แนะวิธีปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดไมเกรนโดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งไมเกรนพบมากในวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว เป็นอาการที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกทำสมาธิ ไม่อดอาหาร เลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ โดยเฉพาะไวน์แดง และ ผงชูรส ขณะปวดให้ใช้น้ำแข็งประคบ หรือใช้น้ำมันสะระแหน่นวดอาการจะทุเลา

ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงอาการไมเกรนที่พบผู้ป่วยเป็นกันมาก ว่า ไมเกรน คือ โรคปวดศีรษะที่เกิดจากหดและขยายตัวอย่างผิดปกติของเส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะ ชาวบ้านเรียกว่า “โรคลมตะกัง” ผู้ที่เป็นไม่เกรนจะมีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ ตามชีพจร ปวดอยู่ข้างเดียว บางครั้งอาจสลับข้าง น้อยรายที่พบว่าจะปวดศีรษะสองข้างพร้อมกัน บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น มือไม้เย็น รู้สึกไวต่อแสงสว่างและเสียงด้วย ซึ่งอาการปวดศีรษะที่เป็นอาจคงอยู่เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือนานเป็นเดือนก็มี
ไมเกรนส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นปัญหาของวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงอายุหลายเท่า คนที่เป็นไมเกรนนั้นจะเป็นได้ตั้งแต่เด็กอายุ 7-8 ขวบ แต่ที่พบบ่อยจะเป็นช่วงวัยรุ่น อายุ 10-25 ปีขึ้น และจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการจะน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนบางอย่าง ผู้หญิงบางคนเป็นไมเกรนมาตลอด แต่พอถึงวัยหมดประจำเดือนอาการปวดไมเกรนกลับหายไปด้วย
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า สำหรับสาเหตุและกลไกการเกิดอาการของไมเกรนยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก จึงยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่ยาบรรเทา หรือป้องกันอาการปวดได้ โดยอาจรับประทานยากลุ่มบรรเทาปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ฯลฯ ซึ่งเป็นยาที่ทุกครอบครัวมักมีอยู่ประจำบ้าน เพื่อรักษาอาการปวด แต่หากยังไม่หายก็อาจไปพบแพทย์ หรือเภสัชกรให้จัดยาบรรเทาปวดที่เหมาะสมให้ อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีหลักเชื่อว่าไมเกรนเกิดจากการมีปัจจัยไปกระตุ้นให้เส้นประสาทในสมองหลั่งสารบางอย่างออกมา และสารพวกนี้ไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว และการที่เส้นเลือดขยายตัวนี้เอง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากในเส้นเลือดของคนเรา จะมีเส้นเลือดเล็ก ๆ ฝอย ๆ เป็นประสาทพันรอบ พอเส้นเลือดขยายก็จะไปยืดเส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดนี้ด้วย ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการป่วยได้
ศ.ดร.ภักดี กล่าวต่อว่า แม้ว่าไมเกรนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อใดที่ปวดศีรษะจากไมเกรน ก็ยังสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยยา นอกจากนี้แล้ว ยังมีวิธีการปฎิบัติตัวเพื่อป้องกัน ลด และบรรเทาอาการปวด โดยไม่ต้องพึ่งยาด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ ประการแรก ต้องพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะหากพักผ่อนน้อย นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแล้ว ยังจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย ประการที่สอง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาทีติดต่อกัน
ประการที่สาม ต้องมีการควบคุม หรือวิธีการขจัดความเครียด โดยการหาเวลานั่งพัก หลับตา หยุดคิดเรื่องราวต่าง ๆ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือการทำสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า – ออก อย่างมีสติ ประการที่สี่ ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าอดอาหาร และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน จำพวกแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง รวมทั้งหลีกเลี่ยงผงชูรส เนย นม ช็อกโกแลต กล้วยหอม ผลไม้ประเภทส้ม กาแฟ และชา
ประการที่ห้า หลักเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ เช่น สถานที่ที่มีแดดจัด อากาศร้อน เสียงดัง ไฟกระพริบ หรือหลีกเลี่ยงกลิ่นที่รุนแรง เช่น กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นบุหรี่ เป็นต้น ประการที่หก งดการสูบบุหรี่ และประการสุดท้าย หากเกิดอาการปวด ควรลดหรือบรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยรีบใช้น้ำแข็งประคบ โดยนำผ้าขนหนูห่อก้อนน้ำแข็งไว้ แล้วนำมาลูบช้า ๆ บริเวณที่ปวด ก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรือจะใช้น้ำมันสะระแหน่ นวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาลงได้
ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงอาการไมเกรนที่พบผู้ป่วยเป็นกันมาก ว่า ไมเกรน คือ โรคปวดศีรษะที่เกิดจากหดและขยายตัวอย่างผิดปกติของเส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะ ชาวบ้านเรียกว่า “โรคลมตะกัง” ผู้ที่เป็นไม่เกรนจะมีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ ตามชีพจร ปวดอยู่ข้างเดียว บางครั้งอาจสลับข้าง น้อยรายที่พบว่าจะปวดศีรษะสองข้างพร้อมกัน บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น มือไม้เย็น รู้สึกไวต่อแสงสว่างและเสียงด้วย ซึ่งอาการปวดศีรษะที่เป็นอาจคงอยู่เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือนานเป็นเดือนก็มี
ไมเกรนส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นปัญหาของวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงอายุหลายเท่า คนที่เป็นไมเกรนนั้นจะเป็นได้ตั้งแต่เด็กอายุ 7-8 ขวบ แต่ที่พบบ่อยจะเป็นช่วงวัยรุ่น อายุ 10-25 ปีขึ้น และจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการจะน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนบางอย่าง ผู้หญิงบางคนเป็นไมเกรนมาตลอด แต่พอถึงวัยหมดประจำเดือนอาการปวดไมเกรนกลับหายไปด้วย
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า สำหรับสาเหตุและกลไกการเกิดอาการของไมเกรนยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก จึงยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่ยาบรรเทา หรือป้องกันอาการปวดได้ โดยอาจรับประทานยากลุ่มบรรเทาปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ฯลฯ ซึ่งเป็นยาที่ทุกครอบครัวมักมีอยู่ประจำบ้าน เพื่อรักษาอาการปวด แต่หากยังไม่หายก็อาจไปพบแพทย์ หรือเภสัชกรให้จัดยาบรรเทาปวดที่เหมาะสมให้ อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีหลักเชื่อว่าไมเกรนเกิดจากการมีปัจจัยไปกระตุ้นให้เส้นประสาทในสมองหลั่งสารบางอย่างออกมา และสารพวกนี้ไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว และการที่เส้นเลือดขยายตัวนี้เอง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากในเส้นเลือดของคนเรา จะมีเส้นเลือดเล็ก ๆ ฝอย ๆ เป็นประสาทพันรอบ พอเส้นเลือดขยายก็จะไปยืดเส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดนี้ด้วย ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการป่วยได้
ศ.ดร.ภักดี กล่าวต่อว่า แม้ว่าไมเกรนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อใดที่ปวดศีรษะจากไมเกรน ก็ยังสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยยา นอกจากนี้แล้ว ยังมีวิธีการปฎิบัติตัวเพื่อป้องกัน ลด และบรรเทาอาการปวด โดยไม่ต้องพึ่งยาด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ ประการแรก ต้องพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะหากพักผ่อนน้อย นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแล้ว ยังจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย ประการที่สอง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาทีติดต่อกัน
ประการที่สาม ต้องมีการควบคุม หรือวิธีการขจัดความเครียด โดยการหาเวลานั่งพัก หลับตา หยุดคิดเรื่องราวต่าง ๆ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือการทำสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า – ออก อย่างมีสติ ประการที่สี่ ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าอดอาหาร และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน จำพวกแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง รวมทั้งหลีกเลี่ยงผงชูรส เนย นม ช็อกโกแลต กล้วยหอม ผลไม้ประเภทส้ม กาแฟ และชา
ประการที่ห้า หลักเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ เช่น สถานที่ที่มีแดดจัด อากาศร้อน เสียงดัง ไฟกระพริบ หรือหลีกเลี่ยงกลิ่นที่รุนแรง เช่น กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นบุหรี่ เป็นต้น ประการที่หก งดการสูบบุหรี่ และประการสุดท้าย หากเกิดอาการปวด ควรลดหรือบรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยรีบใช้น้ำแข็งประคบ โดยนำผ้าขนหนูห่อก้อนน้ำแข็งไว้ แล้วนำมาลูบช้า ๆ บริเวณที่ปวด ก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรือจะใช้น้ำมันสะระแหน่ นวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาลงได้