น่าแปลก...คนที่ไม่ได้จี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน ประกอบสัมมาอาชีพสุจริต แต่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างผิดกฎหมาย ไร้ผืนแผ่นดินให้เหยียบย่างอย่างอิสระเสรีตั้งแต่เกิด พวกเขาผิดที่เกิดมา หรือผิดที่เลือกเกิดไม่ได้...
ณ ดอยสูง ชายแดน ชายขอบของความเป็น “มนุษย์” อยู่แห่งหนไหน...

การต้องดิ้นรนต่อสู้ ดูจะเป็นแบบแผนวิถีชีวิตที่น่าหดหู่ของคนเหล่านี้ไปแล้ว รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรือ “อาจารย์แหวว” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าโครงการเด็กไร้รัฐ เคยกล่าวไว้ว่า
“พวกเราต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือตัวเอง พยายามให้ถึงที่สุด อย่ารอให้ใครมาช่วย ครูคนเดียวก็ช่วยไม่ได้หมดทุกคน”
การทำงานและความพยายามผลักดันนับสิบๆ ปีของ “อาจารย์แหวว” และเครือข่ายส่งผลเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่าง “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ภารกิจวันนี้จึงเป็นการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาคนไร้รัฐอย่างจริงจัง
นี่เป็นที่มาของ “ห้องเรียนสอนกฎหมาย” ที่ทีมสื่อสารสาธารณะร่วมกับโครงการเด็กไร้รัฐ ภายใต้โครงการเด็ก เยาวชนและครอบครัว องค์การพัฒนาเอกชน รวมทั้งนักวิชาการ เปิดหลักสูตรเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ โดยเป็นการอบรมชี้แจงรายละเอียดของ “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” ให้เด็กและครอบครัวคนไร้รัฐ ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาโดยตรง
“คำร้องทุกข์” ของ “คนไร้รัฐ”
บรรยากาศในห้องเรียนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อฟังปัญหาและจัดการแก้ไขปัญหา และนี่เป็นอีกคำร้องทุกข์ของน้องเพ่และมารดานางเรว นายมหาวรรณ ชาวแม่อาย บุคคลไร้สัญชาติที่ขาดโอกาสและสูญเสียโอกาสไปพร้อมๆ กัน
น้องเพ่เป็นเด็กชายวัย 16 ปีผู้ซึ่งพิการทางสายตาทั้ง 2 ข้าง แต่ด้วยความมานะพยายาม เขาจึงได้เป็นนักกีฬาเยาวชนซึ่งได้รับคัดเลือกไปแข่งขันกีฬา “เยาวชนคนพิการทางตาชิงแชมป์โลก” ณ เมืองโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเขาเป็น “บุคคลไร้สัญชาติ” ซึ่งถูกถอดถอนสัญชาติพร้อมกับชาวแม่อายนับพันชีวิต
น้องเพ่เล่าว่า เริ่มหันมาสนใจเล่นกีฬาเมื่อปี พ.ศ.2546 ซึ่งทางโรงเรียนได้ประกาศรับสมัครนักเรียนเข้าแข่งขันกีฬาแห่งชาติคนพิการ ซึ่งมีกีฬาหลายประเภท ทั้งวิ่ง กระโดดไกล ทุ่มน้ำหนัก ว่ายน้ำ ขว้างจักร แต่ตนเองสนใจว่ายน้ำกับวิ่ง จึงไปสมัครแล้วก็ฝึกซ้อมอย่างหนักตั้งแต่นั้น
จนปีนี้ทางสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกเยาวชนคนพิการเพื่อไปแข่งขันกีฬา “เยาวชนคนพิการทางตา ชิงแชมป์โลก ระหว่างวันที่ 2-12 สิงหาคม 2548 ณ เมืองโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา” ซึ่งทางโรงเรียนเป็นตัวแทนเป็น 1 ในนักกีฬาประเภทว่ายน้ำและประเภทวิ่ง 4 คน ทำให้ทางโรงเรียนจะต้องส่งเอกสารหลักฐานเพื่อดำเนินการทำหนังสือเดินทาง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะทั้งครอบครัวถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร (ทร.14) จึงอาจถูกตัดสิทธิ

