เสี้ยวหนึ่งของความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก จดหมายลาตายของนิสิตใหม่ชั้นปี 1 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่เกิดความกดดันทางจิตใจจากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุใหญ่ทางบ้านคิดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากการร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย และต้องเผชิญกับความพิสดารการรับน้อง ด้านพี่สาวเผยน้องชายมาลาพร้อมของขวัญ แถมเตรียมชุดใส่เมื่อตายเองด้วย
วันที่คนเป็นลูกได้รับผลการประกาศว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐอันมีชื่อเสียงได้สำเร็จ ร้อยทั้งร้อยคนเป็นพ่อเป็นแม่คงมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้าและหัวใจ แต่สำหรับครอบครัว "รุ่งเรืองศรีศักดิ์" แล้ว ไม่แน่ว่า หากย้อนเวลาได้ พวกเขาอาจจะไม่คิดแบบนี้....
"หมู" หรือโชคชัย รุ่งเรืองศรีศักดิ์ เด็กหนุ่มจากภูมิลำเนาจังหวัดชุมพร อำเภอหลังสวน ผู้ซึ่งน่าจะมีอนาคตอันยาวไกลและสดใส ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขาจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสวนศรีวิทยา อ.หลังสวน เมื่อปี 2547 ในสาขาวิทย์ - คณิต ด้วยเกรดที่ดีพอสมควร แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกของเขาไม่ประสบความสำเร็จ โชคชัยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง
น.ส.สุรีรัตน์ รุ่งเรืองศรีศักดิ์ อายุ 23 ปี ผู้เป็นพี่สาว ซึ่งก็จบมหาวิทยาลัยของรัฐ พยายามพูดให้น้องชายอ่านหนังสือรอเวลาสอบครั้งใหม่ เพราะไม่อยากให้โชคชัยเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน ฝ่ายโชคชัยเห็นดีด้วยตามคำของพี่สาว เขามุมานะอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง จากคำบอกเล่าของคนในครอบครัว
แต่เดิมเขาเป็นคนที่รักทางเครื่องกล อยากเอาดีและศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อโชคชัยหันมามองรอบๆ บริเวณของตัวเองที่อำเภอหลังสวนแล้ว เขาพบความจริงข้อหนึ่งคือ แม้ฐานะครอบครัวเขาไม่ถึงกับร่ำรวยอะไร แต่สิ่งที่พ่อแม่มีก็คือที่ทางที่พอที่จะขยับขยายทำกิจการของตัวเองได้ ประกอบกับพ่อแม่ของเขามีอาชีพขายเนื้อหมูอยู่ในตลาด ความคิดที่จะเพาะพันธุ์สัตว์จึงแว่บเข้ามาในสมองของเด็กหนุ่ม โชคชัยจึงเบนความสนใจมาที่การสอบเข้าศึกษาในคณะที่สอนเรื่องสัตว์อย่างเต็มที่ โดยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจว่า หากสอบเข้าได้ จะตั้งใจเรียนให้มากๆ เพื่อจบออกมา ทำฟาร์มหมู ฟาร์มโค หารายได้แบ่งเบาภาระ เลี้ยงดูพ่อแม่ ให้สมกับที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว
และเมื่อผลการสอบประกาศออกมา ครอบครัวของโชคชัยต่างยินดีกันถ้วนหน้า เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสามารถสอบเข้าคณะที่ใฝ่ฝัน ด้วยแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาอันเกิดจากความมานะพยายามของเขา ส่งผลแล้วในวันนี้ ... สองขาของโชคชัยก้าวเดินมุ่งหน้าเข้าสู่รั้วนนทรีอย่างเต็มภาคภูมิ และเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจในคำว่า "นิสิต" ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ก่อนหน้าที่ทางมหาวิทยาลัยจะเรียกตัวไปทำกิจกรรม โชคชัยวุ่นวายอยู่กับการซื้อของและตระเตรียมของใช้ เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน ยิ่งใกล้วันที่จะไปเรียนตื่นเต้นที่จะต้องเข้าไปอยู่ในสังคมการศึกษาใหม่ๆ ที่ใฝ่ฝันมาตลอดของเขายิ่งมากเป็นลำดับ และด้วยความร่าเริงอันเป็นอุปนิสัยพื้นเดิมของเด็กหนุ่มคนนี้ ครอบครัว "รุ่งเรืองศรีศักดิ์" ต่างก็กระตือรือร้นตามไปด้วย ทุกคนมีปลาบปลื้มมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่า อีกไม่กี่วันนับจากนั้น ความยินที่เกิดขึ้น จะแปรเปลี่ยนไปเป็นคราบน้ำตา...
"หมูเป็นเด็กดี ร่าเริง เรียบร้อย เรียนเก่ง เป็นที่รักของคนในบ้าน เค้าจะสนิทกับแม่ที่สุด เพราะตัวหนูเองต้องขึ้นมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เราเลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันในช่วงหลัง น้องเป็นคนชอบมอเตอร์ไซค์ ชอบเครื่องกล ตอนแรกก็อยากจะเรียนวิศวะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกไม่ติด หนูพยายามให้เค้าลองสอบใหม่อีกครั้ง รอไปอีกปีก็ไม่เป็นไร
ช่วง 1 ปี ที่อ่านหนังสือเขาก็ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับหอหนูที่กรุงเทพฯ มาอ่านหนังสือที่บ้าน หลังๆ มาเค้าเริ่มคิดว่าที่บ้านเราที่ชุมพร ยังพอจะมีที่ทางอยู่บ้าง แล้วพ่อแม่ก็ขายหมูในตลาด เค้าก็เกิดความคิดอยากเปิดฟาร์มสัตว์ เลี้ยงวัว เลี้ยงหมู หารายได้เลี้ยงครอบครัว แบ่งเบาภาระ เลี้ยงดูพ่อกับแม่" นี่คือคำบอกเล่าของพี่สาวผู้สูญเสีย
โชคชัยตัดสินใจเช่าหอพักเอกชนที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย แทนที่จะอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยเหมือนนิสิตใหม่ส่วนใหญ่ เนื่องจากสมัยที่พี่สาวเขาไปศึกษาอยู่ที่คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพฯ นั้น ในตอนแรกเธออยู่หอมหาวิทยาลัย แต่เมื่อคนหลายคนจากหลายที่มาอยู่ร่วมกัน สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือลักษณะนิสัยที่แตกต่างออกไปของแต่ละคน และตัวเขาเองก็เห็นด้วยในข้อนี้ จึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวในหอพักเอกชน โดยที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ก่อความไม่สบอารมณ์ให้แก่รุ่นพี่บางคน จนก่อให้เกิดความกดดันแก่ตัวเขาเองในเวลาต่อมา
และหลังจากการเตรียมตัวเพื่อเข้าศึกษา โชคชัยก็เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยที่จังหวัดนครปฐม เพิ่มร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นสำหรับนิสิตใหม่ ในวันแรกๆ เด็กหนุ่มโทรศัพท์กลับมาหาครอบครัวที่อำเภอหลังสวนด้วยน้ำเสียงร่าเริง มีความสุข ทำให้นายบุญรัตน์และนางสมบุญ ซึ่งเป็นพ่อและแม่ค่อยคลายความกังวลห่วงใยที่ลูกชายคนเดียวของบ้าน จำเป็นจะต้องเดินทางพ้นอกไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวไปได้ และนอกจากจะโทรกลับบ้านแล้ว เขายังได้โทรไปหาพี่สาว พูดคุยเล่นกันเป็นปกติ และโทรไปหาแฟนสาวที่เพิ่งจะเริ่มคบหากันไม่นาน ทุกอย่างดูเป็นปกติดี
