xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจแพทย์-พยาบาล 3 จว.ชายแดนใต้ เมื่อต้องเลือกชีวิตชาวบ้านกับครอบครัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากเมืองที่เคยมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เศรษฐกิจเฟื่องฟู วันนี้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ผู้คนอยู่กันอย่างหวาดระแวง ชาวบ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุข บัดนี้จะหาความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแทบไม่มี บุคคลหลายวิชาชีพต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด บางคนที่มาจากต่างถิ่นต่างเร่งทำเรื่องย้ายตัวเองออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด


ในจำนวนวิชาชีพทั้งหมด ดูเหมือนวงการสาธารณสุขจะถูกจัดลำดับให้มีความสำคัญระดับต้นๆ ที่รัฐบาลจะต้องเร่งหาทางเพื่อตรึงบุคลากรในวิชาชีพนี้อยู่ในพื้นที่ให้นานที่สุด เพราะหากขาดพวกเขาไปนั่นหมายถึงคุณภาพชีวิต และการมีชีวิตอยู่ของผู้คนดูจะคลอนแคลนเต็มที

ในขณะที่หลายคนฝากความหวังให้พวกเขาเหล่านี้อยู่ติดพื้นที่ แต่ในทางปฏิบัติแล้วบุคลากรกลุ่มนี้กลับมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่นๆ เสียงเรียกร้องเรื่องสวัสดิการอาจยังไม่ดังพอ จึงคืบหน้าในลักษณะคืบคลาน ไม่ทันต่อสถานการณ์วิกฤต ด้วยเหตุนี้จึงมีปัญหาบุคลากรสาธารณสุขเริ่มอยู่ไม่ติดพื้นที่จึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเองก็พยายามแก้ไขอุดช่องโหว่ในหลายๆ จุด แต่ดูเหมือนขนาดของปัญหาจะขยายวงจนยากต่อการเยียวยา 3 จังหวัดชายแดนวันนี้เลยประสบกับภาวะขาดแคลนแพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“การขาดแคลนบุคลากร จุดที่เป็นปัญหาหลักคือโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งจะต้องรองรับผู้บาดเจ็บที่มาจากโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด โดยรวมแล้วมีแพทย์ทั่วไปและแพทย์เฉพาะทางปฏิบัติงานจริงต่ำกว่ากรอบที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 45 โดยจำนวนแพทย์ที่ควรจะมีในโรงพยาบาล 5 แห่ง คือ รพ.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สุไหงโก-ลก และเบตง รวม 343 คน แต่มีปฏิบัติงานเพียง 156 คนเท่านั้น ยิ่งเป็นสาขาเฉพาะทางแล้วยังถือว่าขาดแคลนอีกมาก โดยเฉพาะที่ รพ.ยะลา และรพ.เบตง ไม่มีแพทย์ศัลยกรรมทั่วไปอยู่เลย”

ดังนั้น เมื่อมีผู้ป่วยต้องผ่าตัดจะต้องส่งต่อไปรักษาที่อื่น นอกจากนี้ ปัญหาความไม่สงบดังกล่าวยังทำให้แพทย์หวาดกลัวและขอลาออก 6 คน คือ ที่ยะลา 5 คน และสุไหงโก-ลก 1 คน และขอย้ายออกจากพื้นที่ 10 คน คือที่ยะลา 5 คน นราธิวาส 3 คน สุไหงโก-ลก และเบตง แห่งละ 1 คน จึงจำเป็นจะต้องสรรหาแพทย์เติมเต็มในระบบอย่างเร่งด่วน

การบรรเทาปัญหาในระยะเร่งด่วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดแพทย์อาสาจากส่วนกลางและต่างจังหวัด 100 ทีม หมุนเวียนปฏิบัติงานและสรรหาแพทย์มุสลิมที่จบจากต่างประเทศ และสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้เข้ามาทำงานเพิ่ม 1 รายที่โรงพยาบาลบันนังสตา จังหวัดยะลา

