xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อเจ้าหนูพูดว่า “อยากตาย”ใครจะช่วยคลายปม?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"หนูอยากตาย"
ใครที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของบุคคลใดก็ตาม คงรู้สึกตระหนกตกใจและเชื่อว่าต้องพยายามหาทางให้คนคนนั้นล้มเลิกความคิดอยากตายให้หมดไป แต่หากประโยคที่ว่าหลุดออกมาจากเด็กในวัย 5-6 ขวบ เชื่อว่าความตระหนกตกใจคงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ


แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปัจจุบันมีเด็กในวัยเรียนหรือวัยที่ไม่น่าจะมีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจจนกระทั่งต้องตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงจำนวนไม่น้อย ปล่อยความคิดของพวกเขาให้ไปสัมผัสกับความรู้สึก "อยากตาย"
 
จากการเปิดเผยของ นรินทร์ กรินชัย เจ้าหน้าที่ศูนย์ฮอทไลน์สายด่วนรับปรึกษาปัญหาทางจิต ในการเสวนาเรื่อง "เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ฆ่าตัวตาย" ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ระบุว่า ตามปกติแล้วเด็กในวัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ จะไม่เข้าใจว่า "ความตาย" คืออะไร นอกจากจะมีคนในครอบครัวเสียชีวิตลง แต่ในความเข้าใจของเด็กวัยนี้จะรู้สึกเพียงว่าคนที่เคยรัก เคยกอดและเคยเห็นอยู่ทุกวันนั้นหายไป จนเด็กเติบโตขึ้นอายุ 6-9 ขวบ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจเรื่องความตายทั้งหมด แต่จะเริ่มรับรู้ว่าคืออะไร ทั้งนี้ เด็กจะเข้าใจเรื่องความตายได้ดีขึ้น เมื่อมีสัตว์เลี้ยงเสียชีวิตหรือคนในครอบครัวเสียชีวิต อย่างไรก็ตามเด็กจะไม่คิดว่าเรื่องการตายจะเกิดขึ้นในครอบครัวของตนเอง

นอกจากกลุ่มเด็กเล็กที่น่าเป็นห่วงแล้ว กลุ่มเด็กวัยรุ่นยังมีแนวโน้มว่าจะฆ่าตัวตายมากขึ้นด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กอ่อนไหวและเปราะบาง โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน หากสังเกตพฤติกรรมของเด็กที่อยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ จะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนและมีความคิดเรื่องราวในเชิงลบได้ง่ายกว่าเด็กที่เติบโตท่ามกลางการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

อยากตายแต่ไม่รู้ “ตาย”คืออะไร

ด้าน ผศ.(พิเศษ)อรอนงค์ อินทรจิตร เจ้าหน้าที่ศูนย์ฮอทไลน์สายด่วนรับปรึกษาปัญหาทางจิต เปิดเผยว่า ขณะที่พัฒนาการของเด็กวัย 5 ขวบจะไม่เข้าใจเรื่องความตาย แต่ปัจจุบันมีเด็กอายุ 5 ขวบพูดถึงเรื่องความตาย ขณะที่เด็กวัย 8 ขวบบอกว่า "เขาอยากตาย" และมีในรายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ

"พบด้วยว่าเด็กวัย 10 ขวบมีการคิดฆ่าตัวตายมากขึ้น และจำนวนพ่อแม่ที่พาลูกเข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องลูกคิดฆ่าตัวตายมีจำนวนมากขึ้น โดยเด็กที่พามามีอายุต่ำลงไปทุกที " ผช.ศ.(พิเศษ)อรอนงค์กล่าว

การคิดฆ่าตัวตายในวัยเด็กนั้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองมี "คู่แข่ง" ซึ่งคู่แข่งที่ว่า ผช.ศ.(พิเศษ)อรอนงค์ชี้ไปที่ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเต็มไปด้วยสื่อรูปแบบต่างๆ และสื่อเหล่านี้มีการนำเสนอรูปแบบการฆ่าตัวตายถึงในบ้าน ขณะที่พ่อแม่ในสังคมปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ดูแลลูกและไม่มีเวลาได้พูดคุยกัน คู่แข่งของพ่อแม่จึงมีโอกาสหล่อหลอมและซึมซับเรื่องต่างๆ ให้กับเด็กได้มากกว่าคนในครอบครัว

นอกจากจะมีคู่แข่งสำคัญแล้ว พ่อแม่เองก็เผลอตัวไปร่วมมือกับคู่แข่ง ด้วยการส่งลูกเข้าเรียนตั้งแต่เล็กๆ ถือเป็นการผลักไสลูกไปสู่ความกดดัน เนื่องจากทางโรงเรียนต่างพยายามให้เด็กอ่านออกเขียนได้ สร้างความกดดันให้กับเด็ก พอกลับมาบ้านก็ไม่มีคนดูแลหรือพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามใช่ว่าเด็กจะคิดฆ่าตัวตายในทันทีทันใด เด็กทุกรายที่พยามจะฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จ จะส่งสัญญานออกมาก่อนแทบทั้งสิ้น

ตั้งเครื่องรับสัญญาณเตือนก่อนตาย
"หากเด็กพูดว่าหนูอยากตาย ไม่ได้หมายความเขาจะลงมือฆ่าตัวตาย แต่นั่นคือการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างและคนรอบข้างต้องรับสัญญาณให้ได้ นอกจากการส่งสัญญาณด้วยคำพูดแล้ว พฤติกรรมการแสดงออกของเด็กก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเด็กอาจคิดฆ่าตัวตาย เช่น ติดเพื่อน ติดสารเสพติด หนีออกจากบ้าน หรือมีอาการซึมเศร้า เพราะนั่นแสดงว่าเด็กไม่มีความสุข กับสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่ หรือมีความเครียดสะสม ส่วนเด็กเล็กระดับอนุบาลหากเขากลับมาบ้านแล้วมีพฤติกรรมเล่นซนไม่หยุด ไม่ยอมอาบน้ำ กินข้าว ทำการบ้าน วิ่งซนตลอดเวลา นั่นแสดงว่าเริ่มมีปัญหา เพราะเขาเก็บกดจากโรงเรียนและมีความเครียด ซึ่งต่อไปจะเป็นความเครียดสะสมเมื่อเพิ่มมากขึ้นจะนำไปสู่การคิดฆ่าตัวตายได้ คนรอบข้างต้องยื่นมือเข้าไปช่วยทันที
 
การช่วยเหลือเด็กที่มีความเครียดสะสมคือ “การสื่อสารให้เข้าใจ” ซึ่ง ผศ.(พิเศษ)อรอนงค์ บอกว่ามันคือ EQ นั่นเอง ซึ่งพ่อแม่และคนในครอบครัวต้องรู้จักพูดคุยกับเด็ก กล่าวคือคนเป็นพ่อแม่เองก็ต้องมี EQ และทำให้การสื่อสารแสดงความรู้สึกต่อกันเป็นเรื่องปกติในครอบครัว โดยให้เด็กได้ระบายความรู้สึกเชิงลบออกมา เพราะหากเด็กไม่ได้ระบายออกมาความคิดเชิงลบจะอัดแน่นอยู่ในตัวเขาและทำให้หาทางออกไม่เจอ ที่สุดแล้วเด็กจะรู้สึกว่า เขาเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถดูแลปกป้องตนเองได้ และคิดว่าการฆ่าตัวตายคือการลงโทษตัวเอง

“เมื่อเด็กบอกว่าอยากตาย อยากให้ใช้คำพูดเขาย้อนกลับไปถามเขา ว่าหนูอยากตายจริงหรือ ทำไมถึงอยากตาย เพื่อให้มีการตรวจสอบและสำรวจความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ให้เขาได้ระบายออกมา ไม่เฉพาะเรื่องการฆ่าตัวตาย การย้อนคำพูดให้เด็กได้สำรวจความรู้สึกตัวเองนั้น ทำได้กับทุกเรื่อง เช่น เขาบอกหิวข้าว ก็ให้เขาได้สำรวจตัวเองว่าหิวข้าวจริงๆ หรือ เพราะบางทีสิ่งที่เขาพูดอกมา มันไม่ได้หมายความแค่นั้น พ่อแม่ต้องเข้าใจด้วย ที่เขาบอกหิวข้าว เขาอาจจะไม่ได้อยากกินข้าวเฉยๆ แต่อยากให้พ่อแม่กินข้าวด้วย หรืออยากให้พ่อแม่เอาใจใส่ป้อนข้าวเขา เหล่านี้ต้องมีการสื่อสารต่อกัน ยิ่งได้สื่อสารแสดงความรู้สึกนึกคิดมากเท่าไหร่ เด็กจะได้สะสมถ้อยคำ เมื่อเขารู้สึกว่าเขาเจอปัญหา เขาจะมีถ้อยคำที่จะพูดออกมา มีประโยคที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและระบายมันออกมาได้”

นอกจากสื่อสารด้วยคำพูดแล้ว การสื่อสารด้วยภาษากาย เช่น การโอบกอด หอมแก้ม จับมือ ลูบหัว ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องแสดงออกต่อลูกด้วย และเชื่อมั่นว่า “การฆ่าตัวตาย ป้องกันได้” หากคนใกล้ตัวช่วยกัน

สร้างบทเรียนสอนเรื่อง “ตาย”
ขณะที่นรินทร์ ได้เสนอแนะว่า ในแต่ละปีควรมีการทำแบบสำรวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย เพื่อนำเอาผลสำรวจมาประเมินสถานการณ์และหาทางป้องกันแก้ไข ที่สำคัญเมื่อเกิดข่าวการฆ่าตัวตายต้องนำเอาประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยสนทนากัน

“ต้องยอมรับว่าข่าวเด็กฆ่าตัวตายไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดถึงในแง่ของการเป็นบทเรียน เราควรจะเอามาพูดถึง ให้เด็กได้ร่วมกันคิดวิเคราะห์ ตั้งประเด็นให้ขบคิด ว่าการที่เด็กคนหนึ่งฆ่าตัวตาย เขาต้องสูญเสียโอกาสอะไรไปบ้าง และหากเขายังอยู่เราจะแก้ปัญหาเขาอย่างไร และเขายังมีโอกาสที่จะทำอะไรได้บ้าง คนในครอบครัวของเขาต้องสูญเสียอะไรไป หากมีการพูดคุยกันลักษณะนี้ในสังคม เด็กจะมีต้นทุนทางความคิดมากขึ้นและเรียนรู้ที่จะหาทางออกให้ตนเองได้”
 
สำหรับผู้ที่มีปัญหาหรือคิดว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวกำลังเข้าข่ายอาจจะคิดฆ่าตัวตาย สามารถโทรศัพท์ไปพูดคุยกับวิทยากรทั้ง 2 ท่านได้ที่ 0-2276-2950 หรือโทรสอบถามที่ 1133 ขอเบอร์ฮอทไลน์สายด่วนปรึกษาปัญหาทางจิตได้ทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น