอาการทางโรคจิต พูดพึมพำคนเดียวเหมือนคุยกับคนอื่นแต่อยู่คนเดียว สะสมอาวุธ ให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษ ดูแลให้กินยาสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หากไม่ได้รับการรักษาจะนำไปสู่โรคจิตได้
“ช่วงอายุที่พบโรคจิตเภทได้มาก คือ อายุ 15-25 ปี มีการตรวจพบว่าสารโดปามีนในสมองสูงผิดปกติคนที่เสพยาบ้าก็ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ หากเขาเป็นผู้ป่วยโรคจิตตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ได้รับการดูแลที่ดี เราจะสูญเสียคนวัยทำงาน กำลังสำคัญของประเทศไป คนที่ซึมเศร้า เครียดเรื้อรัง หากไม่รักษาจะทำให้เกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หลงผิดทำร้ายตัวเองได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า หากถูกผู้มีอาการทางจิตจับเป็นตัวประกันให้ตั้งสติอยู่ในความสงบ อย่าโวยวาย เพราะคนที่ก่อเหตุสติขาดหลุดไปแล้วเรากำลังอยู่กับคนที่สมองสั่งการผิดปกติ เราต้องตั้งหลักชักจูงเขาให้ความมั่นใจว่า ไม่มีใครมาทำร้าย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยทางจิตที่ก่อเหตุก้าวร้าวลักษณะนี้มีจำนวนน้อยคนไข้โรคจิตเป็นกรรมของเขาที่เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อสังคมเข้าใจ เขาไม่ได้แกล้งไม่ใช่อาชญากรแต่เป็นอาการตามสภาพโรคเพราะสารเคมีผิดปกติ ขอสังคมร่วมกันดูแลให้เขามีโอกาสอยู่ในสังคม เมื่อได้รับยาเขาก็เป็นลูกที่น่ารัก