xs
xsm
sm
md
lg

เคล็ดลับลดหุ่นสมองไม่เสื่อมกับ “ลูกเกดและหมอศิริราช”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ผอมเพรียว"เป็นรูปร่างสุดยอดปรารถนาที่ทุกคนอยากได้ จนยอมทำทุกวิถีทาง เริ่มจากกินข้าววันละมื้อ กินยาลดความอ้วน ล้วงคอให้อาเจียน เพื่อให้ได้ชื่อว่าหุ่นดี โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้จัดสัมมนาในหัวข้อ “ลดน้ำหนักอย่างไรไม่ให้สมองเสื่อม” โดยเชิญ เมทินี กิ่งโพยม หรือลูกเกด ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ และ น.พ.ณัฐเชษฐ์ เปล่งวิทยา มาให้ความรู้วิธีการลดความอ้วนที่ถูกต้อง

เริ่มจาก เมทินี กิ่งโพยม หรือลูกเกด มาเล่าประสบการณ์การลดความอ้วน ลูกเกดบอกว่าด้วยอาชีพหน้าที่การงานในวงการบันเทิง การรักษารูปร่างเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้น น้ำหนักตัวเป็นเรื่องที่ต้องควบคุม ซึ่งเกดเคยลองผิดลองถูกเกี่ยวกับการลดความอ้วนมาเกือบครบหมดแล้ว

วิธีลดความอ้วนวิธีไหนที่ว่ากันว่าดีลองทำมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะกินข้าววันละมื้อ กินยาลดความอ้วน ล้วงคอ ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายเฉพาะจุด เข้าฟิตเนสและอื่นๆ

แต่ก็ค้นพบว่าเป็นการลดความอ้วนที่ไม่ถูกต้อง อย่างช่วงที่กินข้าววันละมื้อ จะรู้สึกหิวมากๆ พอถึงเวลากินจะกินเยอะมากสุดท้ายก็ไม่ผอมตามใจนึก ก็เปลี่ยนมากินยาลดความอ้วนที่มีส่วนผสมของแอมเฟตามีน กินได้ระยะหนึ่งรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ก็เลยหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพบว่ายาลดความอ้วนมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ตับ ไต

พอเห็นว่ามีผลกระทบต่อร่างกายมากมายขนาดนั้นก็เลิกกิน แล้วเลือกวิธีล้วงคอแทน โดยก่อนล้วงคอจะกินน้ำเยอะๆ เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปออกมาง่าย แต่ปัญหาตามมาก็คือใบหน้าโทรมมาก ผิวพรรณซีดเซียวเหมือนคนป่วย จนกระทั่งมีคนทักว่า ป่วยรึเปล่า ทำไมหน้าตาโทรมอย่างนี้

“ก่อนเพื่อนทักว่าหน้าตาโทรมมากเหมือนคนป่วยหนัก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่รู้สึกตัวว่าสมองเบลอๆ ท่องบทละครก็จำไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเลิกวิธีลดความอ้วนเหล่านั้นแล้วหันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอพร้อมกับรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่เฉลี่ยสัดส่วนการรับประทานให้เหมาะสม วิธีนี้ทำให้สุขภาพดีขึ้นแล้วรูปร่างดีมาจนถึงทุกวันนี้”

ด้าน นพ.ณัฐเชษฐ์ เปล่งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงพิษภัยของยาลดความอ้วนว่า ปัจจุบันแพทย์จะจ่ายยาให้ผู้ที่ต้องการลดความอ้วน 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

1. กลุ่มยาที่มีส่วนผสม แอมเฟตามีน ซึ่งเป็นยาที่ไปกดความต้องการอยากอาหาร

2. sibutramine เมื่อกินไปแล้วจะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แล้วเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ข้อดีลดไขมันในเลือด แน่นอนด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้รูปร่างผอม แต่ยาตัวนี้มีผลข้างเคียง ปากแห้ง ท้องผูก ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ไม่ควรกินโดยเด็ดขาด คือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ความดัน

และ 3. Orlistet ยานี้ช่วยลดการย่อยและดูดซึมไขมัน ที่ว่านี้เมื่อกินไปนานๆ จะมีผลต่อกระดูก

“มีหลายคนเข้าใจผิด โดยกินยา Orlistet ก่อนไปกินโต๊ะจีน เพราะเข้าใจว่ายาตัวนี้กินแล้วไม่อ้วน แต่เท่าที่สัมผัสกับคนไข้ที่กินยานี้และมีพฤติกรรมดังกล่าวหลายคน พบว่าอ้วนเหมือนเดิม บางคนอ้วนกว่าเดิมซะอีก”

น.พ.ณัฐเชษฐ์ ระบุว่า ยาทุกอย่างมีผลกระทบต่อร่างกายเกือบทั้งสิ้น และยาลดความอ้วน sibutramine กับ Orlistet ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าหากกินติดต่อกันมากกว่า 2 ปีจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ เพราะโดยปกติยาเกือบทุกชนิดจะขายก่อนแล้วค่อยตามตรวจสอบว่ามีปัญหาต่อสุขภาพรึเปล่า เพราะฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดของผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ควรควบคุมอาหารกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะดีกว่ากินยาลดอ้วน

....ทีนี้ ก็มาถึงคำถามและปัญหาสำคัญที่ว่า การอดอาหารและกินยาลดความอ้วนมากๆ มีสิทธิสมองเสื่อมได้อย่างไร

น.พ.พิภพ กล่าวว่า คนสมัยนี้ก็บ้านะ ยอมอดอาหารติดต่อกัน 5 วัน 7 วัน เพื่อต้องการให้รูปร่างผอม แต่หารู้ไม่ว่าวิธีการอดอาหารแบบนี้ มีโอกาสสมองเสื่อมได้ง่ายๆ เนื่องเพราะสมองขาดน้ำตาล จะมีอาการเบลอ ส่วนคนที่กินยาลดความอ้วนมักจะทำให้ไม่ต้องการกินอาหารหรือกินน้อย ก็เฉกเช่นเดียวกันทำให้ไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยงสมอง ทำให้สมองเบลอแล้วเสื่อมได้เช่นเดียวกัน

ขณะที่การอบเซาน่า เป็นเพียงการรีดน้ำออกจากร่างกาย ถ้าหากอบเซาน่าบ่อยๆ ก็จะส่งผลทำให้น้ำในร่างกายน้อยและอาจมีอาการวูบได้ ที่สำคัญคือ ไม่ใช่การลดความอ้วนที่แท้จริง

“ที่เห็นน้ำหนักลดลงนั้นเพราะน้ำออกจากร่างกายพอกินน้ำเข้าไปน้ำหนักก็จะเท่าเดิม ส่วนคนที่คลั่งเข้าฟิตเนสเพื่อรักษารูปร่าง ผมไม่อยากให้เสียเงินเสียทองมาเข้าฟิต เนสเพื่อลดความอ้วน สิ่งที่อยากเห็นก็คือมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมากกว่า วิธีนี้จะช่วยลดความอ้วนได้อย่างถาวร ดีกว่าเข้าฟิตเนส เนื่องเพราะหลายคนพอรู้สึกว่าหุ่นดีแล้วเลิกเล่นฟิตเนส ถ้าเป็นอย่างนี้พักเดียวก็กลับไปอ้วนเหมือนเดิม”

จากนั้น น.พ.พิภพ แนะเทคนิครักษาหุ่นโดยไม่ต้องเสียสตางค์แถมสุขภาพแข็งแรง ว่า ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ขณะเดียวกันควรรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ โดยมื้อเช้ากินโจ๊ก ข้าวต้ม หรือเกาเหลา มื้อกลางวันก๋วยเตี๋ยว สำหรับมื้อเย็น ข้าวกับกับข้าวที่มีไขมันต่ำ แล้วหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ เน้นกินอาหารต้ม ปิ้ง ย่าง นอกจากนี้ให้กินผลไม้ในมื้อกลางวันหรือเย็นร่วมด้วย

นอกจากอาหารแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ต้องเป็นการออกกำลังกายในลักษณะตั้งแต่หัวจดเท้า ซึ่งวิธีนี้จะกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และการออกกำลังกายยังไปกระตุ้นสารตัวหนึ่งไปหล่อเลี้ยงสมอง เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะหน้าตาสดชื่นแจ่มใส อารมณ์ดีตลอดเวลา




กำลังโหลดความคิดเห็น