“ผมเสียใจมากเมื่อทราบว่าจะไม่มีโอกาสไปแข่งกีฬา แต่ก็ไม่อยากถ่วงไว้ จะเป็นการตัดสิทธิ์คนอื่นเปล่า ยังไงๆ ครั้งนี้คงไม่ทันแล้ว ปีหน้าค่อยสมัครใหม่ก็ได้” น้องเพ่กล่าวอย่างสิ้นหวัง แต่ก็บอกความฝันของตัวเองไว้ว่าอยากเป็นครู เพื่อสอนน้องๆ ที่ตาบอด ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ป.6 โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นนักเรียนประจำ จะได้กลับบ้านตอนปิดภาคเรียนหรือวันหยุดเทศกาลต่างๆ พอเรียนจบก็อยากจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยุพราช จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง
นักปีนผา “อุทิศ ยอดคำมั่น”
เชื่อว่ายังคงมี “บุคคลไร้สัญชาติ” อีกหลายๆ คนที่มีความสามารถแต่ต้องเสียโอกาสทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาต และครอบครัววงศ์ตระกูลไป อย่างกรณีของ “นายอุทิศ ยอดคำมั่น” หรือ สอน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สูญเสียโอกาสนั้นไป
สอนเล่าว่าเขาถือบัตรสีชมพู (ผู้ผลัดถิ่นชาวพม่า) ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อก่อนไม่ค่อยให้ความสนใจขอสัญชาติ ก็ไปขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น แต่พอเขาเริ่มปีนผาและเข้าแข่งขันในปี พ.ศ.2546 ซึ่งได้ที่ 2 ตั้งแต่นั้นมาจึงมีชาวต่างชาติสนใจติดต่อให้ไปแข่งขันในต่างประเทศ โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเพื่อนชาวต่างชาติชวนเขาเข้าแข่งขันทุกครั้ง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเลย
“ผมตัดสินใจดำเนินการเป็นเรื่องเป็นราวแถมยังเคยเอาบัตรเชิญจากต่างประเทศไปแสดงให้ดูเขาก็ไม่สนใจ คงไม่ให้ความสำคัญ พอจะขอไปกรุงเทพฯ เพื่อขอไปแข่งขันในนามประเทศไทย เขาก็ไม่ให้ไป ก็ขู่จะจับ เพราะเราไปเพื่อขอออกนอกประเทศ ถ้าทำผิดมาแล้วก็จะไม่ได้อยู่ประเทศไทยอีก นั่นเป็นครั้งแรก เสียใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร”

“เพื่อนชาวต่างชาติเคยถามว่าทำไมถึงไปแข่งไม่ได้ พอบอกเขาเข้าถามว่ามีคนแบบนี้ในโลกด้วยหรอ ผมตอบเขาว่ามีเยอะเลยมาดูที่เมืองไทยสิ จากนั้นผมก็ทำเรื่องขอสัญชาติอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มักจะซักถาม พิมพ์ลายนิ้วมือเท่านั้นแล้วจบ จึงเข้าร้องเรียนสภาทนายความ และเขียนจดหมายถึงท่านนายกรัฐมนตรีฯ เรื่องจึงค่อยๆ คืบหน้า”
สอนเล่าต่อว่าปีนี้ก็คงไม่ได้แข่ง เพราะเข้าคัดเลือกตัวไม่ทัน ถึงแม้ว่าล่าสุดเรื่องจะไปถึงกรมการปกครองแล้วก็ตาม ทั้งรายการปีนหน้าผา ESPN Asian X Games ที่ประเทศเกาหลี ในวันที่ 26-29 พฤษภาคม 2548 และในเดือนสิงหาคม 2548 จะมีการแข่งขันปีนหน้าผาในรายการชิงแชมป์ประเทศไทยเพื่อคัดเลือกไปทีมชาติรอบที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อไปแข่งขันเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ในเดือนพฤศจิกายน2548 โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
สุดท้าย สอนบอกว่า เขาคงต้องพลาดโอกาสเป็นตัวแทนทีมชาติไทย รวมทั้งการแข่งขันที่จะมีในอนาคต และคงไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ ถ้าไม่มีสถานภาพเป็น “คนสัญชาติไทย”
บทเรียนในห้องสอนกฎหมาย
