“โฮมีโอพาธี” (Homeopathy) ถือเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่ใหม่มากๆ สำหรับบ้านเรา ดังนั้น หากกล่าวถึงการบำบัดด้วยวิธีการดังกล่าวคงต้องอาศัยการทำความเข้าใจอย่างมาก เนื่องจากปรัชญาและทฤษฎีทางการแพทย์นั้นสวนทางกันกับการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

“หยามยอกเอาหนามบ่ง” “พิษต้านพิษ”เป็นการเปรียบเทียบเชิงนิยามความหมายวิธีการรักษาของ “โฮมีโอพาธี” ซึ่งชัดเจนที่สุด กล่าวคือ โฮมีโอพาธียึดกฎหลักๆ 2 ข้อ คือ กฎว่าด้วยความเหมือน (Law of similar,like cures like) คือ นำสิ่งที่คล้ายกันมารักษาและ กฎว่าด้วยปริมาณเพียงเล็กน้อย (Law of Infinitesimals) คือ การใช้ยาขนาดน้อยอย่างมาก แต่มีฤทธิ์แรงมากด้วยยาเพียงตำรับเดียว
โฮมีโอพาธีคืออะไร
ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุล กองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายศาสตร์การแพทย์ทางเลือก “โฮมีโอพาธี” ว่า วิธีการนี้เป็นการกระตุ้นการตอบสนองต่อโรคเพื่อช่วยให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง โดยเชื่อในพลังชีวิตของมนุษย์ เชื่อว่าการเจ็บป่วยเป็นสภาวะที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับจิตซึ่งการมีสุขภาวะที่ดี ต้องประกอบด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ อีกทั้งเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีความสามารถในการเยียวยาตัวเองได้ ที่สำคัญคือ การรักษาวิธีนี้ไม่เน้นการรักษาโรค แต่เป็นการรักษาการเจ็บป่วยของคนที่สาเหตุ
“หลายคนมักถามว่า โฮมีโอพาธี รักษาโรคอะไร เราบอกไม่ได้ เพราะไม่ได้รักษาโรคแต่รักษาอาการเจ็บป่วยของคน แต่โรคที่บำบัดด้วยโฮมีโอพาธีได้ดีก็เช่น โรคภูมิแพ้ โรคข้ออักเสบ ลำไส้อักเสบ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง โรคจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนและโรคติดเชื้อบางอย่าง”
ภญ.มณฑกา บอกอีกว่า สำหรับการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังนี้ ถ้าไม่รักษาก็จะไม่หายแต่จะถ่ายทอดสู่ลูกหลาน และถ้ารักษาไม่ถูกทางอาการเจ็บป่วยก็จะถูกพัฒนาไปสู่โรคที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น 90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดเมื่อซักถามไปเรื่อยๆ จะพบว่า เคยมีปัญหาเป็นผื่นคันมาก่อน ซึ่งเมื่อมีผืนคันก็มักจะทายารักษาผื่นคัน ยาตัวนี้จะไปกดระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งๆ ที่ผื่นคันนั้นเป็นสิ่งที่แสดงออกมาว่าร่างกายของเราไม่ชอบสิ่งที่เราคลุกคลีอยู่ให้หลีกเลี่ยง แต่เราไม่เคยฟังเสียงร่างกายตัวเอง พอคันก็ทายา
กลายเป็นว่า สุดท้ายต้องจบลงด้วยการเป็นหอบหืด
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือโรคมะเร็ง มะเร็งเป็นโรคที่ก่อตัวมานานในร่างกายของเรา มนุษย์ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยเกินไป ไม่สนใจเรื่องการกินอยู่ ไม่เคยสังเกตว่าเราเหมาะกับอะไรหรือไม่เหมาะกับอะไร จึงทำให้กลายเป็นโรคมะเร็ง

ส่วนวิธีการรักษา จะใช้การสัมภาษณ์และวินิจฉัยอาการ ในการสัมภาษณ์อาการผู้ป่วยมักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยและแพทย์จะมีความใกล้ชิดกัน เพราะไม่มีใครรู้สาเหตุของการเจ็บป่วยที่แท้จริงนอกจากตัวเราเอง ดังนั้น จึงต้องคอยสังเกตร่างกายของเราและบอกหมอที่ทำการรักษาอยู่ ร่วมมือกันอย่างมีส่วนร่วมโดยแพทย์จะจับคู่ยากับอาการโดยรวมมาซ้อนเป็นภาพเงา เพื่อรักษาโรค
“การบำบัดด้วยวิธีการนี้เริ่มแรกเมื่อรับประทานยาเข้าไปจะทำให้อาการของโรคกลับมา คือ เข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงาน เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานผู้ป่วยก็จะแข็งแรงขึ้น เป็นการฝึกให้ร่างกายตอบสนองต่อโรค ช่วยให้ป่วยยากขึ้น อย่างเด็กสมัยนี้อยู่กับยาปฏิชีวนะเยอะมาก เพราะเรามัวแต่ไปกินยาเพื่อเข้าไปฆ่าเชื้อโรค ระงับอาการตลอดจึงทำให้เด็กป่วยบ่อยๆ ดังนั้น วิธีการนี้จึงเหมาะกับบุคคลที่พอจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง”
ภญ.มณฑกา อธิบายอีกว่า โฮมีโอพาธีก็ใช้ยาในการรักษา แต่ยาที่สร้างจุดต่างในวงการแพทย์ คือ ยาจะต้องผ่านกระบวนการเจือจาง ในสัดส่วนสารตั้งต้น ต่อ แอลกอฮอล์ เท่ากับ 1 : 10 หรือ 1 : 100 หากยิ่งเจือจางมากก็ยิ่งมีฤทธิ์มาก เปรียบเทียบได้ว่าเรากำลังกินวิญญาณหรือพลังงานที่ไม่สูญสลายไปโดยไม่ได้กินเนื้อหยาบๆ ซึ่งความเข้มของสสารนั้นมีมาตรฐานการเจือจางสากลควบคุมด้วย ดังนั้นจึงเป็นการสวนทางกับแพทย์แผนปัจจุบันอย่างมาก
เช่น แพทย์แผนปัจจุบันเด็กจะต้องกินพารา 1 เม็ด ในขนาด 250 กรัม แต่ผู้ใหญ่กิน 500 กรัม เป็นต้น ทั้งนี้โฮมีโอพาธียังตำรับยามากกว่า 6,000 ชนิด มี 2,000 – 3,000 ชนิดผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสิ้นล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ทั้งสมุนไพร แร่ธาตุ สัตว์ ด้วยการสกัดเอาแต่น้ำ ซึ่งสารตั้งต้น 1 หลอด สามารถใช้รักษาคนได้จำนวนมาก

นั่นเป็นเหตุผลให้ยาชนิดนี้มีราคาถูกและปลอดภัยมาก
ดังนั้นในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ รวมทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จึงบรรจุการรักษาแบบโฮมีโอพาธี ลงในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กำเนิดแห่งโฮมีโอพาธี
โฮมีโอพาธีจัดเป็นศาสตร์การแพทย์พื้นบ้านของยุโรป มีอายุมากกว่า 200 ปี ต้นกำเนิดมาจาก นพ.ซามูเอล ฮาห์เนมานน์ (Samuel Hahnemann) ชาวเยอรมัน โดยเขามีอาชีพเป็นแพทย์ได้แค่ 9 ปีก็ตัดสินใจเลิกอาชีพนี้เนื่องจากมีความเห็นที่ขัดแย้งกับทฤษฎีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะเห็นว่าเป็นการรักษาคนไข้ที่สุดแสนจะทรมาน
ในช่วงที่ นพ.ซามูเอลยึดอาชีพนักแปล โดยทำงานแปลตำรายาสมุนไพร เขาก็พบว่าเปลือกต้นซิงโคนาสามารถรักษามาลาเรียได้ จึงเริ่มทดลองกับตัวเองพบว่า เมื่อกินสมุนไพรชนิดนี้เข้าไปมีผลทำให้เกิดอาการเช่นเดียวกับไข้มาลาเรีย