นอกจากนี้ ยังเสนอให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีอิสระในการกำหนดสาขาของแพทย์ที่ขาดแคลนเสนอให้แพทย์ใช้ทุนครบ 1 ปี สามารถเรียนต่อในสาขาใหญ่ๆ ได้ หากใช้ทุนครบ 2 ปีสามารถเรียนได้ทุกสาขา สำหรับแพทย์ที่ทำงานใช้ทุนครบ 1 ปี สามารถขอรับทุนเรียนต่อในสาขาศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมกระดูกและดมยา ใน 3 จังหวัด และบังคับใช้ทุนให้ครบ 3 ปี ห้ามย้าย มิฉะนั้นจะถูกปรับเป็นเงิน 3 ล้านบาท และยังให้กระทรวงสาธารณสุขประสานราชวิทยาลัย พิจารณาให้โรงพยาบาลยะลาเป็นสถาบันฝึกอบรมแพทย์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะรับข้อเสนอนำเข้าที่ประชุมต่อไป

แม้จะเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด แต่ความมั่นใจว่าเป็นคนพื้นที่จะไม่ได้รับอันตรายซึ่งเป็นความเชื่อเดิมๆ นั้นไม่อาจจะวางใจได้เหมือนเดิม การหยิบอาวุธปืนขึ้นมาเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันไม่เลือกศาสนานั้นทำให้ความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นในพื้นหรือต่างถิ่นเริ่มฉายปรากฎ ดังนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในฐานะกลุ่มบุคคลที่ต้องใกล้ชิดกับบุคคลทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ศาสนา จำเป็นต้องวางแนวปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและสุขใจไปพร้อมๆ กัน

เปิดใจแพทย์ผู้ปฏิบัติงานท่ามกลางสถานการณ์ไม่สงบ

น.พ.พิพัฒน์ มงคลฤทธิ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลยะลา บอกว่า แม้ตัวเองจะอยู่ชุมพร แต่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลมา 10 กว่าปีแล้ว ก่อนหน้านี้มีความคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะอยู่ต่อไป แต่วันนี้เริ่มคิดแล้วหลังจากที่วันหนึ่งโรงเรียนอนุบาลของลูกถูกขู่วางระเบิด เราต้องวิ่งออกไปรับลูกอย่างทุลักทุเล ภาพและความรู้สึกเหล่านั้นมันทำให้เราเริ่มคิดแล้วว่า ลำพังตัวเองก็ไม่เท่าไร แต่ลูกเมียจะอยู่อย่างไร

“สวัสดิการที่เราได้รับแม้จะไม่มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือมันไม่ครอบคลุมถึงลูก วันหนึ่งถ้าเราเป็นอะไรไป ลูกจะอยู่อย่างไร ความรู้สึกเหล่านี้มันถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ เราได้รับการขอร้องให้อยู่อย่างอดทน แต่สวัสดิการที่เราได้มันคุ้มกันหรือเปล่า มันสร้างความมั่นใจกับเราได้มากน้อยแค่ไหน ตรงนี้ผู้บริหารก็ต้องรับฟังด้วย”

นางจรรยา ทวีทอง หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลยะลา ระบายความอัดอั้นว่า คนที่ทำงานหนักไม่แพ้แพทย์ และอาจจะมากไปกว่าคือพยาบาล ทุกวันนี้โรงพยาบาลยะลาขาดแคลนพยาบาลอย่างหนัก คนที่สอบบรรจุได้ก็ไม่มาทำงาน โรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องจ้างพยาบาลชั่วคราว เพราะไม่มีอัตราจ้าง เขาต้องทำงานกันอย่างหนักเข้าเวร 2 วันติดต่อกันตลอดเพราะคนไม่พอ บางคนก่อนมาทำงานที่นี่ตัวดำ มาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าตัวขาวเพราะแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย แฟลตพยาบาลก็อยู่กันอย่างแออัด ห้องหนึ่งพยาบาลต้องพักรวมกัน 6-7 คน คุณภาพชีวิตพวกเขาแย่มาก แต่ก็ต้องยอมรับสภาพเพราะยังไม่อัตราจ้างให้พวกเขามีศักดิ์ศรีเท่ากับพยาบาลที่ได้รับการบรรจุ

เสนอทางออกก่อนถึงทางตัน

นพ.กุลเดช เตชะนภารักษ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลยะลา ได้สรุปปัญหาและทางออกให้กับผู้บริหารสาธารณสุขนำไปปฏิบัติว่า ความยากลำบากที่บุคลากรสาธารณสุข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องรับสภาพในขณะนี้คือ ความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว อนาคตของลูกและครอบครัว การทำงานบนความขาดแคลน รายได้และความมั่นคงของชีวิตดูจะไม่สมดุลกัน ความสะดวกสบายไม่ต้องพูดถึงขณะนี้แทบไม่มี

“กระทรวงสาธารณสุขเองก็พยายามสร้างสิ่งจูงใจให้กับแพทย์ด้วยการเพิ่มค่าตอบแทน สวัสดิการ แต่เป็นในลักษณะสัญญาใจกันมากกว่า ขณะที่พวกเราต้องเผชิญปัญหากันทุกวัน แต่ระบบการอนุมัติหรือจะทำให้คำสัญญาปรากฎเป็นรูปธรรมเป็นไปอย่างเชื่องช้า มันทำให้หลายคนคิดว่าผู้บริหารจริงใจกับเราหรือเปล่า”

สำหรับรายได้ของแพทย์ที่ได้รับขณะนี้คือ แพทย์ใช้ทุนปีที่ 1 อยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ มีรายได้ 40,000-50,000 บาท แบ่งเป็นค่าเสี่ยงภัย 12,500 ไม่ทำคลินิก 10,000 บาท เงินเดือน 10,000 บาท ค่าล่วงเวลา 10,000–15,000 บาท แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 อยู่โรงพยาบาลชุมชน รายได้ 70,000 บาท แบ่งเป็นค่าเสี่ยงภัย 12,500 บาท เบี้ยกันดาร 20,000 บาท ไม่ทำคลินิก 10,000 บาท เงินเดือน 10,000 ค่าล่วงเวลา 20,000 บาท แพทย์จบ Training มาแล้วอยู่โรงพยาบาลใหญ่ รายได้ 40,000-50,000 บาท แบ่งเป็นค่าเสี่ยงภัย 12,500 บาท ไม่ทำคลินิก 10,000 บาท เงินเดือน 10,000 บาท ค่าล่วงเวลา 10,000-20,000 บาท

นพ.กุลเดชมองว่า แม้จะดูเหมือนรายได้ที่ได้รับจะมาก แต่ถ้ามองกันถึงรายละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่ายังไม่เหมาะสม ซึ่งตัวแปรที่จะทำได้คือเพิ่มค่าเสี่ยงภัยเข้าไป สำหรับตัวเลขที่จะเสนอขอเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม คือ 1.รายได้ เงินงบประมาณ แพทย์ใช้ทุนควรมีรายได้ 60,000 บาทขึ้นไป แบ่งเป็นเงินเดือน 10,000 บาท ไม่ทำคลินิก 10,000 บาท ค่าล่วงเวลา 10,000 บาท ค่าเสี่ยงภัย 30,000 บาท แพทย์จบ Training ต้องมีรายได้ตั้งแต่ 80,000 บาทขึ้นไป คือมีเงินเดือน 10,000 บาท ไม่ทำคลินิก 10,000 บาท ค่าล่วงเวลา 10,000–20,000 บาท ค่าเสี่ยงภัย 40,000–50,000 บาท

สำหรับระบบบริหารจัดการนั้น น.พ.กุลเดชมองว่า ควรต้องแก้ปัญหาในโรงพยาบาลชุมชนก่อน โดยการจัดโควตาแพทย์ใช้ทุนให้พอดีกับจำนวน และให้มีสิทธิในการเรียนต่อของโรงพยาบาลใหญ่ ส่วนการแก้ปัญหาในโรงพยาบาลใหญ่ในระยะสั้นก็ต้องส่งแพทย์มาช่วยไปก่อน เหมือนที่ทำอยู่ในขณะนี้คือ ส่งมาช่วยที่โรงพยาบาลยะลา นราธิวาส โดยให้ค่าตอบแทนวันละ 2,700 บาท ขอแพทย์ประจำบ้าน ศัลยกรรมจากโรงเรียนแพทย์มาช่วย ให้ค่าตอบแทน 30,000-40,000 บาท ขอโควตากลาง ศัลยกรรมและศัลยกรรมกระดูก

ส่วนระยะกลาง ก็ต้องช่วยเหลือเรื่องการเรียนต่อ โดยการกำหนดสาขานั้นควรให้เป็นอิสระของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง กระทรวงสาธารณสุขควรจะกำหนดแต่จำนวนให้เท่านั้น โดยต่อไปให้แพทย์ใช้ทุน 1 ปี สามารถเรียนได้เลยในสาขาใหญ่และสามารถใช้ทุนที่ไหนก็ได้ แพทย์ใช้ทุน 2 ปี สามารถเรียนได้ทุกสาขา

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นจะต้องมีหลักการว่า การแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดภาคใต้ต่างจากที่อื่นอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วบนพื้นฐานของความจริงใจด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น