โรคเบาหวานเป็นโรคที่รู้จักกันดี แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า โรคเบาหวาน
* เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอื่นๆ
* เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง และไตวายระยะท้ายที่ต้องอาศัยการฟอกไตหรือ การผ่าตัดเปลี่ยนไตเพื่อยืดอายุขัย
* เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของจอประสาทตาเสื่อมและตาบอด
* เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการถูกตัดขาอันเนื่องมาจากการติดเชื้อลุกลาม
* เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาต และการเสียชีวิต
การรักษาโรคแทรกซ้อนดังกล่าวต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามาก ทุพพลภาพทั้งร่างกายและจิตใจ สูญเสียคุณภาพชีวิต การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อท่านจะได้ป้องกัน ยับยั้งหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนให้ดีที่สุด การดูแลตนเองอย่างถูกต้อง การได้รับการดูแลรักษาที่ดีและสม่ำเสมอ จะทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติได้มากที่สุด
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
โรคเบาหวานแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิดคือ
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินอย่างสิ้นเชิงทำให้ต้องใช้อินซูลินในการรักษา โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมักเกิดจากความผิดปกติสำคัญ 2 อย่างคือ การขาดฮอร์โมนอินซูลิน และการดื้อต่อฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน (โดยต่อไปจะใช้คำว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ) อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มาจากตับอ่อน มีความสำคัญมากในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติอยู่ตลอดเวลา
ภาวะโรคแทรกซ้อนเรื้อรังจากเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ภาวะดื้อต่ออินซูลินเป็นภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระยะแรกก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2โดยมีระดับอินซูลินในเลือดสูงผิดปกติตั้งแต่แรก มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องของเซลล์หลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน ระดับกรดยูริกในเลือดสูง การมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะสูงกว่าปกติ ไปจนถึงระดับน้ำตาลในเลือดสูง ผลลัพธ์คือหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงอวัยวะสำคัญอย่าง ตา ไต ปลายประสาท หัวใจ สมอง ปลายมือเท้า ตีบตัน เป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน แบ่งออกเป็น
โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่ น้ำตาลในเลือดต่ำ และน้ำตาลในเลือดสูงมากซึ่งอาจเกิดร่วมกับเลือดเป็นกรด
โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานหลายปี อันเป็นผลจากภาวะดื้อต่ออินซูลินระยะแรกตามด้วยภาวะขาดอินซูลิน ทำให้โครงสร้างและหน้าที่ของหลอดเลือดผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบเป็นต้น แม้ในผู้ที่ยังไม่ได้เป็นเบาหวานแต่มีภาวะดื้ออินซูลินก็เริ่มมีความผิดปกติหลายอย่างดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ตัวอย่างอาการของโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานแบบเรื้อรังที่สำคัญ มีดังนี้
โรคตา ผู้ที่เป็นเบาหวานอาจมีอาการ
1.ตาพร่ามัว เป็นๆหายๆ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้เลนส์ตาทำงานผิดปกติ หรือร่วมกับเห็นภาพไม่เป็นเส้นตรงจากจอประสาทตาบวม มีโอกาสเกิดต้อหินและต้อกระจกมากกว่าคนปกติ
2.เห็นจุดดำเคลื่อนไหวตามการกลอกตา เนื่องจากเริ่มมีจุดเลือดออกในจอประสาทตา เมื่อมีจำนวนจุดเลือดออกมากขึ้นเรื่อยๆจะทำให้ตาพร่ามัวมากขึ้น จนหลอดเลือดตาแตกมีเลือดออกจำนวนมาก เกิดตาบอดฉับพลันได้
3.ปวดตา เนื่องจากมีเส้นเลือดผิดปกติเกิดขึ้นใหม่ที่หัวประสาทตา หรือเกิดความดันในลูกตาขึ้นสูงจากต้อหินฉับพลัน
เมื่อท่านมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรไปพบแพทย์ของท่าน รวมทั้งจักษุแพทย์โดยด่วน แม้ไม่มีอาการดังกล่าว ท่านก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง เพราะว่าตาอาจมีความผิดปกติจากเบาหวานโดยที่ท่านยังไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้
โรคไต เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เนื่องจากความผิดปกติของไตที่เกิดจากโรคเบาหวาน มักจะไม่มีอาการให้สังเกตได้เด่นชัด ต่อเมื่อมีอาการโรคไตก็มักเป็นมากและยากที่จะกลับมาดีดังเดิมได้ อาการที่ทำให้สงสัยว่าเกิดโรคไตได้แก่ หนังตาบวมซึ่งมักเป็นในเวลาเช้า ขาบวม ซีด คันตามตัว ผิวแห้ง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะออกน้อยลง เป็นต้น
เมื่อไตเสื่อมมากขึ้น ไม่สามารถขจัดของเสียออกได้ถึงขั้นไตวายก็ต้องอาศัยการฟอกไต หรือปลูกถ่ายไต โรคแทรกซ้อนอื่นที่พบร่วมกับโรคไตบ่อยได้แก่ ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง การติดเชื้อ หัวใจโต หัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านควรได้รับการตรวจการทำงานของไต ตรวจปัสสาวะเป็นประจำโดยแพทย์ของท่าน ซึ่งถ้าพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ จะสามารถแก้ไขและชะลอไตเสื่อมออกไปให้นานที่สุดได้
โรคปลายประสาทเสื่อม ในผู้ที่เป็นเบาหวานอาจมีอาการชา แสบร้อน รู้สึกเหมือนไฟฟ้าชอต ที่ปลายมือ ปลายเท้า หน้ามืดวิงเวียนเวลาลุกนั่ง ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ท้องเดิน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว เป็นต้น โดยพบอาการชาได้บ่อยที่สุด อาการชาเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดแผลที่เท้า เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานอาจไม่รู้สึกเจ็บเวลาเกิดแผลที่เท้าจากกรวดหิน พื้นที่ร้อนหรือน้ำร้อน ทำให้เกิดแผลและเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงแขนขาลดลง จะทำให้แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย และอาจลุกลามจนไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องถูกตัดขาในที่สุด
ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้นได้แก่ การตรวจดูเท้ารองเท้า ทำความสะอาดเท้าทุกวัน ถ้ามีอาการข้างต้นหรือมีบาดแผลที่เท้า ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินและรักษา การละเลยไม่ดูแลอาจทำให้เกิดแผลลุกลามถึงถูกตัดขา เป็นตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่เสมอ กรณีที่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นก็ควรพบและปรึกษากับแพทย์ของท่านเช่นกัน
โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่สำคัญที่สุด ทำให้ทุพพลภาพ สูญเสียคุณภาพชีวิตและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวาน มักพบร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ทำให้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองยิ่งมีมากขึ้น อาการเจ็บหน้าอกของโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่เป็นเบาหวานมักไม่ชัดเจนหรือไม่มี ทำให้วินิจฉัยโรคได้ยากกว่าปกติ
อาการอื่นที่ทำให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคหัวใจ ได้แก่ อาการแน่น อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก หน้าอกข้างซ้าย หรือลิ้นปี่คล้ายอาการจุกเสียด อาหารไม่ย่อย อาการปวดร้าวที่ท้องแขนด้านใน หน้ามืด วิงเวียน เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น จะเป็นลมหรือหมดสติ อาการอาจมีหลายอย่างและ เกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ เช่นมีภายหลังรับประทานอาหารมาก ตื่นนอนตอนเช้า อากาศเย็น ภายหลังออกกำลังหรือเบ่งถ่ายอุจจาระ (ในรายที่ท้องผูก)
ส่วนอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ อาการอ่อนแรง หรือชาของแขนขา ใบหน้า พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ กลืนลำบาก เดินทรงตัวผิดปกติ รู้สึกเหมือนบ้านหมุน ซึมลง หมดสติ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน มักเกิดฉับพลันเป็นวินาทีหรืออาจเป็นวัน บางรายมีอาการเป็นๆหายๆ เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
การป้องกันและรักษาโรคแทรกซ้อนเรื้อรังจากเบาหวาน
โดยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ แก้ไขภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูงและความอ้วน ทำได้โดย
1. ควบคุมปริมาณพลังงาน (แคลอรี) และชนิดของอาหารในแต่ละวัน
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. ควบคุมน้ำหนักให้เป็นปกติ
4. ใช้ยารักษาเบาหวานถ้าระดับน้ำตาลในเลือดยังสูงเกินกว่ากำหนด
5. ใช้ยาลดความดันโลหิต ยาลดระดับไขมันในเลือดและยารักษาโรคแทรกซ้อนอื่นๆเมื่อมีข้อบ่งชี้
6. งดสูบบุหรี่ สุรา
7. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเบาหวานและโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
8. ดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกต้อง
9. ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ ข้างต้นเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานที่ต้องปฏิบัติอยู่เสมอ เมื่อร่วมกับการมีวินัยและกำลังใจเข้มแข็งในการดูแลตนเอง และทำงานร่วมกับแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อื่น จะทำให้ลดภาวะดื้อต่ออินซูลินและชะลอการเกิดเบาหวาน ความรุนแรง รวมทั้งป้องกันหรือชะลอโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานได้