ในช่วงเทศกาลงานบุญ อย่าง "วันวิสาขบูชา" สิ่งที่อยู่คู่กันมาแสนนาน คือ "พิธีการกวนข้าวทิพย์" ดังที่มีพิธีกวนข้าวพิทย์ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งการกล่าวว่า "ข้าวทิพย์" เป็นภัตราหารของเทวดานั้นมีตำนานเล่าว่า...
ตามศิลาจารึก ๑ วัดพระเชตุพน กล่าวถึงชาวรามัญหุงข้าวทิพย์บูชาเทวดาผู้มีฤทธิ์เดช ๕ องค์ แต่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ได้กล่าวถึงการกวนข้าวทิพย์เอาไว้ มีแต่การหุงข้าวมธุปายาสเมื่อตกมาเป็นพิธีของไทยแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ รสนิยมของคนไทย ข้าวทิพย์นี้เนื่องมาจากข้าวมธุปายาสของพราหมณ์หุงรับประทานกันไม่มีกำหนดแน่นอน เช่นตอนหนึ่ง นางสุชาดา หุงไปถวายพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญวิสาขะ เดือน ๖
แม้ในอรรถกถาธรรมบทก็กล่าวถึงข้าวมธุปายาสไว้หลายเรื่อง เช่น มิคารเศรษฐี พ่อผัวของนางวิสาขา บริโภคข้าวมธุปายาสอันมีน้ำน้อยและในมังคลัตถทีปนีได้กล่าวถึงเศรษฐีขี้เหนียวหุงข้าวมธุปายาสบริโภคเองก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าหุงรับประทานเมื่อไร แต่ข้าวมธุปายาสของพราหมณ์ก็ไม่มีสิ่งของที่จะใช้ในการกวนมากมายเหมือนข้าวทิพย์ของบ้านเรา ข้าวทิพย์เราถือกันว่าเป็นอาหารที่รสอร่อยคล้ายของทิพย์ ( ของเทวดา )
เมื่อกวนเสร็จแล้วก็แจกจ่ายกันบริโภคเพื่อระงับโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายเพราะก่อนจะประกอบพิธีก็มีการอัญเชิญเทวดา มีท่านท้าวจาตุโลกบาลมหาราชทั้ง ๔ เป็นต้น ให้มาช่วยอภิบาลรักษาและนำทิพโอชามาเจือในสิ่งของที่จะกวน กับอาราธนาพระสงฆ์ให้ตั้งเมตตาจิตเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อให้เกิดสิริสวัสดิมงคลแก่ผู้รับประทานข้าวทิพย์ จึงถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจพระปริตรและเทวานุภาพ
การกวนข้าวทิพย์นี้ ได้ประกอบพิธีกวนกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้มีการกวนข้าวทิพย์ขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ท่าน ครั้งต่อมาในสมัยรัชการที่ ๒ และ ๓ การกวนข้าวทิพย์ก็ละเว้นไป เพิ่งจะมากวนใหม่ในรัชการที่ ๔ และได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขส่งขิงในการกวนหลายอย่างเท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น มีสิ่งของต่างๆมากมายหลายอย่างถึง ๖๐ กว่าชนิด เช่น ถั่วงา ลูกเดือย สุคู ข้าวฟ่าง ข้าวเม่า เผือก มัน ผลไม้นานาชนิด และเนยนม เป็นต้น
การกวนข้าวทิพย์เนื่องในพระราชพิธีนั้นทรงกระทำในเดือน ๑๐ เป็นงาน ๓ วัน เริ่มแต่แรม ๑๓ ค่ำ เป็นต้นไป เวลาบ่ายนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ในโรงพิธี สาวพรหมจารีที่มาฟังพระเจริญพระพุทธมนต์จะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งในฉากมีสายสิญจน์จน์โยงมงคลเหมือนอย่างเจ้านายทำพิธีโสกันต์ ( โกนจุก ) ทรงจุดธูปเทียน เครื่องนมัสการแล้วอาลักษณ์อ่านคำประกาศสาระสำคัญในคำประกาศมีใจความว่า
“การกวนข้าวทิพย์เป็นพระราชพิธีเคยทำมาแต่โบราณ ขอให้พระสงฆ์ซึ่งเจริญพระพุทธมนต์มีจิตตั้งมั่นด้วยเมตตา ยึดเอาคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และด้วยอำนาจคุณพระ-ศรีรัตนตรัยอันเป็นนิรัตสัยบุญเขต ขอให้เกิดสวัสดิมงคลและระงับโรคภัยแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานข้าวทิพย์นี้ ขอให้เทพยดาจงนำสุราอมฤตเจือโปรยปรายให้คุ้มกันสรรพอันตรายทุกประการ ต่อไปนี้เป็นคำอธิษฐานว่าด้วยอำนาจพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญในเวลานี้ ขอให้ทรงพระเจริญพระชนมายุยืนนานเป็นที่เกรงขามแก่เหล่าศัตรูและขอให้ฝนตกเพียงพอในเวลาที่ข้าวออกรวง ผลไม้ต่างๆ”
เมื่อจบคำประกาศ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ วันแรกสวดเจ็ดตำนาน วันที่ ๒ สวดสิบสองตำนาน วันที่ ๓ สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร และสวดมหาสมัยสูตร รุ่งขึ้นถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ วันที่ ๓ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ หลังจากที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์แล้วก็ถวายอดิเรกถวายพระพรลากลับ ต่อจากนั้น พระราชทานน้ำมหาสังข์ใบมะตูมและทรงเจิมสาวพรหมจารีทั้งหมด เฉพาะเจ้านายฝ่ายในตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป
ส่วนสาวพรหมจารีที่เป็นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง หรือธิดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พระราชทานน้ำด้วยพระเต้า และท้าวนางก็นำสาวพรหมจารีไปยังโรงพิธีสำหรับกวนข้าวทิพย์ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังนั้น ในโรงพิธีนั้นมี ๑๐ เตา สำหรับตั้งกระทะเรียงตามยาว เป็น ๘ เตา สำหรับกวนข้าวทิพย์ อีก ๒ เตา อยู่ด้านสกัดสำหรับกวนพระกระยาสารท หน้าเตาทั้ง ๘ นั้น ตั้งม้าวางโต๊ะตะลุ่มถุงเครื่องกวนข้างหลังเอายกพื้นต่ำกว่ากระทะหน่อยหนึ่ง สำหรับสาวพรหมจารีนั่งกวนกระทะคู ตามเสาแขวนหิ้งตั้งเทวรูปมีธูปเทียนดอกไม้บูชาตามทิศอันเป็นหน้าที่ของมหาดเล็กต้องออกไปจุดธูปเทียนที่บูชาเทวดา ที่ต้นแถวตั้งเครื่องบูชาพานถมถ้วยแก้วอย่างเครื่องทองน้องสำหรับบูชา มีขวดน้ำส้ม นม เนย ตั้งอยู่ด้วย
ผู้กวนข้าวทิพย์ทุกคนนั่งสวมมงคลนั่งประจำที่แล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรินน้ำพระมหาสังข์ลงในกระทะแล้วทรงเจิมพายที่พาดอยู่ปากกระทะๆ ละ ๒ พาย ด้วยยันต์มหาอุณาโลมทุกเล่มแล้ว ทรงรินน้ำในพระเต้าศิลาจารึกอักษรและพระเต้าเทวปีต่อไปทั่วทุกกระทะ โปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอทรงรินน้ำส้ม และเติมเนยตามไปจนตลอดทั้ง ๒ กระทะ เสร็จแล้วพวกท้าวปลัดเทียบวิเศษ ซึ่งประจำกระทะ จึงเทถึงเครื่องที่จะกวนลงในกระทะ มีกะทิและน้ำตาลที่เคี่ยวได้ที่แล้ว สาวพรหมจารีจับพายลงมือกวน ประโคมแตรสังข์ ฆ้องชัย พิณพาทย์ มโหรี พระมหาราชครูพิธีรดน้ำสังข์ทุกกระทะแล้วก็เสด็จขึ้น พอเสร็จ พระราชดำเนินกลับ พวกฝีพายก็มากวนต่อไป ส่วนกระยาสารทอีก ๒ กระทะ ก็กวนพร้อมกันไป ผู้ที่จะได้รับพระราชทานข้าวทิพย์ก็คือ ฝีพายผู้ที่กวน คนหนึ่งๆ ตักไปได้เต็มใบพาย รุ่งเช้าเสด็จออกถวายภัตตาหารพระสงฆ์แล้วพระราชทานข้าวทิพย์แก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตามศักดิ์