ผู้ชายคนหนึ่ง มีฐานะเป็นปลัดอำเภอ ด้านสถานะครอบครัวเขามีภรรยาและลูกที่เพิ่งเกิด
ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นแค่เด็กฝึกงานตัวเล็กๆ สถานะของเธอคือลูกสาวของพ่อและแม่ เธออยู่ในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย นัยน์ตาแดงกล่ำ
“ขอโอกาสเถอะหนูเถอะ ปลัดเองก็มีลูกนะ ตอนนี้ลูกปลัดก็เหมือนผ้าขาว ถ้าปลัดทำอย่างนี้ปลัดไม่ได้เปื้อนคนเดียว เก้าอี้ปลัดที่เคยแวววาวก็เปื้อนไปด้วย หนูสัญญาจะไม่บอกใคร หนูสัญญา” เธอขอร้องเขา ไม่นานนักปลัดคนนั้นก็ปล่อยให้เธอไปแต่งตัว
ด้วยสติของเธอ ทำให้เธอรอด ด้วยที่เธอที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีอำนาจ เธอจึงได้แต่โซซัดโซเซ กลับไปพักด้วยร่างกายที่ระบมช้ำ และจิตใจที่หวาดกลัว
แม้เธอจะรอดจากการข่มขืน แต่สิ่งที่เธอสูญเสียคือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่นานนักเธอดำเนินการแจ้งความ กับปลัดอำเภอที่เป็นเจ้านายของเธอเพื่อทวงสิ่งที่เธอเสียไปกลับคืนมา
เรื่องราวด้านบนนี้ไม่ใช่นิยาย แต่เป็นชีวิตจริงของ “ร้อย” นักศึกษาคนหนึ่งที่ไปฝึกงานที่อำเภอหนึ่งทางภาคใต้ หนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่กล้าขึ้นมาแจ้งความ และอาจจะมีคนที่พบเจอเรื่องราวอย่างเด็กคนนี้อีกเป็นร้อยเป็นพัน แต่ไม่กล้าขึ้นมาพูดความจริง ทำให้คนทั่วไปไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแค่ไหนในสังคมไทย แล้วเราควรทำอย่างไรเมื่อภัยมาถึงตัว
การคุกคามทางเพศในที่ทำงาน : สิ่งที่ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มี
ความรู้สึกไม่กล้าเข้ามาร้องเรียน กลัวตำรวจ กลัวคู่กรณี อับอายสังคม กับคำถามที่หวาดกลัวอยู่ในใจว่า ถ้าเข้ามาร้องเรียนจะถูกถามว่าอย่างไร? จะถูกถ่ายรูปลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไหม? จะถูกประณามหยามเหยียดไหม? นี่คงเป็นความรู้สึกของผู้หญิงเหล่านี้ ที่คนไม่เคยสัมผัสคงไม่เข้าใจ
กับภาพผู้เสียหายที่ใส่หมวก ใส่แว่นตาดำ ก้มหน้าก้มตาตอบคำถามที่เราเคยชิน หลายๆ คนตั้งคำถามกับพวกเธอว่า “ไปให้ท่าก่อนหรือเปล่า ไปแต่งตัวยั่วยวนละซิ” โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้ที่อยู่หลังแว่นดำนั้นว่าเธอเป็นผู้ถูกกระทำที่ควรได้รับการดูแล
ป้าโก๋ หรือ สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวถึงการเข้ามาร้องเรียนของผู้หญิงว่า ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้ามากัน ทั้งๆ อยากจะดำเนินคดี แต่ผู้หญิงยากจะเอื้อนเอ่ยว่า “ฉันถูกข่มขืน” หรือ “ถูกจับนมมา” เขาพูดไม่ออก ไม่กล้าพูด ทุกๆรายก็จะถูกขู่มาทั้งนั้น พอกล้าเข้ามาแจ้งความ รอยฟกช้ำดำเขียวก็หาย พยานบุคคลก็ไม่มี
ป้าโก๋พูดถึงการคุกคามทางเพศในที่ทำงานว่า “มันมีเยอะ แต่ที่ไม่ค่อยปรากฏข่าวให้เห็น เพราะเขาไม่กล้าและคนที่ทำเรื่องพวกนี้มักมีอำนาจ มีตำแหน่งสูงๆ เป็นปกติที่ต้องกลัว อย่างมูลนิธิเพื่อนหญิง ปีนี้ก็รับเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานมา 4 กรณี มีทั้งในเอกชน รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ มีหมด”
ด้าน นัยนา สุภาพึ่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า ที่ผู้หญิงไม่กล้าพูดเพราะสังคมสอนให้เราไม่กล้าปฏิเสธ แล้วเมื่อเราไม่พอใจและโวยวาย ก็กลายเป็นว่าเราเป็นคนผิด ไปทำความเสื่อมเสีย แล้วตั้งคำถามว่าเธอไปให้ท่าก่อนหรือปล่า แต่จริงๆ แล้วผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำความเสื่อมเสีย”
“การคุกคามทางเพศนั้นมีเยอะแต่ไม่เป็นข่าวหรือไม่มีการร้องเรียน เพราะเมื่อไปพูดกับผู้บังคับบัญชา หรือไปเข้าไปในกระบวนการไต่สวน มันจะเป็นเรื่องความความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และมันยากที่จะทำจริง เพราะผู้หญิงจะไม่กล้าพูด ส่วนผู้ชายที่เป็นคนรับเรื่องก็ไม่เข้าใจ”
กระบวนการสอบสวน : ทางสู่ความยุติธรรมที่เจ็บปวด
“ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำ? มีหลักฐานไหม? ถ้าไม่มีหลับไปหาก่อนไป ระวังเดี๋ยวจะโดนเหมือนหมวยโซวนะ”
นี่เป็นคำพูดที่ป้าโก๋บอกเล่ากับเราว่า มีผู้สอบสวนบางคน ยังมีวิธีคิดที่เหมารวมว่าผู้ได้รับความเสียหาย เป็นแค่ “ผู้หญิงที่โกหก”
ป้าโก๋บอกว่า สิ่งเหล่านี้บั่นทอนจิตใจผู้เสียหาย ทำให้ผู้หญิงหลายคนท้อใจที่จะดำเนินคดีต่อ และหลายครั้งเรามักพบว่าการดำเนินคดีเหล่านี้ มักหยุดกลางครันก่อนที่ศาลจะพิพากษา
ทำไมพวกเธอถึงยอมแพ้?
“คดีพวกนี้มักไม่ไปถึงที่สุด เพราะมันทนไม่ได้ เขาต้องอดทนต่อคดีอาญาที่ล่าช้าอยู่เสมอๆ ไหนจะย้ำคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ จิตใจก็หดหู่ นอกจากนี้ยังถูกคุกคามจากคู่กรณี ทำให้เขาไม่อยากสู้ แล้วถอนคดีไป หรือบางรายก็จบโดยเจรจาให้เงินทดแทน ตรงนี้บางคนไม่เข้าใจ ว่าทำไมไม่ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด คือเราไม่รู้หรอกว่าเขาถูกอะไรรบกวนบ้าง”ป้าโก๋ที่อยู่ช่วยตั้งแต่เริ่มดำเนินคดีกล่าวด้วยความเข้าใจ
นอกจากนี้ ป้าโก๋ยังกล่าวถึงจุดบกพร่องของกระบวนการสอบสวนว่า “มันขาดกระบวนการฟื้นฟูผู้เสียหาย กฎหมายคุ้มครองจำเลยมากกว่า ตำรวจสอบปากคำต้องมีทนายและนักสังคมสงเคราะห์ร่วมฟังการสอบสวน ตำรวจก็จะบอกว่าคุณถูกกล่าวหาแบบนี้นะ คุณมีสิทธิอะไรบ้าง แต่สำหรับผู้เสียหายไม่มีเลย ตรงนี้เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายไหม? แล้วส่วนใหญ่ผู้เสียหายก็มักไม่ค่อยรู้ว่าต้องทำอะไร ถ้าตำรวจไม่แนะนำเขา ช่วยเขา เขาก็เคว้ง แต่เจ้าหน้าที่บางคน ก็ดีช่วยบอกให้ว่าต้องทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตรงนี้เลย”
ป้าโก๋ยกตัวอย่างคดีที่ที่พนักงานสอบสวนช่วยเหลือเป็นอย่างดีว่า คดีดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เร็วมาก ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์เลยก็ได้ ตรงนี้เป็นเพราะพนักงานสอบสวนคนนั้น มีน้องสาวเคยถูกข่มขืน เขาเข้าใจดีถึงความทุกข์ของผู้หญิงคนนั้น มองผู้หญิงคนนั้นเหมือนน้องที่ต้องดูแล
“พนักงานสอบสวนเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ต้นทางคือสิ่งที่จะส่งผลให้ปลายมันดีต่อสังคม แต่ต้นทางที่แท้จริง คือ ครอบครัว”
ทางออกของการคุกคาม
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นหาใช่สิ่งที่ง่าย เพราะปัญหาดังกล่าวมาจากต้นทุนทางสังคมที่ป่วยไข้
ป้าโก๋ ให้ความเห็นว่า “การแก้ปัญหานั้นแก้จุดเดียวไม่ได้ มันต้องใส่ปุ๋ยใหม่เลยตั้งแต่ตั้งท้อง เกิดมาเป็นผู้ชายก็ให้เขารู้จักการเคารพคนอื่น เราพบว่าผู้ชายส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงโดยปล่อยปะเลยเลยให้อิสระทำอะไรก็ได้ ส่วนผู้หญิงก็สอนแต่ให้รักนวลสงวนตัว แต่ไม่ได้สอนให้รู้จักป้องกันตัวเอง”
“ผู้ชายมีความต้องการทางเพศสูง โดยมีสื่อกระตุ้น ดูภาพโป๊ลามก หมกมุ่น แล้วก็ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างเจ้านายที่ลวนลามลูกน้อง ข่มขืนลูกน้องก็คิดว่าทำเสร็จให้เงินเดี๋ยวมันก็จบ” ป้าโก๋ให้ความเห็นเพิ่มเติม
ด้าน อาจารย์วิลาสินี พิพิธกุล อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักสตรีนิยม แนะนำอีกทางออกของปัญหาว่า วัฒนธรรมองค์กรก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน สังเกตได้ว่าหลายๆองค์กรมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่ประสิทธิผลของงาน แต่ไม่ได้คิดถึงการเคารพซึ่งกันและกัน และการให้เกียรติกันระหว่างเพศ แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลพยายามให้หน่วยงานมีสัดส่วนหญิง-ชายใกล้เคียงกัน ซึ่งหากนำเรื่องนี้มาตระหนักด้วยจะเป็นสิ่งที่ดีมาก
ขณะที่นัยนาได้กล่าวทิ้งท้ายถึงผู้บริหารองค์กรทั้งหลายว่า “จากงานวิจัยในหลายประเทศพบว่า ผู้หญิงที่ถูกคุกคามจะกลัวและหลบหน้าจ้านายที่เคยคุกคามตนเอง จนทำให้เสียงานในที่สุด ถ้าองค์กรไม่เห็นความสัมพันธ์ตรงนี้ ก็จะทำให้งานขององค์กรเสียหายได้ ขอแนะนำให้ผู้บริหารตั้งกฎให้พวกหัวงูถูกลงโทษและปฏิบัติจริงด้วย ถึงแม้ว่าผู้ชายที่ทำผิดมักจะมีเป็นคนระดับสูงและมีความสามารถ แต่ถ้ามาเทียบกันจริงๆ มันแล้วไม่คุ้มต่อองค์กรทั้งหมด”
สุดท้ายป้าโก๋แนะนำสาวออฟฟิศทั้งหลายว่า หากเจอการลวนลามในที่ทำงานให้รีบร้องเรียน และต้องรู้จักตัดไฟแต่กลางลม คือ ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วอย่าให้มันเกิดขึ้นอีก จากขอกอด ขอหอม ขอจับก้น ก็ได้ใจ ทำรุนแรงจนถึงขั้นข่มขืน และที่สำคัญต้องเผยแพร่พฤติกรรมที่ไม่ดีให้สังคมได้รับรู้ ต้องมีสักคนที่เข้าใจจะช่วยเหลือแน่นอน โดยอาจจะที่บอกหัวหน้างาน ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนร่วมงาน สหภาพแรงงาน หรือองค์กรกลาง ซึ่งอีกไม่นาน สำนักงานกิจกรรมและสถาบันครอบครัวจะจัด “ศูนย์ต้านภัยทางเพศในที่ทำงาน” ขึ้น เพื่อช่วยในเรื่องดังกล่าวอีกแรง