xs
xsm
sm
md
lg

ฮอตไลน์สายเซ็กซ์ร้อนฉ่า “คุณหมอขา...ช่วยที”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ช่วยตัวเองบ่อยๆ จะทำให้เซ็กซ์ตายด้านหรือเปล่า?
ความจริงก็อายนะครับ/คะ แต่ไม่รู้จะไปถามใครที่ไหน?


คนไทยไม่ค่อยมีความรู้เรื่อง “เซ็กซ์” หรือไม่ก็รู้แบบถูกๆผิดๆ เยอะมาก ไอ้ที่บอกว่าตัวเองเก่ง ลีลาเด็ด แต่พอมีปัญหาก็ทำอะไรไม่ถูก จะถามใครก็กลัวเขาจะว่าไม่เจ๋งจริง ได้แต่ม้วนอาย ส่วนผู้หญิงก็มักปรึกษาเพื่อนฝูงในกลุ่ม แต่บางครั้งความรู้ที่ได้จากเพื่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ทำให้บ่อยครั้งเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ดังนั้น “ระบบการให้คำปรึกษาปัญหาเพศทางโทรศัพท์” จึงเป็นคำตอบและทางออกให้กับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว ศูนย์วิจัยและพัฒนาเพศศาสตร์ศึกษา สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็น “ฮอตไลน์เพื่อปรึกษาปัญหาทางเพศ” เพียงรายเดียวในประเทศไทย

ศูนย์วิจัยและพัฒนาเพศศาสตร์ศึกษา ได้จัดอบรมให้การปรึกษาทางเพศมาตั้งแต่ปี 2539 ทั้งหลักสูตรภายในประเทศและหลักสูตรนานาชาติ ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมไปแล้วมากกว่า 400 คน จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน สถานศึกษา สาธารณสุข และองค์กรสาธารณประโยชน์

ทั้งนี้ เพื่อมีความรู้ความเข้าใจขอบเขตของเพศศาสตร์ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ รวมทั้งเข้าใจเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในภาวะปกติการเบี่ยงเบนทางเพศ และความผิดปกติทางเพศชนิดต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเข้าใจปัญหาในสภาวการณ์ปัจจุบัน เช่น การลวนลามทางเพศ เซ็กซ์โฟน หรือปัญหาทางสุขภาพ ช่วยลดความอ่อนไหวของสังคมที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรปกปิด แล้วนำความรู้เพื่อให้ปรึกษาปัญหา

นุชนาฎ หวนนากลาง นักจิตวิทยาการปรึกษา และนักวิจัย หนึ่งในทีม “ฮอตไลน์” ศูนย์วิจัยและพัฒนาเพศศาสตร์ศึกษา สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานในศูนย์ฯว่า งานตรงนี้ถือเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และอ่อนไหวง่ายในสังคมไทย ซึ่งศาสตร์การให้คำปรึกษาทางเพศก็เหมือนกับการให้คำปรึกษาอื่นๆ คือ ไม่ใช่เพียงแค่ให้คำแนะนำแล้วจบเรื่องไป แต่จะต้องรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บางทีผู้ที่มาปรึกษาไม่รู้ว่าปัญหาอยู่จุดไหน เพราะมีหลายปม เราต้องคอยช่วยให้เขามองเห็นปัญหาในแต่ละจุดด้วยตัวเขาเอง โดยต่างฝ่ายต่างต้องช่วยกันมองหาปัญหาที่แท้จริง มีแนวทางใดบ้างที่ช่วยเหลือเขาโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงเราฝ่ายเดียว เพราะทุกคนมีศักยภาพ และปัญหาของแต่ละบุคคลก็ไม่ใช่เรื่องสำเร็จรูป แต่ละรายก็แตกต่างกันไป

ในสังคมไทยการพูดถึงเรื่องเพศอย่างเปิดเผยเป็นไปได้ยาก การให้คำปรึกษาปัญหาจึงเป็นประโยชน์เข้าถึงได้ง่าย เมื่อโทรมาปรึกษาจะเป็นใครมาจากไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรเลย ทั้งชื่อ หน้าที่การงานในสังคม เราใช้เวลาสั้นๆ ในการคุยกัน ถ้าพอใจจะโทรมาอีก หรือยังกลุ้มใจก็โทรมาได้ตลอด แต่การปรึกษาทางโทรศัพท์จะมีข้อเสียอยู่ที่เราไม่สามารถจับอารมณ์ความรู้สึกของผู้เข้ารับคำปรึกษาได้”

“ดังนั้น คำถามที่มาปรึกษาจึงเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนา เราก็ให้ข้อมูลต่างๆ เขาไป เช่น มีสาวรายหนึ่งโทรมาถามว่า..เมื่อคืนมีเพศสัมพันธ์กันกับแฟนแต่ลืมใส่ถุงยางจะป้องกันการตั้งครรภ์อย่างไร? จริงๆ ขอคำแนะนำจากสถานพยาบาลก็ได้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุคคลอื่นก็เกิดความละอาย จะถามแม่-พ่อ หรือครูก็ไม่ได้ พอถามเพื่อนก็ต้องคิดมากอีก ว่าจะเป็นความลับไหม?”นุชนาฎอธิบาย

แต่หากถามว่า งานนี้ยากไหม? บอกได้เลยว่าการให้คำปรึกษาทุกๆ ด้าน ไม่เฉพาะเรื่องเพศ มันไม่ใช่การตอบปัญหาโดยสามัญสำนึก หรือแค่ปลอบใจ แต่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ อย่างผู้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ นอกจากอาการของโรคซึ่งเขาอาจจะไปตรวจมาแล้วหรือไม่ก็ตาม ปัญหาหนึ่งก็คือ ยาไม่ได้ช่วยให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้น

นอกจากนี้ นักจิตวิทยา ยังเปิดเผยข้อมูลสถิติผู้มาใช้บริการของศูนย์ฯ ในปี 2003 ซึ่งมีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 1,639 คน โดยมีอัตราการใช้บริการที่น่าสังเกตคือ มีผู้ชายใช้บริการมากกว่าผู้หญิง คือ 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทั้งที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งพอๆ กัน คือ 54.2% และ 42.2% ตามลำดับ ส่วนอายุเฉลี่ย คือ 29.8 ปี ถือเป็นช่วงวัยรุ่นตอนปลายและวัยทำงาน ซึ่งอายุต่ำสุดที่โทรมาปรึกษาคือ 15 ปี และสูงสุด คือ 66 ปี

จากข้อมูลดังกล่าว นุชนาฎวิเคราะห์ว่า ขณะนี้คนในสังคมที่มีปัญหาด้านเพศสัมพันธ์ไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่แต่งงานแล้ว แต่การมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในช่วงที่ยังไม่แต่งงานหรือมีครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แถมปัญหาที่ปรึกษาก็ยังมีความคล้ายคลึงกัน ส่วนการที่ผู้ชายโทรศัพท์มาปรึกษาในสัดส่วนที่มากกว่า มีความเป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นเพราะถึงแม้ผู้หญิงจะเปิดในเรื่องเพศมากขึ้น แต่ก็ยังมีความละอายในการที่จะพูดขอคำปรึกษาจากบุคคลอื่นอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งผู้ชายอาจจะมีความกังวลและรู้สึกมีปัญหามากกว่า ซึ่งจุดนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้

ขณะที่ข้อมูลเปรียบเทียบของหญิงในประเทศแถบอาหรับเมื่อมีการเปิดศูนย์ให้คำปรึกษาด้านเพศขึ้น ปรากฏว่ามีผู้หญิงอาหรับโทรศัพท์ใช้บริการในอัตราส่วนที่สูงจนหน้าตกใจ ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้หญิงถูกปิดกั้นทางเพศมานาน และสะดวกใจที่จะใช้บริการปรึกษาทางโทรศัพท์

สำหรับปัญหายอดฮิตแน่นอนว่าเป็นปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ อันดับ 1 ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ความผิดปกติขณะมีเพศสัมพันธ์ และความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการเสื่อมสมรรถภาพในชาย ซึ่งไม่น่าแปลกใจเนื่องจากมีความสอดคล้องกับผลการวิจัยหลายๆ ฉบับที่ระบุว่า ผู้ชายเอเชียมีปัญหาด้านนี้รุนแรงมากขึ้น

กล่าวคือในปี 1995 มีคนเอเชียมีปัญหา 87 ล้านคน และคาดว่าในปี 2005 จะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านคน ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในชีวิต หลายๆ เรื่อง คือทำให้คุณค่าความเป็นชายลดน้อยลง และต้องเผชิญปัญหาในครอบครัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจกระทบต่อการทำงานอีกด้วย โดยวิธีการแก้ปัญหาพบว่า ในจำนวนนี้ มีผู้ขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือให้แพทย์รักษาเพียง 1% ที่เหลือก็จะหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ ปัญหาที่ปรึกษารองๆลงมาก็จะเป็นเรื่อง ความผิดปกติทางเพศ เช่น สงสัยว่าตัวเองเป็นเกย์ หรือไม่ ไม่แน่ใจเพราะชอบมองผู้ชาย หรือ ถ้าเป็นเกย์แล้วจะเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนจะเป็นอย่างไร

คำถามเหล่านี้มีมาก อาจฟังแล้วดูตลก ไร้สาระ แต่นี่เป็นปัญหาที่แท้จริงซึ่งไม่ตลกเลย ขณะที่ปัญหาโรคทางเพศสัมพันธ์ทั้งเอดส์ กามโรค ซิฟิลิสเป็นอันดับ 3 ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีการรณรงค์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่คำถามก็แสดงให้เห็นว่ามีผู้ที่มีความเข้าใจที่ผิดจำนวนมาก เช่น สงสัยว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ ถ้าสงสัยต้องทำอย่างไร ไม่มีความรู้ ไม่แน่ใจทำอะไรไม่ถูก นั้นบ่งบอกอะไรบางอย่าง การรณรงค์ประชาสัมพันธ์อาจไม่ทั่วถึง หรือ เข้าถึงคนเพียงบางกลุ่ม หรือ อาจเพราะคนไทยยังไม่ตระหนักว่าทุกคนมีความเสี่ยง

นุชนาฎ เผยอีกว่าปัญหาในการทำงานไม่มีอะไร แต่มักจะมีสายเซ็กซ์โฟนที่โทรเข้ามาโดยไม่ได้ขอรับคำปรึกษา แต่มาในลักษณะแสดงความผิดปกติมีเยอะมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ควรจะได้รับการบำบัดทางจิต ซึ่งเราเองก็อยากจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถพูดหรือทำให้เขาเข้าใจได้ บางครั้งจึงต้องวางหูโทรศัพท์ไป

นุชนาฎ ทิ้งท้ายไว้ว่า สำหรับผู้ที่จะมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ได้นั้น จำเป็นต้องมีทักษะการให้คำปรึกษา และมีความรู้ด้านเพศศาสตร์ควบคู่ไปด้วย โดยลักษณะของผู้ที่จะทำงานตรงจุดนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้อื่นจากใจจริง ตั้งใจ หากคนที่ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง การที่จะช่วยแก้ปัญหาอาจจะเข้าไปเพิ่มปัญหา โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การเสื่อมสรรถภาพ หรือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

สำหรับ "ศูนย์ปรึกษาคุณภาพชีวิต" ให้คำปรึกษาปัญหาด้านเพศให้บริการ ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 9.00 - 15.30 น. หมายเลขโทรศัพท์ 0-22188154-5,0-2188146 โทรสาร 0-2188439, 0-2532395 และหากต้องการปรึกษาปัญหาด้วยตนเอง (Face to face counselling) สามารถเดินทางไปที่ ศูนย์ปรึกษาคุณภาพชีวิต อาคารสถาบัน 2 ชั้น 4 ห้อง 420 ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซอย จุฬาฯ 62 ถนนพญาไท กทม. ระหว่างเวลา13.00 - 15.30 น. ( โทรศัพท์นัดหมายได้ที่ โทร. 0-22188434 - 5)

**********************
***************************


เมื่อ "เซ็กซ์" มีปัญหา ปรึกษาใครดี?


เรื่อง “เซ็กซ์” สำหรับสังคมไทยนั้น ในยุคปัจจุบันนับว่า เปิดกว้างออกไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ซึ่งแต่ละคนก็สามารถเรียนรู้เพศศึกษาผ่านช่องทางต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย เราลองไปร่วมกันค้นหาช่องทางที่ว่านั้นดูว่า จะมีที่ไหนและในรูปแบบใดบ้าง

เริ่มต้นจาก เอ (นามสมมุติ) วัยรุ่นชายวัย 23 ปี รายหนึ่ง เผยว่า ปัญหาของเขาคือมักล่มปากอ่าว ซึ่งพอมีปัญหาก็มักจะเปิดหาเว็บไซต์เพื่อไปตั้งกระทู้รอให้เพื่อนๆ หรือคุณหมอมาตอบ เว็บที่เข้าไปใช้บริการมากคือ คลินิกรัก ดอท คอม หรือคลินิกหมอนพพร ซึ่งจะให้ข้อมูลด้านสุขภาพด้วย

นอกจากนั้น ก็มีบ้างครั้งที่เปิดเข้าไปในเว็บบอร์ดของเว็บโป๊ต่างๆ เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งเว็บพวกนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์มาก ทั้งเทคนิควิธี ลีลา หรือกระทั่งที่ทำแท้งเถื่อนก็ยังมี

“ปัญหาที่วัยรุ่น หรือ พวกเพื่อนๆ ผม สงสัย บ่อยๆ เช่น การช่วยตัวเอง หรือ ที่เรียกว่าชักว่าว เมื่อมีแฟนแล้วจะมีอะไรด้วย ส่งผลให้การควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดอาการหลั่งเร็ว หรือล่มปากอ่าวจะต้องทำอย่างไร เพราะวัยรุ่นชายยังไม่มีประสบการณ์มากนัก จึงมักเรียนรู้เองจากวีซีดีโป๊ หรือเว็บไซต์ต่างๆ หรือไม่ก็เป็นปัญหาการขริบปลายอวัยวะ นกเขาไม่ขัน หรือมีเซ็กซ์ไม่ได้ดังใจ บางทีก็เครียด กังวล เกี่ยวกับขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง แต่เมื่อมีพวกเว็บซึ่งสามารถเข้าไปตั้งกระทู้ทิ้งไว้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยชื่อ หรือ เห็นใบหน้าจึงสะดวกสบายมาก”

ส่วน เอก (นามสมมุติ) หนุ่มวัย 27 ปี ปัจจุบันทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เป็นวัยรุ่นประมาณ มัธยมต้น มีปัญหาอะไร ก็เก็บไว้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร แต่พอโตมากขึ้น เรื่องเซ็กซ์ ก็มักเป็นหัวข้อในบทสนทนาในหมู่เพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่การไปปรึกษาแบบตรงๆ แต่จะคุยกันและแสดงความคิดเห็นมากกว่า ซึ่งช่วงนั้นไม่เป็นห่วงเลยว่า คำแนะนำของเพื่อนจะถูกหรือผิด แต่มักจะทดลองดู

“เดี๋ยวนี้ไม่ปรึกษาใครแล้วครับ อ่านหนังสือ หรือหาความรู้จากเว็บไซต์ก็มีมาก และด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องปรึกษาใคร แต่มักจะเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นมากกว่า”

หลังจาก ผู้ชายเขาพูดเรื่องนี้กันไปแล้วลองมาฟังสาวคนนี้กันดูบ้าง ว่าเธอมีทางออกอย่างไร ปู สาววัย 24 ปี บอกอย่างอายๆ ว่า สมัยก่อนที่ยังไม่มีแฟนเรื่องเพศ เช่น ประจำเดือนครั้งแรก หรือ ความรัก ก็จะถามแม่ หรือพี่สาว ซึ่งเราไม่อายเพราะสนิทกัน และเขาก็พูดเรื่องนี้กับเราเหมือนกัน พอขึ้นชั้นมัธยมฯ ก็จะเริ่มรู้จากหนังสือเรียน แต่พอมีความรักและมีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง คนที่เราถามก็ยังคงเป็นพี่สาวเหมือนเดิม แต่คำถามจะเปลี่ยนไป เช่น มีเซ็กซ์ครั้งแรกเจ็บไหม เป็นยังไง คำถามจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เช่น ทำไมที่มีเพศสัมพันธ์เราจึงเจ็บ เป็นเพราะขนาดไม่สมดุลกันหรือไม่ ส่วนกับแฟนก็คุยกันบ้าง เช่น เราเป็นห่วงเรื่องความสะอาดก่อน กลัวเจ็บก็บอกอย่ารุนแรงนะ

ส่วนที่จะปรึกษาบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก อย่างทางโทรศัพท์นั้นไม่เคย เพราะปัญหาของเรายังไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ถ้ามีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ก็คงต้องหาหมอเลย แต่นี่เป็นปัญหาเล็กๆ น้อย ๆจึงไม่ยังไม่เคยหาหมอ
กำลังโหลดความคิดเห็น