“ทักษิณ” รับปากพร้อมทำตามข้อเรียกร้องของ “กลุ่มผู้ใช้แรงงาน” ยืนยันจะไม่ให้มีการข่มเหง-รังแกลูกจ้าง พร้อมดูแลสวัสดิภาพ-ยกระดับฝีมือควบคู่ไปกับการปรับค่าจ้าง เผยเตรียมเร่งแก้ไขปัญหาการว่าจ้างแบบเหมาช่วง กลุ่มผู้ใช้แรงงานเสนอข้อเรียกร้อง ยกเลิกการจ้างงานแบบเหมาค่าแรงในราคาถูก รวมทั้งให้รัฐหยุดขายหรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ควบคุมสินค้าอุปโภคบริโภค เร่งจัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัย
วันนี้(1 พ.ค.)พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยกับพี่น้องแรงงานในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ว่า วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับผู้ใช้แรงงาน ถือว่า 1 ปีมีครั้งเดียวถือเป็นวันที่จะได้สะท้อนปัญหาความต้องการให้รัฐบาลได้ทราบว่ายังมีสิ่งใดบ้างจะต้องให้การดูแลกันต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะมาฟังปัญหาหรือรับทราบทุกข์สุขของพี่น้องเฉพาะวันแรงงานเท่านั้น
ส่วนสิ่งที่เป็นข้อเรียกร้องนั้น มีหลายข้อที่รัฐบาลให้การดูแลอยู่ แต่ก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รัฐบาลได้ทำไปแล้ว แต่ผู้ใช้แรงงานอาจไม่ทราบ อย่างเช่นเรื่องการขยายโอกาสให้มีงานทำ ในลักษณะของการแก้ไขปัญหาความยากจนทุกรูปแบบ การขยายการลงทุน ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อให้โอกาสกับภาคแรงงานที่ทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งรัฐบาลได้ดูแลให้มีการรักษากติกาไม่ให้มีการข่มแหงรังแกกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีพลังกว่าข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยเฉพาะนายจ้างต้องมี “ฝีมือ” โดยแท้จริงไม่ใช่ด้วยการกดขี่ข่มเหงลูกจ้างด้วยระบบค่าแรงหรือการเอาเปรียบต่างๆ ดังนั้นเรื่องสวัสดิภาพ สวัสดิการต่างๆ ของผู้ใช้แรงงานนั้น รัฐบาลให้การดูแลเป็นพิเศษ และจะดูแลอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนที่อยู่ในระบบแรงงานจะได้รับการดูแลอย่างครอบคลุม
ในส่วนของการยกระดับฝีมือแรงงานนั้น ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะถือว่าฝีมือแรงงานที่สูงขึ้นมีส่วนเชื่อมโยงกับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นโดยตรง ขณะนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาดูแลยกระดับแรงงานในเรื่องคุณวุฒิการศึกษา โดยรัฐบาลนี้มองว่า ต่อไปแรงงานไทยจะมาพึ่งพิงกับค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้มีฝีมือ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับ “กึ่งฝีมือ” และงานใดที่คนไทยไม่ทำถึงจะบริหารจัดการเปิดรับแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำแทน
สำหรับ “การรับเหมาช่วง” นั้น จะเป็นการ “เหมาช่วง” หรือ Out-source อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อ มีการให้บริษัทอื่นรับช่วงไปทำอีกต่อหนึ่ง แต่ลักษณะที่ทำในโรงงานเดียวกันแบบนี้ไม่เกรียกว่า Out-source แต่ถือเป็นการ ซิกแซก เอารัดเอาเปรียบลูกจ้างมากกว่า ซึ่งแนวทางการแก้ปขปัญหาต้องมาพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจ โดยเท่าที่เคยสอบถามพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ได้รับทราบมาว่าจุดแข็งของคนไทยที่ทำให้อยากมาลงทุน คือ ในเรื่องความมีน้ำใจ และคุณภาพของฝีมือแรงงาน ซึ่งถึงแม้ว่าอาจมีข้อขัดเคืองอะไรกับรัฐบาลก็ตาม แต่อย่าให้ไปกระทบกับสิ่งที่เป็นข้อดีนี้
จากนั้น นายทักษิณ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลนี้ถือเป็นหน้าที่ที่จะดูแลกำลังแรงงานด้วย การ 1. สร้างงานให้ทำ 2. มีการสร้างระบบสวัสดิการ สวัสดิภาพและมีการสื่อสารให้เข้าใจกัน 3. รักษาและสร้างกติกาที่เป็นธรรมด้วยหลัก เมตตาธรรม 4. สร้างและให้โอกาสในการฝึกทักษะฝีมือ และ 5. ดูแลในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้นายจ้าง ลูกจ้างจะอยู่ด้วยกันแบบ “เกื้อกูล” กัน ไม่ใช่ “กัดกิน” กัน โดยรัฐบาลก็พร้อมที่จะเข้ามาให้การดูแลบริหารด้วยหลักของ เมตตาธรรม
ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานแยกกันจัดงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนำโดยสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มตั้งแต่เช้าด้วยพิธีทางศาสนาและรวมตัวตั้งริ้วขบวนเดินเท้าไปยังท้องสนามหลวงเพื่อร่วมงานวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มนี้มี 9 ข้อ ได้แก่ ยกเลิกการจ้างงานแบบเหมาค่าแรงในราคาถูกให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จ่ายเงินสมทบเท่าเดียว แก้ไขสัดส่วนกรรมการในไตรภาคีทุกชุดให้มีกรรมการจากนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐ เท่ากันทุกฝ่าย ให้ลูกจ้างซึ่งประสบภัยอันตรายขณะทำงานได้หยุดงานและได้ค่าจ้างเต็มอัตรา ขอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วยการรับรองสิทธิการรวมตัวและเจรจา ยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้สำหรับสวัสดิการทุกประเภทที่นายจ้างจัดให้กับลูกจ้าง ยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้สำหรับเงินชดเชยที่ที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างเมื่อออกจากงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 แก้ไข พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เป็นไปแบบบังคับ และการจ่ายเงินคืนให้กับสมาชิกกองทุนให้จ่ายในรูปแบบบำนาญ และขอให้ดำเนินการจัดให้มีหลักสูตรการศึกษาว่าด้วยการแรงงานไว้ในการศึกษาของชาติตั้งแต่การศึกษาระดับมัธยม
ส่วนอีกกลุ่มประกอบด้วยคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยและสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึกแห่งความเป็นไทยประกาศจุดยืนที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชนชั้นแรงงาน ภายใต้คำขวัญ “สามัคคีกรรมกร ต้านทุนนิยมครอบโลกก้าวไปสู่สังคมที่ไร้การขูดรีด” เนื่องจากเห็นว่ารัฐทุนนิยมผูกขาดส่งผลให้กรรมกรและคนยากจนได้รับความเดือดร้อน โดยรวมตัวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาลยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้แก้ไขปัญหา 11 ข้อให้กับแรงงาน อาทิ ให้รัฐหยุดขายหรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐควบคุมราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เกิดความเป็นธรรม และเร่งจัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัย ท่ามกลางการรักษาความเรียบร้อยของตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 กว่า 100 นาย
สำหรับบรรยากาศที่ท้องสนามหลวงปีนี้มีผู้ใช้แรงงานค่อนข้างบางตา เนื่องจากส่วนใหญ่ไปรวมตัวกับอีกกลุ่มแยกจัดงานที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยกิจกรรมที่สนามหลวงปีนี้กระทรวงแรงงานยังคงตั้งบู๊ธให้ความรู้ คำแนะนำในการหาอาชีพและจัดกิจกรรมให้ความบันเทิง นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันกีฬาระหว่างผู้ใช้แรงงานชิงถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน การแสดงคอนเสิร์ตจากนักร้องลูกทุ่งชื่อดังภายใต้การสนับสนุนของเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นที่สังเกตว่าปีนี้การจัดงานวันแรงงานเต็มไปด้วยป้ายโฆษณาและบู๊ธจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ในการจัดงานวันแรงงานครั้งนี้ แม้ก่อนหน้านี้ปีที่ผ่านมาเคยถูกวิจารณ์การส่งเสริมประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มชูกำลังกับผู้ใช้แรงงานว่าเป็นการมอมเมาไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง
จากการสอบถามผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ต้องการให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 200 บาท เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้วันละร้อยกว่าบาทไม่เพียงพอ แต่ข้อเรียกร้องของกลุ่มที่นำโดยสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยไม่ได้บรรจุเรื่องนี้เข้าไปด้วย โดยนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ไม่บรรจุข้อเรียกร้องเรื่องปรับค่าจ้างขั้นต่ำเข้าไป เพราะเห็นว่าเพิ่งมีการปรับขึ้นไปเมื่อไม่นาน ส่วนที่อ้างว่ารายได้ไม่พอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นนั้น คงต้องให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางที่มีผู้แทนของทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาลพิจารณากันต่อไป
โดยส่วนตัวเห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องให้ปรับขึ้นเพราะเพิ่งปรับขึ้นเฉลี่ยอีก 4 บาทเมื่อไม่นานเอง ต้องมาดูว่าค่าครองชีพมันสูงขึ้นจริงแค่ไหน ต้องเข้าใจว่าค่าจ้างมันไม่มีคำว่าพอกันหรอก มีแต่อยากได้มากเอาไว้ก่อน กลุ่มของเราเป็นกลุ่มที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ผมไม่สนใจกลุ่มอื่นที่แอบอ้าง