((( ชมประมวลภาพรอบบ้านที่แกลเลอรี่ด้านล่าง )))
เจ้าของบ้านที่ประสบปัญหาบ้านร้าว ทรุด แตก เอียง เนื่องจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง "อิตาเลี่ยนไทย" ก่อสร้างโปรเจ็กต์บิ๊กบึ้มคอมเพล็กซ์ 39 ชั้น แต่ใช้วัสดุกั้นดินไหลไม่เพียงพอ จนชั้นดินบริเวณใกล้เคียงเคลื่อนตัว ได้เปิดบ้านแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันจะเดินหน้าฟ้องร้องจนถึงที่สุด เผยหลังเจรจากับผู้บริหาร โดนบอกให้ไปหาทนายที่เก่งที่สุดมา
วันนี้ (10 พฤษภาคม) นายไกรภพ แพ่งสภา เจ้าของบ้านย่านกล้วยน้ำไท ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโครงการก่อสร้างคอมเพล็กซ์ 39 ชั้น ของบริษัทอิตัลไทย เทรวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ได้เปิดบ้านแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมด้วยบุคคลากรจากหลายฝ่าย ได้แก่นายสุกิจ ก้องธรนินทร์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มาเป็นตัวแทนรับทราบปัญหาเนื่องจากนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ติดภารกิจมารับฟังปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ , รศ.ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ที่มาในฐานะวิศวกรโครงสร้างตรวจสอบความแข็งแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้น ,นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค กรุงเทพมหานคร ,นายชัยธวัช อยู่สำราญ ผู้อำนวยการเขตคลองเตย ,น.อ.สุรพล ชาญเจริญ คณะทำงานของน.ต. ศิธา ทิวารี ในฐานะสส.เจ้าของพื้นที่ , นายวินัย ลิ่มสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานโยธาธิการกรุงเทพมหานคร
โดยนายไกรภพได้กล่าวเท้าความไปถึงช่วงปีที่เกิดปัญหาคือเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 บริษัทอิตัลไทยเทรวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททางด้านวิศวกรรมรากฐานของอาคารสูง ในเครือของบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ได้เริ่มปรับพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการ "เมธา คอมเพล็กซ์" ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่อาศัยชนิดคอนโดมิเนี่ยม ที่มีความสูง 39 ชั้น ซึ่งอยู่ใกล้กันกับบ้านของนายไกรภพเอง หลังจากที่บริษัทอิตัลไทย เทรวี ได้เริ่มทำงานในโครงการดังกล่าว นายไกรภพกล่าวว่า เกิดความเดือดร้อนรำคาญจากมลภาวะทางอากาศและเสียงเป็นอย่างมาก พื้นดินภายในบ้านก็เหมือนมีแผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา และทางบริษัทก็ได้เร่งก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คนในบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนนายไกรภพและครอบครัวจำต้องย้ายออกไปเช่าที่พักข้างนอกชั่วคราว