สองชีวิตที่ยกตัวอย่างเป็นบุคคลที่มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ แต่ก็ยังพบอุปสรรคต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่ตาม “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” เขามีสิทธิ์ในการร้องขอการเป็นคนไทย โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ อธิบายว่า กลไกการทำงานเพื่อขจัดปัญหาคนไร้สัญชาติในประเทศไทยควรเริ่มจากผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหา รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องแสวงหาความรู้และพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนสร้างพลังในการผลักดันใช้องค์ความรู้มาใช้แก้ปัญหา

ทั้งนี้ ด่านแรกที่ทุกคนต้องพบคือการพิสูจน์ตัวบุคคล เราต้องพิสูจน์ให้ได้ตามกฎหมายที่เปิดช่องไว้แล้ว ปรับทัศนคติในเรื่องการไร้สัญชาติ รู้จักช่วยเหลือตัวเอง รู้จักเก็บข้อมูล โดยหาจุดเกาะเกี่ยว คือ เกิดเมื่อไร เกิดที่ไหน พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มีความเป็นมอย่างไร ซึ่งวันนี้เป็นการเรียนครั้งแรกก็จะอธิบายวิธีการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้น เช่น วิธีการยื่นคำร้อง แน่นอนว่า มันไม่ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องอาศัยความอดทนในการเรียนรู้
จากนั้น อาจารย์วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ เล่าถึงบทเรียนแรกในห้องสี่เหลี่ยมว่า สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ในชั้นเรียนสอนกฎหมายคือจะต้องรู้จักกรอกแบบสอบถาม ซึ่งจะระบุข้อมูลพื้นฐานความเป็นตัวตน และเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เดือนร้อนให้ได้ใจความ ซึ่งหลังจากนี้จะนำมาเปลี่ยนเป็นฐานข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงสามารถนำไปใช้อย่างสะดวก
จากนั้นจะมีการสอนการเขียนจดหมายร้องเรียนให้เป็น เช่น เขียนถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี และต้องคอยติดตามเรื่องกระตือรือร้น โดยการโทรศัพท์เพื่อสอบถาม
“อย่าฝากความหวังกับหน่วยงานต่างๆ เราจะต้องช่วยเหลือตัวเองให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ความมุ่งหวังวันนี้ก็เพื่อการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ จากนั้นจึงนำความรู้ไปถ่ายทอดต่อ เป็นเครือข่ายเพื่อนช่วยเพื่อน น้องช่วยน้อง ขยายเป็นวงกว้างต่อๆ ไป”
ที่สำคัญ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ ได้ทิ้งท้ายสิ่งที่สร้างความหวังและเสริมพลังใจถึงความคืบหน้าล่าสุดเรื่องการขอสัญชาติว่า ตอนนี้ทุกอย่างคืบหน้าไปมาก เพราะเราใช้วิธีการเขียนจดหมายถึงท่านนายกฯ ไปยังบ้านพิษณุโลก ซึ่งท่านนายกฯ สนใจมาก ซึ่งเราได้รับการประสานจากเลขานุการคณะอนุกรรมการติดตามและประสานตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี บ้านพิษณุโลกจึงมีการนัดพบเพื่อฟังปัญหา โดยทางคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ขอให้มีการประชุมบุคคลและครอบครัวที่ประสบปัญหาทั้งหมด เพื่อรวบรวมและสรุปว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรที่ยังติดขัด จะได้นำไปสู่การแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง จุดนี้เองที่ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมากว่าปัญหาของบุคคลเหล่านี้ จะไม่ถูกละเลย...
ณ ดอยสูง ชายแดน ชายขอบของความเป็น “มนุษย์” อยู่แห่งหนไหน...
การต้องดิ้นรนต่อสู้ ดูจะเป็นแบบแผนวิถีชีวิตที่น่าหดหู่ของคนเหล่านี้ไปแล้ว รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรือ “อาจารย์แหวว” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าโครงการเด็กไร้รัฐ เคยกล่าวไว้ว่า
“พวกเราต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือตัวเอง พยายามให้ถึงที่สุด อย่ารอให้ใครมาช่วย ครูคนเดียวก็ช่วยไม่ได้หมดทุกคน”
การทำงานและความพยายามผลักดันนับสิบๆ ปีของ “อาจารย์แหวว” และเครือข่ายส่งผลเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่าง “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ภารกิจวันนี้จึงเป็นการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาคนไร้รัฐอย่างจริงจัง
นี่เป็นที่มาของ “ห้องเรียนสอนกฎหมาย” ที่ทีมสื่อสารสาธารณะร่วมกับโครงการเด็กไร้รัฐ ภายใต้โครงการเด็ก เยาวชนและครอบครัว องค์การพัฒนาเอกชน รวมทั้งนักวิชาการ เปิดหลักสูตรเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ โดยเป็นการอบรมชี้แจงรายละเอียดของ “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” ให้เด็กและครอบครัวคนไร้รัฐ ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาโดยตรง
“คำร้องทุกข์” ของ “คนไร้รัฐ”
บรรยากาศในห้องเรียนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อฟังปัญหาและจัดการแก้ไขปัญหา และนี่เป็นอีกคำร้องทุกข์ของน้องเพ่และมารดานางเรว นายมหาวรรณ ชาวแม่อาย บุคคลไร้สัญชาติที่ขาดโอกาสและสูญเสียโอกาสไปพร้อมๆ กัน
น้องเพ่เป็นเด็กชายวัย 16 ปีผู้ซึ่งพิการทางสายตาทั้ง 2 ข้าง แต่ด้วยความมานะพยายาม เขาจึงได้เป็นนักกีฬาเยาวชนซึ่งได้รับคัดเลือกไปแข่งขันกีฬา “เยาวชนคนพิการทางตาชิงแชมป์โลก” ณ เมืองโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเขาเป็น “บุคคลไร้สัญชาติ” ซึ่งถูกถอดถอนสัญชาติพร้อมกับชาวแม่อายนับพันชีวิต
น้องเพ่เล่าว่า เริ่มหันมาสนใจเล่นกีฬาเมื่อปี พ.ศ.2546 ซึ่งทางโรงเรียนได้ประกาศรับสมัครนักเรียนเข้าแข่งขันกีฬาแห่งชาติคนพิการ ซึ่งมีกีฬาหลายประเภท ทั้งวิ่ง กระโดดไกล ทุ่มน้ำหนัก ว่ายน้ำ ขว้างจักร แต่ตนเองสนใจว่ายน้ำกับวิ่ง จึงไปสมัครแล้วก็ฝึกซ้อมอย่างหนักตั้งแต่นั้น
จนปีนี้ทางสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกเยาวชนคนพิการเพื่อไปแข่งขันกีฬา “เยาวชนคนพิการทางตา ชิงแชมป์โลก ระหว่างวันที่ 2-12 สิงหาคม 2548 ณ เมืองโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา” ซึ่งทางโรงเรียนเป็นตัวแทนเป็น 1 ในนักกีฬาประเภทว่ายน้ำและประเภทวิ่ง 4 คน ทำให้ทางโรงเรียนจะต้องส่งเอกสารหลักฐานเพื่อดำเนินการทำหนังสือเดินทาง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะทั้งครอบครัวถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร (ทร.14) จึงอาจถูกตัดสิทธิ