ภายหลังการค้นคว้าเป็นเวลา 14 ปี เขาสรุปว่าอาการป่วยเป็นอาการแสดงของร่างกายในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย การเสริมอาการป่วยให้มีมากขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยหายจากความเจ็บป่วย ยาซึ่งมีผลให้คนปกติเกิดอาการผิดปกติบางอย่างขึ้น จะเป็นยาที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการป่วยแบบเดียวกันกับอาการผิดปกติที่ว่านี้ได้ ความประสบความสำเร็จเวลานั้นส่งผลให้ “โฮมีโอพาธี” ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากสามารถรักษาโรคอหิวาห์และอีกหลายๆโรคได้ผล
“ถือว่าโฮมิโอพาธีเติบโตเป็นคู่ขนานไปกับการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งยุคหนึ่งครองความนิยมและยุคหนึ่งก็หายไปเพราะระบบเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ปัจจุบันก็กลับมาอีกเพราะกระแสหลักของสังคมเป็นกลับคืนสู่ธรรมชาติ แพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้เป็นคำตอบของโรคทุกโรคอีกต่อไป ในยาแผนปัจจุบันเต็มไปด้วยสารเคมีและสารเคมีก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เกิดผลข้างเคียงจนอาจจะต้องประสบกับโรคใหม่เลยทีเดียว ขณะที่ยาที่ได้จากโฮมีโอ พาธีเป็นยาที่ได้จากธรรมชาติและยังผ่านกระบวนการเจือจางดังนั้นผลข้างเคียงจึงไม่มี”ภญ.มณฑกาอธิบาย
ทั้งนี้ ความนิยมของชาวยุโรปเปรียบเทียบได้จากสถิติช่วง5-6 ปีที่ผ่านมา ยุโรปและอเมริกามีผู้ใช้ประโยชน์จาก แพทย์ทางเลือกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เบลเยียมกว่า 30% เลือกใช้บริการการแพทย์ทางเลือก และ 56% เป็นการบำบัดแบบโฮมีโอพาธี ส่วนสหรัฐฯ เดิมมีสัดส่วนการใช้แพทย์ทางเลือก 34% ก็ขยับขึ้นเป็น 72%
ปัจจุบัน โฮมีโมพาธีได้รับความนิยมสูง เมื่อเร็วๆ นี้องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ รายงานว่า ผลิตภัณฑ์ยาโฮมีโอพาธีมีปริมาณจำหน่ายในตลาดมากขึ้น 100%และที่จำหน่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยามียอดจำหน่ายสูงถึง 75 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงจากเดิม 15-20% ในสหรัฐฯ มีโรงเรียนสอนไม่น้อยกว่า 5 แห่ง มีร้านขายยา 20 แห่งและมีหมอประมาณ 3,000 คน ส่วนในฝรั่งเศสมียอดการจำหน่ายยา โฮมีโอพาธี 10 % จากปริมาณยาทั้งหมดในตลาด
สำหรับในไทย “โฮมีโอพาธี” เป็นศาสตร์ที่เพิ่งนำเข้ามา โดยระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการประเมินและการวิจัย ทั้งข้อดีขอเสีย พร้อมกับค่อยๆ ให้ความรู้ที่ชัดเจนกับประชาชน เปิดเวทีได้ทำความเข้าใจ ดังนั้น ขณะนี้จึงไม่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกใดที่บำบัดโดยโฮมีโอพาธีที่ถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีหน้าอาจจะมีการบำบัดโฮมีโอพาธีอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
สุดท้าย ภญ.มณฑกา แนะนำว่า ด้วยวิธีคิดที่สวนทางกันอย่างมากระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและโฮมีโอพาธีจึงควรจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในการรักษา แต่ก็ยังสามารถใช้ควบคู่กันได้แต่ไม่ใช่ใช้พร้อมกัน ควรดูแนวโน้มให้ไปด้วยกันได้ รู้ทั้งเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งโฮมีโอพาธีถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก
“หยามยอกเอาหนามบ่ง” “พิษต้านพิษ”เป็นการเปรียบเทียบเชิงนิยามความหมายวิธีการรักษาของ “โฮมีโอพาธี” ซึ่งชัดเจนที่สุด กล่าวคือ โฮมีโอพาธียึดกฎหลักๆ 2 ข้อ คือ กฎว่าด้วยความเหมือน (Law of similar,like cures like) คือ นำสิ่งที่คล้ายกันมารักษาและ กฎว่าด้วยปริมาณเพียงเล็กน้อย (Law of Infinitesimals) คือ การใช้ยาขนาดน้อยอย่างมาก แต่มีฤทธิ์แรงมากด้วยยาเพียงตำรับเดียว
โฮมีโอพาธีคืออะไร
ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุล กองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายศาสตร์การแพทย์ทางเลือก “โฮมีโอพาธี” ว่า วิธีการนี้เป็นการกระตุ้นการตอบสนองต่อโรคเพื่อช่วยให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง โดยเชื่อในพลังชีวิตของมนุษย์ เชื่อว่าการเจ็บป่วยเป็นสภาวะที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับจิตซึ่งการมีสุขภาวะที่ดี ต้องประกอบด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ อีกทั้งเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีความสามารถในการเยียวยาตัวเองได้ ที่สำคัญคือ การรักษาวิธีนี้ไม่เน้นการรักษาโรค แต่เป็นการรักษาการเจ็บป่วยของคนที่สาเหตุ
“หลายคนมักถามว่า โฮมีโอพาธี รักษาโรคอะไร เราบอกไม่ได้ เพราะไม่ได้รักษาโรคแต่รักษาอาการเจ็บป่วยของคน แต่โรคที่บำบัดด้วยโฮมีโอพาธีได้ดีก็เช่น โรคภูมิแพ้ โรคข้ออักเสบ ลำไส้อักเสบ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง โรคจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนและโรคติดเชื้อบางอย่าง”
ภญ.มณฑกา บอกอีกว่า สำหรับการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังนี้ ถ้าไม่รักษาก็จะไม่หายแต่จะถ่ายทอดสู่ลูกหลาน และถ้ารักษาไม่ถูกทางอาการเจ็บป่วยก็จะถูกพัฒนาไปสู่โรคที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น 90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดเมื่อซักถามไปเรื่อยๆ จะพบว่า เคยมีปัญหาเป็นผื่นคันมาก่อน ซึ่งเมื่อมีผืนคันก็มักจะทายารักษาผื่นคัน ยาตัวนี้จะไปกดระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งๆ ที่ผื่นคันนั้นเป็นสิ่งที่แสดงออกมาว่าร่างกายของเราไม่ชอบสิ่งที่เราคลุกคลีอยู่ให้หลีกเลี่ยง แต่เราไม่เคยฟังเสียงร่างกายตัวเอง พอคันก็ทายา
กลายเป็นว่า สุดท้ายต้องจบลงด้วยการเป็นหอบหืด
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือโรคมะเร็ง มะเร็งเป็นโรคที่ก่อตัวมานานในร่างกายของเรา มนุษย์ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยเกินไป ไม่สนใจเรื่องการกินอยู่ ไม่เคยสังเกตว่าเราเหมาะกับอะไรหรือไม่เหมาะกับอะไร จึงทำให้กลายเป็นโรคมะเร็ง
ส่วนวิธีการรักษา จะใช้การสัมภาษณ์และวินิจฉัยอาการ ในการสัมภาษณ์อาการผู้ป่วยมักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยและแพทย์จะมีความใกล้ชิดกัน เพราะไม่มีใครรู้สาเหตุของการเจ็บป่วยที่แท้จริงนอกจากตัวเราเอง ดังนั้น จึงต้องคอยสังเกตร่างกายของเราและบอกหมอที่ทำการรักษาอยู่ ร่วมมือกันอย่างมีส่วนร่วมโดยแพทย์จะจับคู่ยากับอาการโดยรวมมาซ้อนเป็นภาพเงา เพื่อรักษาโรค
“การบำบัดด้วยวิธีการนี้เริ่มแรกเมื่อรับประทานยาเข้าไปจะทำให้อาการของโรคกลับมา คือ เข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงาน เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานผู้ป่วยก็จะแข็งแรงขึ้น เป็นการฝึกให้ร่างกายตอบสนองต่อโรค ช่วยให้ป่วยยากขึ้น อย่างเด็กสมัยนี้อยู่กับยาปฏิชีวนะเยอะมาก เพราะเรามัวแต่ไปกินยาเพื่อเข้าไปฆ่าเชื้อโรค ระงับอาการตลอดจึงทำให้เด็กป่วยบ่อยๆ ดังนั้น วิธีการนี้จึงเหมาะกับบุคคลที่พอจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง”
ภญ.มณฑกา อธิบายอีกว่า โฮมีโอพาธีก็ใช้ยาในการรักษา แต่ยาที่สร้างจุดต่างในวงการแพทย์ คือ ยาจะต้องผ่านกระบวนการเจือจาง ในสัดส่วนสารตั้งต้น ต่อ แอลกอฮอล์ เท่ากับ 1 : 10 หรือ 1 : 100 หากยิ่งเจือจางมากก็ยิ่งมีฤทธิ์มาก เปรียบเทียบได้ว่าเรากำลังกินวิญญาณหรือพลังงานที่ไม่สูญสลายไปโดยไม่ได้กินเนื้อหยาบๆ ซึ่งความเข้มของสสารนั้นมีมาตรฐานการเจือจางสากลควบคุมด้วย ดังนั้นจึงเป็นการสวนทางกับแพทย์แผนปัจจุบันอย่างมาก
เช่น แพทย์แผนปัจจุบันเด็กจะต้องกินพารา 1 เม็ด ในขนาด 250 กรัม แต่ผู้ใหญ่กิน 500 กรัม เป็นต้น ทั้งนี้โฮมีโอพาธียังตำรับยามากกว่า 6,000 ชนิด มี 2,000 – 3,000 ชนิดผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสิ้นล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ทั้งสมุนไพร แร่ธาตุ สัตว์ ด้วยการสกัดเอาแต่น้ำ ซึ่งสารตั้งต้น 1 หลอด สามารถใช้รักษาคนได้จำนวนมาก
นั่นเป็นเหตุผลให้ยาชนิดนี้มีราคาถูกและปลอดภัยมาก
ดังนั้นในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ รวมทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จึงบรรจุการรักษาแบบโฮมีโอพาธี ลงในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กำเนิดแห่งโฮมีโอพาธี
โฮมีโอพาธีจัดเป็นศาสตร์การแพทย์พื้นบ้านของยุโรป มีอายุมากกว่า 200 ปี ต้นกำเนิดมาจาก นพ.ซามูเอล ฮาห์เนมานน์ (Samuel Hahnemann) ชาวเยอรมัน โดยเขามีอาชีพเป็นแพทย์ได้แค่ 9 ปีก็ตัดสินใจเลิกอาชีพนี้เนื่องจากมีความเห็นที่ขัดแย้งกับทฤษฎีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะเห็นว่าเป็นการรักษาคนไข้ที่สุดแสนจะทรมาน
ในช่วงที่ นพ.ซามูเอลยึดอาชีพนักแปล โดยทำงานแปลตำรายาสมุนไพร เขาก็พบว่าเปลือกต้นซิงโคนาสามารถรักษามาลาเรียได้ จึงเริ่มทดลองกับตัวเองพบว่า เมื่อกินสมุนไพรชนิดนี้เข้าไปมีผลทำให้เกิดอาการเช่นเดียวกับไข้มาลาเรีย
ภายหลังการค้นคว้าเป็นเวลา 14 ปี เขาสรุปว่าอาการป่วยเป็นอาการแสดงของร่างกายในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย การเสริมอาการป่วยให้มีมากขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยหายจากความเจ็บป่วย ยาซึ่งมีผลให้คนปกติเกิดอาการผิดปกติบางอย่างขึ้น จะเป็นยาที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการป่วยแบบเดียวกันกับอาการผิดปกติที่ว่านี้ได้ ความประสบความสำเร็จเวลานั้นส่งผลให้ “โฮมีโอพาธี” ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากสามารถรักษาโรคอหิวาห์และอีกหลายๆโรคได้ผล
“ถือว่าโฮมิโอพาธีเติบโตเป็นคู่ขนานไปกับการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งยุคหนึ่งครองความนิยมและยุคหนึ่งก็หายไปเพราะระบบเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ปัจจุบันก็กลับมาอีกเพราะกระแสหลักของสังคมเป็นกลับคืนสู่ธรรมชาติ แพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้เป็นคำตอบของโรคทุกโรคอีกต่อไป ในยาแผนปัจจุบันเต็มไปด้วยสารเคมีและสารเคมีก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เกิดผลข้างเคียงจนอาจจะต้องประสบกับโรคใหม่เลยทีเดียว ขณะที่ยาที่ได้จากโฮมีโอ พาธีเป็นยาที่ได้จากธรรมชาติและยังผ่านกระบวนการเจือจางดังนั้นผลข้างเคียงจึงไม่มี”ภญ.มณฑกาอธิบาย
ทั้งนี้ ความนิยมของชาวยุโรปเปรียบเทียบได้จากสถิติช่วง5-6 ปีที่ผ่านมา ยุโรปและอเมริกามีผู้ใช้ประโยชน์จาก แพทย์ทางเลือกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เบลเยียมกว่า 30% เลือกใช้บริการการแพทย์ทางเลือก และ 56% เป็นการบำบัดแบบโฮมีโอพาธี ส่วนสหรัฐฯ เดิมมีสัดส่วนการใช้แพทย์ทางเลือก 34% ก็ขยับขึ้นเป็น 72%
ปัจจุบัน โฮมีโมพาธีได้รับความนิยมสูง เมื่อเร็วๆ นี้องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ รายงานว่า ผลิตภัณฑ์ยาโฮมีโอพาธีมีปริมาณจำหน่ายในตลาดมากขึ้น 100%และที่จำหน่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยามียอดจำหน่ายสูงถึง 75 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงจากเดิม 15-20% ในสหรัฐฯ มีโรงเรียนสอนไม่น้อยกว่า 5 แห่ง มีร้านขายยา 20 แห่งและมีหมอประมาณ 3,000 คน ส่วนในฝรั่งเศสมียอดการจำหน่ายยา โฮมีโอพาธี 10 % จากปริมาณยาทั้งหมดในตลาด
สำหรับในไทย “โฮมีโอพาธี” เป็นศาสตร์ที่เพิ่งนำเข้ามา โดยระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการประเมินและการวิจัย ทั้งข้อดีขอเสีย พร้อมกับค่อยๆ ให้ความรู้ที่ชัดเจนกับประชาชน เปิดเวทีได้ทำความเข้าใจ ดังนั้น ขณะนี้จึงไม่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกใดที่บำบัดโดยโฮมีโอพาธีที่ถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีหน้าอาจจะมีการบำบัดโฮมีโอพาธีอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
สุดท้าย ภญ.มณฑกา แนะนำว่า ด้วยวิธีคิดที่สวนทางกันอย่างมากระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและโฮมีโอพาธีจึงควรจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในการรักษา แต่ก็ยังสามารถใช้ควบคู่กันได้แต่ไม่ใช่ใช้พร้อมกัน ควรดูแนวโน้มให้ไปด้วยกันได้ รู้ทั้งเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งโฮมีโอพาธีถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก