xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : สิ้นแล้ว...หลวงพ่อพูล!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

วันนี้ (24 พ.ค.) เวลา 16.00 น. สมเด็จพระพุฒาจารย์ แห่งวัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช จะเป็นประธานประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม หลังมรณภาพลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 22 พ.ค. สิริรวมอายุ 93 ปี โอกาสนี้ "ผู้จัดการออนไลน์" ขอย้อนชีวิตหลวงพ่อพูล หนึ่งในเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองไทย ด้วยรายงานพิเศษชิ้นนี้

หากถามชาวพุทธทั่วไปในทุกสารทิศของประเทศไทยที่นิยมบูชาวัตถุมงคลแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักหลวงพ่อพูล อัตฺตรกฺโข แห่งวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม หลวงพ่อพูล หรือบางคนอาจเรียกว่า หลวงปู่พูล เป็นคนนครปฐม เกิดที่ ต.ดอนยายหอม เป็นลูกคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะยากจน ตอนเด็กๆ ก็ช่วยพ่อแม่ทำนา เมื่อเข้าเรียนที่วัดห้วยจระเข้ ก็มุมานะศึกษาเล่าเรียน จนจบ ป.4 แล้วก็ออกมาอยู่บ้าน คุณปู่เห็นว่า ด.ช.พูล เป็นคนสมองไว จึงสอนให้ท่องจำตำราอักษรขอม จนเก่ง ได้เรียนวิชาทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์จนเชี่ยวชาญ รวมไปถึงการแพทย์แผนโบราณ นอกจากนี้ก่อนบวช หลวงพ่อพูล ยังเคยเป็นนักมวยฝีมือดีมีชื่อเสียง แถมยังเคยรับราชการทหารบก ประดับยศสิบตรีอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อพูล ภูมิใจมากที่ได้เป็นทหารรับใช้ชาติ

เมื่ออายุได้ 26 หลวงพ่อพูล ก็เริ่มบวชเรียน ที่วัดพระงาม ซึ่งอยู่ใน อ.เมือง จ.นครปฐม โดยหลวงพ่อพูลเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ,หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม และหลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้ เป็นต้น พระอาจารย์ทั้งหลายได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้หลวงพ่อพูลจนเชี่ยวชาญหลายด้าน เช่น สอนวิธีภาวนา การลงเลขยันต์ เมื่อหลวงพ่อพูลเรียนสำเร็จนักธรรมตรี และสำเร็จวิปัสสนากรรมฐาน ได้ออกธุดงค์ไปฝึกหัดตัดกิเลสตามแนวป่าภาคเหนือของไทย จนสมาธิแก่กล้า หลังจากนั้นก็ได้กลับมาพัฒนาวัด เป็นพระนักปฏิบัติ มีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก

เมื่อหลวงพ่อพูลได้เป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม หลวงพ่อฯ พยายามทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางวัดพัฒนา เช่น สร้างโบสถ์หลังใหม่ให้สมบูรณ์พร้อม แต่ก็ไม่ได้ทิ้งโบสถ์หลังเก่า พยายามปรับปรุงซ่อมแซม เพื่ออนุรักษ์ไว้ สร้างกุฏิสงฆ์ทรงไทยให้พระสงฆ์ในวัด ขุดรอกสระสร้างวิวทิวทัศน์ในวัดให้ร่มรื่น สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนนักธรรม-ธรรมบาลี หลวงพ่อพูลไม่เพียงพัฒนาวัดให้น่าอยู่และเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของสงฆ์มากที่สุด หากยังพยายามพัฒนาชุมชนเท่าที่สามารถทำได้ เช่น สร้างโรงเรียนประชาบาล มอบเงินอุดหนุนและเงินบริจาคในงานสำคัญต่างๆ เป็นประจำทำทุกปี เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับเงินที่หลวงพ่อพูลนำไปบริจาคสร้างสาธารณประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งพัฒนาวัด ก็มาจากเงินบริจาคของญาติโยมจากทุกสารทิศนั่นเอง และเพื่อให้กำลังใจแก่ญาติโยมเหล่านี้ หลวงพ่อพูลก็จะทำวัตถุนิยมขึ้นมา เพื่อให้ญาติโยมได้เก็บเป็นที่ระลึก ที่โด่งดังมากๆ ก็ได้แก่ สิงห์เมตตามหาบารมี ลูกอมหนุมาน และพระขุนแผน-กุมารทอง ที่เพิ่งทำพิธีปลุกเสกไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา พระครูวินัยธร จิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือหลวงพี่น้ำฝน ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งคอยปรนนิบัติดูแลหลวงพ่อพูลมาตลอด เล่าให้ฟังว่า วัตถุมงคลทุกรุ่นที่ทำขึ้น หลวงพ่อจะย้ำเสมอถึงกับเขียนติดผนังกุฏิว่า ไม่ได้ต้องการให้ญาติโยมลุ่มหลงงมงายกับวัตถุเหล่านี้ ที่ทำขึ้นเพียงเพื่อให้ญาติโยมมีกำลังใจและเก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น

“ท่านจะนึกเสมอว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อ ท่านจะมีเขียนไว้ในกุฏิว่า วัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาไว้ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ร่วมบริจาคทรัพย์ในการสร้างเสนาสะวัด มิใช่สร้างให้หลงงมงาย อิทธิปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากจิตศรัทธาของท่าน อันนี้จะเป็นคำสอนที่หลวงพ่อได้ให้กับทุกคนไว้ เพราะจะไม่มีสอนให้งมงาย วัตถุมงคลก็คือวัตถุชิ้นหนึ่ง ถ้าเราไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส โยมพกไปมันก็เปล่าประโยชน์”

หลวงพ่อพูลเป็น 1 ในพระสงฆ์ 73 รูปที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแต่งตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์เมื่อปี 2547 ในฐานะพระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาและประเทศชาติ โดยหลวงพ่อพูลได้รับชั้นสามัญ จึงเปลี่ยนจากพระครูปุริมานุรักษ์ เป็นพระมงคลสิทธิการ

หลวงพ่อพูล ไม่เพียงเป็นพระนักปฏิบัติอย่างแท้จริง แต่หลวงพ่อยังเป็นพระที่ทำมากกว่าพูด เรียกได้ว่า แทบจะไม่พูดอะไรเท่าไหร่เลย หลวงพี่น้ำฝน ในฐานะผู้ใกล้ชิดยืนยันในเรื่องนี้ได้

“ท่านเป็นพระที่ของจริง นิ่งเป็นใบ้ นิ่งเป็นใบ้อย่างเดียว ไม่ค่อยพูดอะไรกับใคร สังเกตุสอบถามจากศิษยานุศิษย์ได้ เขาจะรู้หมดเลย ว่า หลวงพ่อจะไม่ค่อยพูด ท่านจะทำให้อย่างเดียว ใครจะมามีเดือดร้อนอะไร จะทำให้อย่างเดียว เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่อาตมาภาพอยู่มา ก็เป็นตัวแทนท่านหมด ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เจิมรถ ก็ทำให้ท่านทุกอย่าง แต่อาตมาก็ไม่กล้าทำ ถ้าไม่มีกำลังใจ ก็เหมือนมีพระอยู่องค์หนึ่ง ก็เหมือนกัน ทุกวันนี้อาตมาภาพทำอะไรก็นึกถึงพระเดชพระคุณของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะอยู่หรือจะจากไป ก็จะอยู่ในใจของอาตมาภาพตลอดเวลา”

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อพูลที่ครองตนอยู่ในสมณเพศเป็นเวลานานถึง 68 พรรษา ตั้งแต่ปี 2480 หลวงพ่อพูลไม่เคยได้หยุดพัก ชีวิตมีแต่ทำกับให้ผู้อื่นเท่านั้น งานของหลวงพ่อลำพังที่วัดก็เยอะจนไม่ได้พักอยู่แล้ว ยังมีกิจนิมนต์ข้างนอกอีกนับไม่ถ้วน แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยเจ็บป่วย แม้อายุจะขึ้นเลข 9 แต่สังขารย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา หลวงพ่อพูลเริ่มป่วยหนัก เมื่อปลายปีที่ผ่านมา วันที่ 28 ธ.ค.2547 หลวงพี่น้ำฝนเล่าอาการของหลวงพ่อในวันนั้นให้ฟังค่ะ

“อาการเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.หลวงปู่ท่านป่วย และได้ส่งเข้าโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม คืน 28 ธ.ค.ปี 47 อาตมาภาพกับท่านไชยา สะสมทรัพย์ ก็ได้ปรึกษากันส่งหลวงพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. จนวันที่ 5 หมอโรงพยาบาลเห็นว่า หลวงพ่อลิ้นหัวใจรั่ว คือ ปอดอักเสบมาก ทำให้การทำงานของหัวใจ ลิ้นหัวใจที่รั่วอยู่แล้วทำงานหนักยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่ผ่าตัด ก็ทำอะไรไม่ได้ จนหมอตัดสินใจผ่าตัดในวันที่ 10 ก.พ. ก็ผ่าตัด สำเร็จด้วยดีทุกอย่าง ระบบหัวใจทุกอย่างดีหมด จนวันที่ 15 พ.ค.คุณหมอก็ให้หลวงพ่อกลับวัดได้ กลับมาวันที่ 15 พ.ค. ท่านก็มาทำพิธีปลุกเสกพระขุนแผน-กุมารทอง เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ซึ่งก็ดีทุกอย่างดีหมดเลย ท่านก็แข็งแรง ก็ปลุกเสกไปเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน ดีหมดทุกอย่าง”

แม้สุขภาพของหลวงพ่อพูลหลังเข้ารับการรักษาจะดูเหมือนเรียบร้อยดี แต่คงไม่มีใครรู้ว่า การให้หลวงพ่อร่วมพิธีปลุกเสกพระขุนแผน-กุมารทองหลังจากโรงพยาบาลได้ 2 วัน จะส่งผลต่อสุขภาพของหลวงพ่อหรือไม่ เพราะหลังจากนั้น 4 วัน กลางดึกคืนวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา หลวงพ่อพูลก็ล้มป่วยลงอีกครั้ง และคราวนี้หนักหนาและน่าห่วงกว่าครั้งที่แล้วอย่างมาก

“จนกระทั่งวันที่ 21 ช่วงประมาณตี 3 กว่า หลวงพ่อก็อุจจาระออกมาเป็นสีเลือดออกมาหน่อยๆ อาตมาภาพก็ดูอยู่ตลอด ก็บอกว่า โทรเรียกโรงพยาบาลดีกว่า ก็รับหลวงพ่อไปโรงพยาบาล ก็ไปที่โรงพยาบาลสนามจันทน์ก่อน ก็ไปพักโรงพยาบาลสนามจันทน์ประมาณ 20-30 นาทีก็โทรไปทางสมิติเวช ก็พาหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลสมิติเวช พอไปถึง หมอก็ส่องกล้องดู มันมีเลือดออกมาที่กระเพาะ หมอบอกว่า เส้นเลือดมันแตกที่กระเพาะ เส้นเลือดหลวงปู่มันตีบบาง มันนานมากแล้ว อายุมาก เป็นไปตามสังขาร และกาลเวลา หมอก็ลงความเห็นว่า ไม่มีทางที่จะผ่าตัดได้ เพราะท่านผ่าตัดใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นท่านรอดมาได้ก็สุดยอดที่สุดแล้ว ซึ่งอาการตอนนั้นหลวงปู่ดีมากเลย หัวใจดี ปอดดีหมด แต่เลือดที่ออกจากท้อง ที่กระเพาะทำให้ไม่สามารถผ่าตัดอะไรได้ เพราะผ่าไปก็คงไม่รอด หมอก็เลยว่า ให้ท่านไปอย่างสบายๆ ดีกว่า หมอก็ให้ยารักษาตลอด ตั้งแต่วันที่ 21 ที่เข้าไป จนมาวันที่ 22 ก็ได้จัดพิธีไหว้ครู ซึ่งกำหนดจะจัดพิธีไหว้ครูอยู่แล้วที่วัด โดยมีเหล่าศิลปินดารานักร้องนักแสดงและพ่อค้าประชาชนทั้งหลาย ก็มาร่วมงานกันปกติ อาตมาภาพก็ประกาศให้ญาติโยมได้ทราบทั่วกัน หลวงปู่เข้าโรงพยาบาลนะ ก็ประกาศให้รู้ ก็ประมาณเที่ยงลูกศิษย์ก็โทรมา คือ อาตมาภาพก็อยากไปดูหลวงพ่ออยู่แล้ว คือหลวงพ่อก็ไม่ดีขึ้น เพราะความดันตกลงมาก ก็รีบไป ก็ไปทันหลวงพ่อ ไปถึงโรงพยาบาลสมิติเวชก็บ่ายโมงครึ่ง ก็ไปดู ก็ทำใจแล้ว คือ ความดันท่านตกมาเหลือแค่ 10 กว่า แล้วท่านก็ไปตอนบ่าย 2.55น.”

ศิษย์ที่ใกล้ชิดคนหนึ่งของหลวงพ่อพูล ที่เชื่อว่า การรับกิจนิมนต์มากเกินไปทำให้สุขภาพของหลวงพ่อทรุด ก็คือ คุณไชยา สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคไทยรักไทย คุณไชยา จึงได้พยายามบอกกรรมการวัดไผ่ล้อมว่า ควรให้หลวงพ่องดกิจนิมนต์ข้างนอกได้แล้ว

“ช่วงหลังผมก็บอกกรรมการวัด ไม่น่าจะให้ใครมานิมนต์ท่านไปไหนแล้ว ตอนหลังท่านก็เว้นนะ ไม่ไปเลยนะ กิจของสงฆ์ที่จะนิมนต์ออกไปนอกวัดนี่ ไม่ไปเลย ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ใครนิมนต์ไปไหน เราก็บอกว่าไม่สะดวก เพราะท่านตาก็มองไม่ค่อยเห็น เดินเหินก็ไม่สะดวก เราก็เป็นห่วงกลัวจะเป็นลมล้มที่ไหน ผมก็บอกไม่น่าจะให้ท่านออกไปไหนแล้ว”

หลวงพ่อพูลจากไปในวันที่ทางวัดไผ่ล้อมกำลังทำพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ของหลวงพ่อพูล ซึ่งปกติหลวงพ่อจะร่วมพิธีนี้ทุกปี เพื่อแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพระอาจารย์ของหลวงพ่อที่ได้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาให้ แต่ปีนี้หลวงพ่อไม่มีโอกาสได้ร่วมงาน และจะไม่ได้ร่วมงานตลอดไป คงปล่อยให้ศิษยานุศิษย์ที่ยังรักและศรัทธาได้จัดพิธีไหว้ครูในปีต่อไป โดยหลวงพ่อได้เปลี่ยนฐานะจากศิษย์ที่เคยไหว้ครูทุกปี มาเป็นครูที่ให้ศิษย์เหล่านี้ได้ไหว้ในปีต่อๆ ไป

แม้วันนี้หลวงพ่อพูลจะจากไปแล้ว แต่ญาติโยมที่ศรัทธายังสามารถไปกราบไหว้หลวงพ่อได้ที่วัดไผ่ล้อม เพราะทางวัดจะนำสังขารของหลวงพ่อใส่โลงแก้วไว้ตลอดไป แม้หลวงพ่อจะละสังขารอย่างสงบ แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อน่าจะยังอดห่วงไม่ได้ ก็คือ การสร้างฌาปนสถานปลอดมลพิษ หรือเมรุปลอดมลพิษ เพราะที่ผ่านมาประชาชนละแวกวัดจะลำบากมากในการย้ายศพไปเผาที่นั่นที่นี่ หลวงพ่อจึงคิดสร้างเมรุที่ปลอดมลพิษขึ้น เพราะอยู่ในเขตเทศบาล ค่าก่อสร้างคาดว่า ไม่ต่ำกว่า 40 ล้าน ขณะนี้ยังเป็นปัญหาว่า เมื่อหลวงพ่อพูลมรณภาพลงแล้ว ฝันนี้ของหลวงพ่อพูลจะเดินหน้าต่อได้จนสำเร็จหรือไม่?

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียง


กำลังโหลดความคิดเห็น