“ผมเสียใจมากเมื่อทราบว่าจะไม่มีโอกาสไปแข่งกีฬา แต่ก็ไม่อยากถ่วงไว้ จะเป็นการตัดสิทธิ์คนอื่นเปล่า ยังไงๆ ครั้งนี้คงไม่ทันแล้ว ปีหน้าค่อยสมัครใหม่ก็ได้” น้องเพ่กล่าวอย่างสิ้นหวัง แต่ก็บอกความฝันของตัวเองไว้ว่าอยากเป็นครู เพื่อสอนน้องๆ ที่ตาบอด ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ป.6 โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นนักเรียนประจำ จะได้กลับบ้านตอนปิดภาคเรียนหรือวันหยุดเทศกาลต่างๆ พอเรียนจบก็อยากจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยุพราช จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง
นักปีนผา “อุทิศ ยอดคำมั่น”
เชื่อว่ายังคงมี “บุคคลไร้สัญชาติ” อีกหลายๆ คนที่มีความสามารถแต่ต้องเสียโอกาสทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาต และครอบครัววงศ์ตระกูลไป อย่างกรณีของ “นายอุทิศ ยอดคำมั่น” หรือ สอน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สูญเสียโอกาสนั้นไป
สอนเล่าว่าเขาถือบัตรสีชมพู (ผู้ผลัดถิ่นชาวพม่า) ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อก่อนไม่ค่อยให้ความสนใจขอสัญชาติ ก็ไปขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น แต่พอเขาเริ่มปีนผาและเข้าแข่งขันในปี พ.ศ.2546 ซึ่งได้ที่ 2 ตั้งแต่นั้นมาจึงมีชาวต่างชาติสนใจติดต่อให้ไปแข่งขันในต่างประเทศ โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเพื่อนชาวต่างชาติชวนเขาเข้าแข่งขันทุกครั้ง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเลย
“ผมตัดสินใจดำเนินการเป็นเรื่องเป็นราวแถมยังเคยเอาบัตรเชิญจากต่างประเทศไปแสดงให้ดูเขาก็ไม่สนใจ คงไม่ให้ความสำคัญ พอจะขอไปกรุงเทพฯ เพื่อขอไปแข่งขันในนามประเทศไทย เขาก็ไม่ให้ไป ก็ขู่จะจับ เพราะเราไปเพื่อขอออกนอกประเทศ ถ้าทำผิดมาแล้วก็จะไม่ได้อยู่ประเทศไทยอีก นั่นเป็นครั้งแรก เสียใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร”
“เพื่อนชาวต่างชาติเคยถามว่าทำไมถึงไปแข่งไม่ได้ พอบอกเขาเข้าถามว่ามีคนแบบนี้ในโลกด้วยหรอ ผมตอบเขาว่ามีเยอะเลยมาดูที่เมืองไทยสิ จากนั้นผมก็ทำเรื่องขอสัญชาติอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มักจะซักถาม พิมพ์ลายนิ้วมือเท่านั้นแล้วจบ จึงเข้าร้องเรียนสภาทนายความ และเขียนจดหมายถึงท่านนายกรัฐมนตรีฯ เรื่องจึงค่อยๆ คืบหน้า”
สอนเล่าต่อว่าปีนี้ก็คงไม่ได้แข่ง เพราะเข้าคัดเลือกตัวไม่ทัน ถึงแม้ว่าล่าสุดเรื่องจะไปถึงกรมการปกครองแล้วก็ตาม ทั้งรายการปีนหน้าผา ESPN Asian X Games ที่ประเทศเกาหลี ในวันที่ 26-29 พฤษภาคม 2548 และในเดือนสิงหาคม 2548 จะมีการแข่งขันปีนหน้าผาในรายการชิงแชมป์ประเทศไทยเพื่อคัดเลือกไปทีมชาติรอบที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อไปแข่งขันเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ในเดือนพฤศจิกายน2548 โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
สุดท้าย สอนบอกว่า เขาคงต้องพลาดโอกาสเป็นตัวแทนทีมชาติไทย รวมทั้งการแข่งขันที่จะมีในอนาคต และคงไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ ถ้าไม่มีสถานภาพเป็น “คนสัญชาติไทย”
บทเรียนในห้องสอนกฎหมาย
สองชีวิตที่ยกตัวอย่างเป็นบุคคลที่มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ แต่ก็ยังพบอุปสรรคต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่ตาม “ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล” เขามีสิทธิ์ในการร้องขอการเป็นคนไทย โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ อธิบายว่า กลไกการทำงานเพื่อขจัดปัญหาคนไร้สัญชาติในประเทศไทยควรเริ่มจากผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหา รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องแสวงหาความรู้และพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนสร้างพลังในการผลักดันใช้องค์ความรู้มาใช้แก้ปัญหา
ทั้งนี้ ด่านแรกที่ทุกคนต้องพบคือการพิสูจน์ตัวบุคคล เราต้องพิสูจน์ให้ได้ตามกฎหมายที่เปิดช่องไว้แล้ว ปรับทัศนคติในเรื่องการไร้สัญชาติ รู้จักช่วยเหลือตัวเอง รู้จักเก็บข้อมูล โดยหาจุดเกาะเกี่ยว คือ เกิดเมื่อไร เกิดที่ไหน พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มีความเป็นมอย่างไร ซึ่งวันนี้เป็นการเรียนครั้งแรกก็จะอธิบายวิธีการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้น เช่น วิธีการยื่นคำร้อง แน่นอนว่า มันไม่ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องอาศัยความอดทนในการเรียนรู้
จากนั้น อาจารย์วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ เล่าถึงบทเรียนแรกในห้องสี่เหลี่ยมว่า สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ในชั้นเรียนสอนกฎหมายคือจะต้องรู้จักกรอกแบบสอบถาม ซึ่งจะระบุข้อมูลพื้นฐานความเป็นตัวตน และเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เดือนร้อนให้ได้ใจความ ซึ่งหลังจากนี้จะนำมาเปลี่ยนเป็นฐานข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงสามารถนำไปใช้อย่างสะดวก
จากนั้นจะมีการสอนการเขียนจดหมายร้องเรียนให้เป็น เช่น เขียนถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี และต้องคอยติดตามเรื่องกระตือรือร้น โดยการโทรศัพท์เพื่อสอบถาม
“อย่าฝากความหวังกับหน่วยงานต่างๆ เราจะต้องช่วยเหลือตัวเองให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ความมุ่งหวังวันนี้ก็เพื่อการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ จากนั้นจึงนำความรู้ไปถ่ายทอดต่อ เป็นเครือข่ายเพื่อนช่วยเพื่อน น้องช่วยน้อง ขยายเป็นวงกว้างต่อๆ ไป”
ที่สำคัญ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ ได้ทิ้งท้ายสิ่งที่สร้างความหวังและเสริมพลังใจถึงความคืบหน้าล่าสุดเรื่องการขอสัญชาติว่า ตอนนี้ทุกอย่างคืบหน้าไปมาก เพราะเราใช้วิธีการเขียนจดหมายถึงท่านนายกฯ ไปยังบ้านพิษณุโลก ซึ่งท่านนายกฯ สนใจมาก ซึ่งเราได้รับการประสานจากเลขานุการคณะอนุกรรมการติดตามและประสานตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี บ้านพิษณุโลกจึงมีการนัดพบเพื่อฟังปัญหา โดยทางคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ขอให้มีการประชุมบุคคลและครอบครัวที่ประสบปัญหาทั้งหมด เพื่อรวบรวมและสรุปว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรที่ยังติดขัด จะได้นำไปสู่การแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง จุดนี้เองที่ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมากว่าปัญหาของบุคคลเหล่านี้ จะไม่ถูกละเลย...


