ยังจำได้ว่า เคยมีคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อนแม้แต่คนขับสามล้อยังสามารถให้การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้ โดยมีเรื่องเล่าต่อๆ มาว่า ครั้งหนึ่งมีแม่ซึ่งหอบหิ้วลูกน้อยซึ่งกำลังไม่สบาย นอนซมด้วยพิษไข้ แต่ด้วยว่ายังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
พอเป็นมากก็แบกลูกซึ่งเจ็บหนักออกมานอกปากซอยเพื่อเรียกรถสามล้อนำไปส่งที่โรงพยาบาล คนขับสามล้อเห็นเด็กเจ็บหนักร่วมกับมีจุดเลือดออกตามตัว จึงกุลีกุจอช่วยนำเด็กขึ้นรถพร้อมกับกำชับแม่ของเด็กว่า เร็วๆ เข้าต้องรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลสงสัยจะเป็น “ไข้เลือดออก”

ดูเอาซี...ไม่ต้องถึงมือหมอก็พอจะบอกสมมติฐานของโรคได้แล้ว แปลว่าโรคนี้เป็นโรคที่พบจริงๆ ในประเทศไทย ผู้คนตระหนักมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้ว แต่อย่าคิดว่ามีมานานแล้วจะมีทางรักษา ผิดถนัดครับ......มาลองฟังรายละเอียดกันดูนะครับ
โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เดงกี่” ซึ่งโดยธรรมดาของเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะไม่มียาที่จะรักษาให้หายได้ ไวรัสชนิดนี้มีพาหะ คือ “ยุงลาย” ซึ่งมักจะชอบวางไข่ในน้ำนิ่ง ดังนั้น ฤดูที่โรคนี้จะระบาดคือ ฤดูฝน เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ในที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก การวางไข่แพร่พันธุ์จึงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก
ยุงลาย เป็นยุงที่ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถแพร่เชื้อได้หลังดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสแล้ว 7-10 วัน โดยที่เชื้อจะอาศัยอยู่ในตัวยุงนั้นไปตลอดชีวิต ไวรัสที่อยู่ในตัวคนจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน และจะอยู่ในเลือดคนประมาณไม่เกิน 7 วันตั้งแต่วันที่เริ่มมีไข้
การติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกที่ชื่อ เดงกี่ นี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาการรุนแรงเจียนตายเสมอไป โดยพบว่า เชื้อไวรัสนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์ หากเราติดเชื้อครั้งแรกโดยเป็นสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง อาการจะไม่รุนแรงมาก อาจมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว มีเกล็ดเลือดต่ำเล็กน้อย และอาการก็จะหายไป หากติดเชื้อไวรัสในครั้งที่สองซึ่งข้ามสายพันธุ์กัน อันนี้ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสในครั้งแรกมาก่อน แต่เนื่องจากเป็นไวรัสคนละสายพันธุ์แม้ว่าจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน ทำให้ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่สามารถจะป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการที่มีภูมิต้านทานบางส่วน ส่งผลร้ายให้แก่ร่างกาย โดยมีอาการของโรครุนแรงขึ้น อาจจะมีอาการทางสมอง เช่น ชัก อาจมีอาการทางปอด เช่น ปอดอักเสบ มีน้ำในช่องปอด อาจมีอาการทางตับ เช่น ตับอักเสบ อาจมีภาวะเลือดออกผิดปกติอย่างรุนแรงเนื่องจากมีเกล็ดเลือดในปริมาณที่ต่ำมาก อาจมีอาการช็อก (ความดันโลหิตต่ำ) เนื่องจากมีสารน้ำเล็ดลอดออกไปนอกหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจมีภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เช่น โซเดียมต่ำในเลือด, แคลเซียมต่ำในเลือด, น้ำตาลต่ำในเลือด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยทั่วไปจะพบว่า ผู้ป่วยจะมีปริมาณเลือดแดงเข้มข้นขึ้น (จากการที่สารน้ำในหลอดเลือด ซึมผ่านออกไปภายนอก เหลือแต่เพียงเม็ดเลือดอยู่ในหลอดเลือด), มีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำลง (เป็นปรากฏการณ์ที่พบบ่อยในคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสทั่วไป) และมีปริมาณเลือดเลือดต่ำ ซึ่งทำให้เกิดอาการเลือดออกง่ายผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจพบการทำงานของตับผิดปกติ และอาจพบน้ำในช่องปอดร่วมด้วย
สิ่งที่ต้องระวังให้มาก คือ อาการของไข้เลือดออกในระยะเริ่มต้นนั้น เกือบไม่แตกต่างกับอาการของการติดเชื้ออื่นๆ เลย โดยคนไข้อาจมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งไม่มีอาการอะไรที่ชัดเจนที่บ่งชี้ว่าเป็นไข้เลือดออก หากอาการเป็นมากขึ้นๆ ก็อาจเห็นเป็นจุดเลือดออกตามตัว และนอกจากนั้นเราไม่รู้ว่าการติดเชื้อในครั้งหนึ่งครั้งใดจะเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงเนื่องจากเป็นการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดที่สองนั่นเอง