เด็กหนุ่มนิสิตใหม่ไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยได้ 2- 3 วัน จนกระทั่งวันที่ 3 มิถุนายน โชคชัยได้โทรศัพท์กลับไปที่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ไร้วี่แววความร่าเริงในน้ำเสียง ตรงข้ามนางสมบุญยังจับแววความเครียดและความอัดอั้นตันใจของลูกชายได้อย่างชัดเจน นายโชคชัยได้พูดถึงความอึดอัดใจกิจกรรมการรับน้องแบบพิสดารของรุ่นพี่ โดยสั่งให้เต้นท่า “ไก่ย่าง” โดยใช้ท่าเต้นคล้ายการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย และมีการบังคับรุ่นน้องด้วยความรุนแรงต่างๆ นานา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวใช้เวลายาวนานถึง 15 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 07.00-22.00 น. และยังถูกรุ่นพี่บังคับไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ส่งผลให้แฟนสาวที่เพิ่งคบหากัน และมีอันต้องอยู่ห่างคนละที่เกิดความระแวง
หลังจากนั้นรุ่งขึ้น วันที่ 4 มิถุนายน โชคชัยได้โทรศัพท์ไปหาพี่สาว และกล่าวว่าจะมาหาที่หอพัก เนื่องจากเครียดมาก ตกเย็น เขาก็ไปหาพี่สาวที่หอพักในจังหวัดกรุงเทพฯ ตามที่นัดเอาไว้
"ไม่ไหวแล้ว รุ่นพี่ให้เต้นท่าอุบาทว์"
ผู้เป็นน้องชายเริ่มต้นประโยคนี้กับสุรีรัตน์ ซึ่งเธอได้กล่าวกับ “ผู้จัดการออนไลน์” ว่าน้องชายที่เป็นคนเรียบร้อย ไม่น่าจะรับได้กับท่าเต้นที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ยิ่งจำเป็นต้องเต้นต่อหน้ารุ่นพี่และเพื่อนจำนวนมาก ยิ่งสร้างความกดดันให้น้องชายของเธออย่างแน่นอน เธอเองก็เคยผ่านชีวิตมหาวิทยาลัย ทราบว่าการรับน้องคืออะไรเป็นเป็นอย่างไร รวมถึงการเต้นท่าไก่ย่าง แต่เธอคาดว่าท่าไก่ย่างที่น้องชายของเธอเล่าให้ฟังว่ามัน “อุบาทว์” แค่ไหน น่าจะเป็นการประยุกต์ท่าให้ส่อไปในแนวอนาจารกว่า “ไก่ย่าง” ฉบับดั้งเดิม เนื่องจากคณะของน้องชายมีนิสิตชายมาก ดังนั้นความคะนองแบบผู้ชายอาจจะสูงกว่าคณะอื่น
นอกจากนี้น้องชายยังได้บ่นให้ฟังถึงความกดดันจากปัญหาอื่นๆ อีกเช่นเรื่องการบังคับห้ามใช้โทรศัพท์ระหว่างการทำกิจกรรมโดยเด็ดขาด ความกดดันที่รุ่นพี่ไม่พอใจที่เขาเช่าหอเอกชนแทนที่จะอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย รวมถึงการสอบวัดระดับความรู้ที่น้องชายรู้สึกว่าตนเองไม่พร้อม แต่ก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเพราะต้องทำกิจกรรม
“เค้าเครียดเรื่องรุ่นพี่ให้ไปเต้นท่าอุบาทว์ในเพลงไก่ย่าง โอเคไก่ย่างเวอร์ชั่นที่เห็นกันปกติอาจไม่เท่าไหร่ แต่คณะน้องชายผู้ชายเยอะ อาจจะมีการประดิษฐ์ที่ให้มันมากขึ้นไปอีก เค้าเป็นคนเรียบร้อย จะให้มาเต้นแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะคงรับไม่ได้ แต่วันที่เค้ามาหาที่หอก็ไม่ได้บอกอะไรมาก ตามนิสัยเค้าเวลาเค้าร่าเริงเค้าจะพูดคุย แต่ถ้ามีเรื่องกังวลเค้าจะไม่ค่อยบอกใคร ไม่อยากให้ใครห่วงมาก แค่บอกหัวข้อเรื่องว่ากังวลเรื่องอะไร แล้วก็มีเรื่องสอบพรีเทสท์ ที่เค้ารู้สึกว่าเค้าไม่พร้อม เรื่องโทรศัพท์ซึ่งถูกห้ามใช้ระหว่างการทำกิจกรรม ถึงขั้นแม่หนูพูดว่า... ถ้าเอาไปมันคงกระทืบน้องตาย ....เรื่องเงินทุนกู้ยืมทางการศึกษาที่น้องชายกลัวว่าจะไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้ยืม แต่ที่เศร้าที่สุด คือที่น้องมาในวันนั้น จริงๆ คือเค้ามาลา”
ในวันนั้น ก่อนที่โชคชัยจะลากลับไป เขาได้ยื่นกล่องกล่องหนึ่งให้พี่สาว แล้วพูดว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ อีกนานกว่าจะได้เจอกัน คิดถึงนะ” แล้วก็ปิดประตูออกไป ตอนนั้นเธอก็งงกับการกระทำของน้องชาย เพราะวันนั้นไม่ใช่วันเกิดเธอ เมื่อเธอเปิดดู ปรากฎว่าเป็นรองเท้าราคาแพงที่น้องชายและเธอเคยไปเดินเลือกด้วยกัน แต่เธอไม่กล้าซื้อเพราะราคาของมันแม้ว่าเธอจะทำงานแล้ว นอกจากนี้ยังมีโน้ตจากน้องชายเขียนอยู่ที่หลังบิลเงินสดว่า
“...แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ หวังว่าคงจะชอบ อีกนานกว่าจะได้เจอกัน คิดถึงนะ BYE...”
ซึ่งในวินาทีนั้น เธอไม่ได้สังหรณ์ใจเลยว่าคำว่า BYE ของโชคชัย คือการเอ่ยคำลาจากกัน ... ตลอดกาล
หลังจากที่โชคชัยกลับจากห้องของพี่สาว เขาก็เดินทางกลับชุมพรทันที และถึงชุมพรในเวลาเช้า คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พบโชคชัยไปซื้อกับข้าว และนำกับข้าวที่ซื้อมาไปถวายพระที่วัด แต่บังเอิญว่าเป็นช่วงที่พระออกไปบิณฑบาตพอดี เขาจึงได้แต่วางกับข้าวไว้หน้ากุฏิ จากนั้นเขาก็แอบเข้าไปที่บ้านโดยไม่ได้โทรศัพท์บอกพ่อแม่ที่กำลังขายหมูอยู่ในตลาด เขียนจดหมายลากพ่อกับแม่ไว้ว่า
“ขอโทษที่ทนไม่ไหว ขอโทษแม่จริงๆ แต่ทนไม่ไหวแล้ว ลูกขอโทษแม่ที่ไม่ได้บวชให้ ขอให้แม่นำชุดในกระเป๋าสีดำสวมให้ลูกด้วย”
จากนั้นนายโชคชัย ก็ตัดสินใจยุติความอัดอั้นตันใจทั้งมวล ด้วยทูตมรณะ .38 วอลเวอร์ ... จบชีวิตที่เพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน ท่ามกลางความเสียใจของคนในครอบครัว ...