"ผมทนอยู่ได้ประมาณ 6 - 7 เดือนครับ แต่เสียงมันดังตลอด เค้าก่อสร้างกันไม่หยุด พื้นก็เหมือนมีแผ่นดินไหวตลอดเวลา ไหนจะฝุ่นอีก แล้วผมเป็นคนทำงาน กลับมาบ้านก็อยากพักผ่อน เลยจำเป็นต้องย้ายออกไปเช่าอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่เรามีบ้านของเราเอง เล่นก่อสร้างแบบนี้ทำเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.คลองเตยแทบทุกวัน ตำรวจเค้าก็ดีครับ มาทุกครั้งที่แจ้งเหมือนกัน พอตำรวจมา เค้าก็หยุด พอตำรวจไป เค้าก็ลงมือสร้างต่อ ผมโทรแจ้งตำรวจถี่มาก แทบทุกวัน จนจำเสียงกันได้แล้ว"
"ผมแจ้ง 191 แจ้งกองโยธาคลองเตย ซึ่งก็รับทราบเรื่องราวมาตลอดเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรไปในทางที่ดีขึ้นเลย พอผมไปแจ้งทางอิตาเลี่ยนไทย ก็รับปากว่าจะดูแลให้ ส่งคนดูแลมาคนหนึ่ง ผมขอเบอร์เค้า เค้าก็ไม่ให้ ตอนหลังผมไปหาเบอร์โทรเค้ามาจนได้ โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่รับ ผมเลยใช้เบอร์บ้านโทรไป เค้ารับ ผมถามเค้าว่าทำไมไม่รับ เค้าบอกว่า เค้าก็ต้องหลับต้องนอน แล้วผมล่ะ ผมไม่หลับได้นอนเพราะโครงการของคุณ ก็ไม่เห็นจะดูแลทำอะไรให้ ผมเชิญเค้ามานอนที่บ้าน ให้รับรู้ปัญหากันไปเลย ก็ไม่เห็นมีใครมา" นายไกรภพกล่าว
นายไกรภพกล่าวต่อว่า หลังจากนั้นช่วงประมาณเมษายนในปีเดียวกัน ผลจากการขุดเจาะฐานรากของโครงการดังกล่าว ได้ทำให้เรือนหลังบ้าน ที่ถูกปลูกอยู่ติดกับโครงการได้ทรุดตัวลงมา พื้นดินขยับเป็นลูกคลื่น บางจุดเอียง บางจุดแตกร้าว ต้นไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ล้มฟาดบ้านตัวเองและบ้านหลังใกล้เคียง
"เรือนหลังบ้าน เป็นเรือนของคุณยายผม ท่านอายุ 80 กว่าแล้ว ก่อสร้างกันจนไม่ได้หลับได้นอน ท่านอายุมาก ได้ยินเสียงแบบนี้ก็นอนหลับไม่สนิท ตอนหลังเรือนจะทรุด อิตาเลี่ยนไทยเค้ามาขอทุบ เพราะเค้ารู้แน่ว่ายังไงก็ต้องพังลงมา แล้วมันจะเป็นข่าว ผมก็บอกว่า ทุบไม่ได้ ถ้าจะทุบต้องทำจดหมายมาเป็นลายลักษณ์อักษร ตอนหลังเค้าเลยยอมสร้างที่จอดรถของผมทำเป็นเรือนพักคุณยายชั่วคราว เพราะเรือนที่จะทรุดนั้น พื้นมันเอียงจนรถเข็นคุณยายวางอยู่นิ่งๆ นี่ถึงกับไหล เพราะพื้นมันเทลง ไม่เสมอ แต่ตอนแรกที่เค้าสร้างให้ เค้าแค่เอาหลังคาขึ้นแล้วต่อกำแพงลงมาสี่ด้านเท่านั้น ผมก็ท้วงว่า เอ๊ย ไม่ได้นะ นี่คุณยายผมนะ ไม่ใช่คนงาน เค้าก็เลยยอมทำให้ดีขึ้นมากว่านี้นิดนึง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเศร้ามาก คุณยายผมท่านอายุมากแล้ว ต้องมาให้ท่านอยู่ในโรงรถ เพียงเพราะบ้านของเราเองร้าว บ้านที่สร้างมา 30 ปี เป็นเรือนหอคุณแม่ผม เป็นที่เกิดของผม แต่ผมแทบจะต้องหนีออกจากบ้านตัวเอง เพราะสาเหตุความไม่รับผิดชอบของบริษัทแบบนี้" นายไกรภพกล่าว
หลังจากที่นายไกรภพได้ทำหนังสือร้องเรียนไป ทางบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ได้ปัดความรับผิดชอบไปยังบริษัทประกันที่ทางบริษัทได้ไปทำประกันไว้จำนวน 4 บริษัท คือทิพยประกันภัย , เทเวศน์ประกันภัย , ไพบูลย์ประกันภัย และศรีอยุทธยาประกันภัย ไม่นานนักตัวแทนจากบริษัทประกันก็ได้มาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นที่บ้าน โดยดูจากบริเวณภายนอกของบ้าน แล้วกลับไปแจ้งยังบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ว่าไม่พบความเสียหาย บริษัทจึงทำหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถพิจารณาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
แต่นายไกรภพยังคงไม่ยอมแพ้ และหลังจากการร้องเรียนต่อบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน เป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ประกอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนมากภายในบ้าน ก็ฟ้องออกมาถึงความจริงที่เกิดขึ้น บริษัทจึงยอมจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 5,047,998 บาท แต่นายไกรภพไม่ยอม เนื่องจากเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น มากกว่าจำนวนเงินที่บริษัทเสนอมาหลายเท่า จึงไม่ยอมรับข้อเสนออันนี้
แม้แต่รศ.ต่อตระกูล ก็ยังให้ความเห็นหลังจากที่เดินดูความเสียหายรอบบ้านหลังดังกล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากดินที่ถูกขุดเจาะทำรากฐานอาคารสูงของโครงการดังกล่าว ไหลออกมาสู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้ดินเคลื่อนตัว บ้านจึงทรุด แตก ร้าว และเป็นระลอกคลื่นเช่นนี้ ซึ่งตามปกติแล้ว การก่อสร้างรากฐานของอาคารใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นจะต้องใช้วัสดุกั้นดินหรือที่เรียกว่า "ชีพพลาย" ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็ก ฝังลงไปรอบบริเวณที่จะก่อสร้าง เพื่อป้องกันปัญหาดินไหลออกบริเวณข้างเคียงโดยเฉพาะ เชื่อว่าทางบริษัทอิตัลไทยเทรวี่ก็คงจะมีการป้องกันในส่วนของชีพพลาย แต่อาจจะไม่พอเพียง เพราะการฝังชีพพลายมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
และต่อข้อถามถึงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้บ้านได้เคลื่อนตัวและทรุดแล้ว ถึงจะใช้วิธีที่เรียกว่า "ดีดบ้าน" ทำให้บ้านสูงขึ้นมาระดับเดิม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไม่สามารถจะย้ายบ้านที่เคลื่อนตัวจากที่เดิมแล้ว ให้กลับมาอยู่ที่เดิมได้ ซึ่งทางนายไกรภพก็ยืนยันว่าได้ศึกษาวิธีการแก้ไขมาเป็นอย่างดีแล้ว ไม่มีทางทำให้เหมือนเดิมได้ ทางออกในใจตอนนี้ก็คือรื้อทิ้ง แล้วก็สร้างใหม่ ซึ่งวงเงินที่เรียกร้องค่าเสียหายของนายไกรภพคือ 21,115,900 บาท แต่ก็ยังยืนยันว่า จะอยู่ที่เดิมแน่นอน ไม่ย้ายไปไหน และจะสู้ให้ถึงที่สุด
"ผมพยายามจะติดต่อไปยังผู้บริหารของอิตาเลี่ยนไทย แต่โทรให้ตายยังไงก็ไม่มีคนรับ ผมจึงต้องไปดักรอที่หน้าห้องประชุมที่บริษัท ทราบว่ามันเป็นการเสียมารยาท เพราะไม่ได้นัดไว้ก่อน แต่เชื่อว่าหากนัดไว้ก่อนก็คงไม่ได้เจอกันอีก เมื่อผมพบกับผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง เราก็ได้เจรจากัน ซึ่งการเจรจาก็เป็นไปด้วยดี เราก็อุ่นใจ เพราะเราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ก็เลยต้องเข้าหาผู้ใหญ่ พอเราเห็นผู้ใหญ่พูดดี ก็ใจชื้นขึ้นมาว่าน่าจะมีทางออก ผมเสนอค่าเสียหายของผมอยู่ที่ 21,115,900 บาท เป็นค่ารื้อบ้าน ทุบบ้าน สร้างใหม่ ค่าเช่าที่พักอาศัยตอนผมพาครอบครัวออกไปอาศัยเพื่อรอบ้านเสร็จ นี่ยังไม่รวมค่ากระทบกระเทือนจิตใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่จู่ๆ บ้านผมก็ต้องมาพังแบบนี้
บ้านใครใครก็รัก มันมีประวัติศาสตร์ บ้านที่เป็นเรือนหอคุณแม่ผม ผมเกิดที่นี่ ผมแต่งงานก็แต่งที่บ้านนี้ แต่งวันเดียวกับที่โครงการนี้ลงมือทำเลยครับ เสียงดังตั้งแต่วันแรก จนคุณแม่ผมต้องวิ่งไปที่ไซด์งานเค้า แล้วขอให้เค้าเบาเสียงลงหน่อย เนื่องจากที่บ้านมีงานมงคลเสียด้วยซ้ำ แล้วไหนจะความเปลี่ยนไปของวิถีชีวิตของคนในบ้าน เมื่อก่อนผมพาเพื่อนมาบ้าน คุณแม่เชิญแขกมาทานข้าว แต่เดี๋ยวนี้เราไม่กล้าเอาใครมา เราอายบ้าน อีกอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าบ้านจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ หากเกิดอะไรขึ้น ผมคงรับผิดชอบไม่ไหว
ตอนนี้ทั้งบ้านมีแต่ผ้าขี้ริ้ว กระดาษหนังสือพิมพ์ เพราะบ้านแตก น้ำรั่ว ต้องเอาอะไรมาอุดไว้ เครื่องเรือนก็ต้องอพยพย้ายหนีบ้าง ห่อพลาสติกไว้บ้าง ผมยังกังวลว่าถ้าเกิดเข้าหน้าฝนแล้วจะเป็นอย่างไร ก็คงจะลำบากกว่าเดิม แต่หลังจากผมเจรจากับผู้บริหารของบริษัท เค้ากลับบอกว่า ผมโชคดีแล้วที่ได้เงินชดเชยถึงขนาดนี้ คนอื่นไม่เคยได้เงินสูงถึงขนาดนี้ แต่ถ้าผมไม่ยอมรับ หรืออยากได้มากกว่านี้ ก็ให้ไปฟ้องร้องเอาเอง แต่ก็ขอเตือนให้หาทนายมือที่ดีที่สุดเอาไว้ก็แล้วกัน" นายไกรภพกล่าว
สำหรับนางศิริวรรณ ประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากที่ได้ดูความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนตัวแล้วรู้สึกเห็นใจเจ้าของบ้าน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น เฉพาะที่มองเห็นได้ชัดเจน เป็นความเสียหายขนาดใหญ่มีอยู่เป็นสิบจุด ส่วนเรื่องการประสานงานเพื่อดูแลและแก้ไขนั้น ต้องดูก่อนว่าสามารถเข้าไปทำอะไรในส่วนใดได้บ้าง จะช่วยเหลือได้ในส่วนใด ซึ่งก็จำเป็นจะต้องดำเนินการในทันทีโดยเร่งด่วน
นอกจากนี้ ยังได้มีเพื่อนบ้านผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับนายไกรภพ คือนายปรัชญา เลิศเจริญโชค ก็ได้มาฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนายไกรภพมากนัก ลักษณะบ้านเป็นตึกแถว ซึ่งเจ้าของได้สร้างทั้งหมดเป็นจำนวน 14 คูหา สำหรับคูหาที่ได้เช่าไว้นั้น ถึงกับร้าวตั้งแต่ฐานล่างจนถึงดาดฟ้า บ้านเอียงจนนั่งแล้วยังรู้สึกว่าน้ำหนักเทไปด้านหลัง บางครั้งเมื่อสะเทือนหนักๆ ถึงกับออกอาการโยกอย่างน่าหวาดเสียว แล้วก็ไม่มีใครออกมารับผิดชอบ จึงขอใช้โอกาสนี้ออกมาร้องเรียนด้วยเช่นกัน และโดยส่วนตัวก็อยากให้นายไกรภพฟ้องร้องจนชนะคดี จะได้เป็นคดีตัวอย่างแก่ผู้ก่อสร้างที่ไม่รับผิดชอบทั้งหลาย ให้คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นบ้าง เพราะในทุกวันนี้ คนที่เดือดร้อนจากปัญหานี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องมีราว เพราะกฎหมายแพ่งนั้นกว่าจะพิจารณาตัดสิน กินเวลายาวนานถึง 4 ปี