ฟังดูแล้วก็น่ากังวลอยู่ไม่น้อยใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าหากเข้าหน้าฝนแล้วมีอาการของไข้ที่หาสาเหตุไม่ชัดเจนก็ไปพบแพทย์ตรวจให้สบายใจดีกว่า อย่าปล่อยให้ความกังวลติดอยู่กับตัวเราไปหลายๆ วันเลยครับ
การติดเชื้อเดงกี่ มีข้อมูลทางระบาดวิทยาจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงปี 2520-2541 มีการติดเชื้อประมาณ 50,000-170,000 คนต่อปี โดยเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะช็อคร่วมด้วยถึงร้อยละ 5 ของทั้งหมด โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 100-400 คนต่อปี การระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2530 ในปีดังกล่าวมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 174,285 ราย และเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 0.5
หากจะถามถึงลักษณะรูปแบบการระบาด ต้องขอบอกว่าไม่มีแบบแผนที่แน่นอน นอกจากจะพบมากในฤดูฝน ในช่วงหลัง ๆมีโอกาสพบนอกฤดูกาลมากขึ้น เช่นในปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะเข้าฤดูหนาวถึงเดือนมกราคมก็ยังสามารถพบคนที่เป็นไข้เลือดออกได้
การป้องกันโรคทำได้โดยการป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัดเรานะครับ พยายามอย่าให้ยุงลายวางไข่ในบริเวณบ้าน เนื่องจากเราทราบอยู่แล้วว่ายุงลายวางไข่ในน้ำนิ่ง ดังนั้น ต้องระวังหลังฝนตกอย่าให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆในบริเวณบ้าน ถ้วยชามเก่า หรือยางรถยนต์เก่า ต้องตรวจตราดูให้ดี และอีกอย่างยุงลายเป็นยุงที่หากินในเวลากลางวัน พึงระวังอย่าให้ยุงกัดในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ ยังกำลังอยู่ในขั้นการทดลองเท่านั้นครับ ยังไม่สามารถนำมาใช้จริงได้ในทางปฏิบัติ ดังนั้นคงต้องช่วยตัวเองไปพลางๆ ก่อนนะครับ จากสถิติจะเห็นว่าเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตไม่น้อยเลย แม้ว่าเราจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง แต่หากอาการเป็นรุนแรง ก็ไม่สามารถจะพ้นวิกฤตไปได้ง่ายๆ นะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี รอดพ้นจากยุงลายในช่วงฝนนี้นะครับ.....สวัสดี
พอเป็นมากก็แบกลูกซึ่งเจ็บหนักออกมานอกปากซอยเพื่อเรียกรถสามล้อนำไปส่งที่โรงพยาบาล คนขับสามล้อเห็นเด็กเจ็บหนักร่วมกับมีจุดเลือดออกตามตัว จึงกุลีกุจอช่วยนำเด็กขึ้นรถพร้อมกับกำชับแม่ของเด็กว่า เร็วๆ เข้าต้องรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลสงสัยจะเป็น “ไข้เลือดออก”
ดูเอาซี...ไม่ต้องถึงมือหมอก็พอจะบอกสมมติฐานของโรคได้แล้ว แปลว่าโรคนี้เป็นโรคที่พบจริงๆ ในประเทศไทย ผู้คนตระหนักมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้ว แต่อย่าคิดว่ามีมานานแล้วจะมีทางรักษา ผิดถนัดครับ......มาลองฟังรายละเอียดกันดูนะครับ
โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เดงกี่” ซึ่งโดยธรรมดาของเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะไม่มียาที่จะรักษาให้หายได้ ไวรัสชนิดนี้มีพาหะ คือ “ยุงลาย” ซึ่งมักจะชอบวางไข่ในน้ำนิ่ง ดังนั้น ฤดูที่โรคนี้จะระบาดคือ ฤดูฝน เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ในที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก การวางไข่แพร่พันธุ์จึงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก
ยุงลาย เป็นยุงที่ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถแพร่เชื้อได้หลังดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสแล้ว 7-10 วัน โดยที่เชื้อจะอาศัยอยู่ในตัวยุงนั้นไปตลอดชีวิต ไวรัสที่อยู่ในตัวคนจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน และจะอยู่ในเลือดคนประมาณไม่เกิน 7 วันตั้งแต่วันที่เริ่มมีไข้
การติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกที่ชื่อ เดงกี่ นี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาการรุนแรงเจียนตายเสมอไป โดยพบว่า เชื้อไวรัสนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์ หากเราติดเชื้อครั้งแรกโดยเป็นสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง อาการจะไม่รุนแรงมาก อาจมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว มีเกล็ดเลือดต่ำเล็กน้อย และอาการก็จะหายไป หากติดเชื้อไวรัสในครั้งที่สองซึ่งข้ามสายพันธุ์กัน อันนี้ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสในครั้งแรกมาก่อน แต่เนื่องจากเป็นไวรัสคนละสายพันธุ์แม้ว่าจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน ทำให้ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่สามารถจะป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการที่มีภูมิต้านทานบางส่วน ส่งผลร้ายให้แก่ร่างกาย โดยมีอาการของโรครุนแรงขึ้น อาจจะมีอาการทางสมอง เช่น ชัก อาจมีอาการทางปอด เช่น ปอดอักเสบ มีน้ำในช่องปอด อาจมีอาการทางตับ เช่น ตับอักเสบ อาจมีภาวะเลือดออกผิดปกติอย่างรุนแรงเนื่องจากมีเกล็ดเลือดในปริมาณที่ต่ำมาก อาจมีอาการช็อก (ความดันโลหิตต่ำ) เนื่องจากมีสารน้ำเล็ดลอดออกไปนอกหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจมีภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เช่น โซเดียมต่ำในเลือด, แคลเซียมต่ำในเลือด, น้ำตาลต่ำในเลือด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยทั่วไปจะพบว่า ผู้ป่วยจะมีปริมาณเลือดแดงเข้มข้นขึ้น (จากการที่สารน้ำในหลอดเลือด ซึมผ่านออกไปภายนอก เหลือแต่เพียงเม็ดเลือดอยู่ในหลอดเลือด), มีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำลง (เป็นปรากฏการณ์ที่พบบ่อยในคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสทั่วไป) และมีปริมาณเลือดเลือดต่ำ ซึ่งทำให้เกิดอาการเลือดออกง่ายผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจพบการทำงานของตับผิดปกติ และอาจพบน้ำในช่องปอดร่วมด้วย
สิ่งที่ต้องระวังให้มาก คือ อาการของไข้เลือดออกในระยะเริ่มต้นนั้น เกือบไม่แตกต่างกับอาการของการติดเชื้ออื่นๆ เลย โดยคนไข้อาจมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งไม่มีอาการอะไรที่ชัดเจนที่บ่งชี้ว่าเป็นไข้เลือดออก หากอาการเป็นมากขึ้นๆ ก็อาจเห็นเป็นจุดเลือดออกตามตัว และนอกจากนั้นเราไม่รู้ว่าการติดเชื้อในครั้งหนึ่งครั้งใดจะเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงเนื่องจากเป็นการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดที่สองนั่นเอง
ฟังดูแล้วก็น่ากังวลอยู่ไม่น้อยใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าหากเข้าหน้าฝนแล้วมีอาการของไข้ที่หาสาเหตุไม่ชัดเจนก็ไปพบแพทย์ตรวจให้สบายใจดีกว่า อย่าปล่อยให้ความกังวลติดอยู่กับตัวเราไปหลายๆ วันเลยครับ
การติดเชื้อเดงกี่ มีข้อมูลทางระบาดวิทยาจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงปี 2520-2541 มีการติดเชื้อประมาณ 50,000-170,000 คนต่อปี โดยเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะช็อคร่วมด้วยถึงร้อยละ 5 ของทั้งหมด โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 100-400 คนต่อปี การระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2530 ในปีดังกล่าวมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 174,285 ราย และเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 0.5
หากจะถามถึงลักษณะรูปแบบการระบาด ต้องขอบอกว่าไม่มีแบบแผนที่แน่นอน นอกจากจะพบมากในฤดูฝน ในช่วงหลัง ๆมีโอกาสพบนอกฤดูกาลมากขึ้น เช่นในปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะเข้าฤดูหนาวถึงเดือนมกราคมก็ยังสามารถพบคนที่เป็นไข้เลือดออกได้
การป้องกันโรคทำได้โดยการป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัดเรานะครับ พยายามอย่าให้ยุงลายวางไข่ในบริเวณบ้าน เนื่องจากเราทราบอยู่แล้วว่ายุงลายวางไข่ในน้ำนิ่ง ดังนั้น ต้องระวังหลังฝนตกอย่าให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆในบริเวณบ้าน ถ้วยชามเก่า หรือยางรถยนต์เก่า ต้องตรวจตราดูให้ดี และอีกอย่างยุงลายเป็นยุงที่หากินในเวลากลางวัน พึงระวังอย่าให้ยุงกัดในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ ยังกำลังอยู่ในขั้นการทดลองเท่านั้นครับ ยังไม่สามารถนำมาใช้จริงได้ในทางปฏิบัติ ดังนั้นคงต้องช่วยตัวเองไปพลางๆ ก่อนนะครับ จากสถิติจะเห็นว่าเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตไม่น้อยเลย แม้ว่าเราจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง แต่หากอาการเป็นรุนแรง ก็ไม่สามารถจะพ้นวิกฤตไปได้ง่ายๆ นะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี รอดพ้นจากยุงลายในช่วงฝนนี้นะครับ.....สวัสดี