"ลูกคงเครียดและเหงาที่ต้องอยู่เพียงลำพัง จึงหนีกลับไปเอาปืนยิงตัวตาย ที่แม่ออกมาให้ข่าวเพราะคิดว่าจะได้เป็นอุทาหรณ์แก่มหาวิทยาลัย ในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกของคนอื่นอีก ไม่ได้ต้องการให้มหาวิทยาลัยเสียหาย และไม่ต้องการเอาเรื่องกับมหาวิทยาลัย" นางสมบุญ กล่าว
ด้านน.ส.สุรีรัตน์ก็กล่าวว่า ไม่ได้อยากจะเอาเรื่องกับทางมหาวิทยาลัย เพราะเชื่อว่าคงจะไม่ทราบว่ารุ่นพี่ได้ไปจัดกิจกรรมเช่นไรกับรุ่นน้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องทางมหาวิทยาลัยก็ได้ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจ และโทรศัพท์มาทุกวัน ก็ได้คุยกับทางมหาวิทยาลัยบ้างแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมหาวิทยาลัยปฏิเสธว่ากิจกรรมที่นายโชคชัยไปเข้าร่วม ไม่ใช่กิจกรรมการรับน้องอย่างที่เข้าใจ เป็นเพียงกิจกรรมแนะนำมหาวิทยาลัยเท่านั้น
และหลังจากเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายเล่มเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เรื่องราวดังกล่าวก็กลายเป็นที่สนใจของประชาชน หลายต่อหลายเวบไซต์ได้นำเรื่องราวออกเผยแพร่ ซึ่งก็มีผู้สนใจเข้าไปอ่านเป็นจำนวนมาก บางเวบไซต์สามารถแสดงความคิดเห็นได้ หลายคนออกความเห็นว่าไม่น่าจะเป็นเหตุผลเรื่องการรับน้อง บางคนพาลคิดไปว่าเป็นความผิดของผู้ตายเองที่ทนไม่ได้ แล้วก็มีบางส่วนคิดว่าสาเหตุหลักมาจากการทำกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด ก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้เสียแล้ว
แต่แม้ว่าจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตาม ประเด็นที่ถูกหลายคนจับตามองอย่างช่วยไม่ได้ คือกิจกรรมการรับน้องของมหาวิทยาลัย ที่ขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานกำหนดออกมาอย่างแน่ชัดให้เหมือนกันหมดทุกสถาบัน ที่อาจเป็นเหตุให้รุ่นพี่บางส่วนกระทำอะไรที่เกินเลย จนกลายเป็นข่าวใหญ่ ที่เราๆ ท่านๆ ได้เห็นกันเป็นประจำในช่วงเทศกาลเปิดเทอมใหม่ทุกๆ ปี สำหรับกรณีของ “โชคชัย” แม้ว่าสาเหตุการเสียชีวิตอาจจะไม่ใช่เพราะการรับน้อง
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยคือ ยังมีรุ่นพี่จำนวนมาก ที่ได้จัดกิจกรรมและให้รุ่นน้องร่วมกิจกรรมอย่าง “เกินเลย” และไม่เหมาะสม นี่ต่างหากปัญหาที่แท้จริงที่รอคอยการแก้ไข
คลิกอ่านคำชี้แจงของทางมหาวิทยาลัย >>> ชี้แจงกรณีนิสิต ชั้นปีที่ 1 คณะเกษตร กำแพงแสน ยิงตัวตาย
*** หมายเหตุ เพลงไก่ย่าง เนื้อเพลงอาจจะไม่เหมือนกันตามแต่ละสถาบันจะสร้างสรรค์ให้แตกต่างออกไป แต่เนื้อร้องที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ
ไก่ย่าง
"ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา
มันก็ถูกไม้เสียบ (อ๊า)
มันก็ถูกไม้เสียบ
เสียบตูดซ้าย
เสียบตูดขวา
ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ
ไก่แจ้ตายแล้ว
ไก่แจ้ตายแล้ว
มันจะไม่ขันอีก
มันจะไม่ขันอีก
ก่อก กา ลี
ก่อก กา ลา
ก่อก ก่อก ก่อก กาลี
ก่อก กา ลี ก่อกกาลา"