นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
หัวใจเริ่มเต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กล้ามเนื้อหัวใจมีลักษณะพิเศษกว่ากล้ามเนื้ออื่นๆ คือ สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้เอง ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นจากหัวใจห้องขวาบน เรียกว่า sinus node โดยมีอัตราการปล่อยไฟฟ้าประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที อัตรานี้ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนหลายชนิด
ไฟฟ้าออกจากจุดที่เรียกว่า sinus node กระจายออกไปตามเซลนำไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหัวใจ เริ่มจากขวาไปซ้าย ห้องบนขวาไปห้องบนซ้าย และ ลงไปด้านล่างด้วย เมื่อเซลกล้ามเนื้อหัวใจถูกกระแสไฟฟ้านี้ ก็จะเกิดการหดตัวขึ้น ทำให้เกิดการบีบตัวของห้องหัวใจ เป็นจังหวะสอดคล้องกัน

ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ กลุ่มอาการใจสั่น และ อาการวูบหมดสติชั่วขณะ
อาการใจสั่น
คำว่า “ใจสั่น” ในความหมายของแพทย์ จะหมายถึงการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เช่น มากกว่า 120 ครั้งต่อนาทีในขณะพัก โดยไม่มีสาเหตุอื่นๆ หรือ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เร็วบ้าง ช้าบ้าง บ่อยครั้งที่คำว่า “ใจสั่น” ที่ผู้ป่วยรู้สึกนั้น ไม่ได้เกิดจากภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ แต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งอาจทำให้แพทย์สับสนได้
ในขณะเดียวกันผู้ป่วยบางคนแทนที่จะบอกว่าใจสั่น แต่บอกแพทย์ว่าเหนื่อย เนื่องจากหัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงทำให้รู้สึกเหนื่อย บางคนบอกว่า “ใจหวิวๆ” เป็นต้น หัวใจเต้นผิดปกติที่เร็วมากกว่าปกติ หรือ เต้นไม่เป็นจังหวะนั้น มีได้หลายชนิด เช่น หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (atrial arrhythmia) หรือ ห้องล่างเต้นผิดจังหวะ (ventricular arrhythmia) ซึ่งบางครั้งแยกกันยากจากการตรวจธรรมดา ต้องการการตรวจพิเศษร่วมด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การเต้นผิดจังหวะนี้สามารถพบได้ในคนปกติ เป็นครั้งคราว และ ส่วนมากมักจะไม่มีอาการ สาเหตุของการเต้นผิดจังหวะนี้ มักเกิดจากโรคทางหัวใจเอง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ ระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติเอง หรือ โรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น
อาการวูบ หมดสติชั่วขณะ
คำว่า “วูบ” ในความหมายของแพทย์ จะหมายถึงการที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน ตาลาย หากรุนแรงจะหมดติไปชั่วขณะ อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด โดยไม่มีอาการเตือนนำมาก่อน อาการไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น นั่งอยู่เฉยๆ หมดสติล้มลงจากเก้าอี้ ตื่นขึ้นมารู้สึกปกติหรือวิงเวียนเล็กน้อย จำเหตุการณ์ไม่ได้ เป็นต้น คำว่า “วูบ” ในความหมายของผู้ป่วยอาจจะไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับที่แพทย์เข้าใจ
ดังนั้น แพทย์จำเป็นต้องซักประวัติโดยละเอียดว่าอาการที่ผู้ป่วยเล่ามานั้น เป็นอาการวูบจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะหรือไม่ เพื่อจะได้เลือกการส่งตรวจพิเศษได้ถูกต้องมากขึ้น อาการดังกล่าวอาจเกิดได้จาก โรคทางหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นชนิดเต้นเร็ว (ventricular tachycardia , ventricular fibrillation) หรือเต้นช้า (atrio-ventricular block, sinus node dysfunction) หรืออาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น ลมชัก ได้แม้จะไม่เห็นอาการชักกระตุก แต่หากเป็นอาการหน้ามืดเป็นลม หมดสติหรือเกือบหมดสติในขณะเปลี่ยนท่า หรือ ตกใจ กลัว มักเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ มากกว่าที่จะเกิดจากหัวใจ
ทำอย่างไรเมื่อมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ

หากท่านสามารถจับชีพจรของตัวเองได้ โปรดสังเกตว่าอัตราการเต้นของหัวใจ (คือค่าเดียวกันกับชีพจร) จะเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาทีในขณะพัก ดังนั้น หากท่านรู้สึกว่าใจสั่น ให้ลองจับชีพจรดู หากยังเต้นสม่ำเสมอ ในอัตราใกล้เคียงกับ 60-100 ครั้งต่อนาที แสดงว่าอาการดังกล่าวอาจจะไม่ได้เกิดจากหัวใจ อย่างไรก็ตามหากท่านไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์โรคหัวใจ เพื่อให้การตรวจและวินิจฉัยต่อไป
ปัญหาที่พบบ่อยๆคือ เมื่อมาพบแพทย์ตรวจ อาการดังกล่าวได้หายไปแล้ว ซึ่งจะตรวจไม่พบความผิดปกติจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์เองก็ไม่สามารถให้การวินิจฉัยแยกได้ว่า เป็นความผิดปกติจากการเต้นผิดจังหวะจริงหรือไม่ และหากเป็นจริง เป็นชนิดใด ร้ายแรงหรือไม่ เนื่องจากความผิดปกติมีได้หลายชนิด การรักษาแตกต่างกัน ในกรณีเช่นนี้ แพทย์มักจะแนะนำให้ติดเครื่องบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจ 24-48 ชั่วโมง (Holter monitor) เครื่องจะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสายไปติดที่ผิวหนังบริเวณหน้าอก เพื่อบันทึกจังหวะการเต้นตลอดเวลา
ดังนั้น หากท่านเกิดอาการ “ใจสั่น” หรือ “วูบ” แพทย์ก็สามารถนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึก มาดูว่าอาการดังกล่าวเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ แต่หากติดเครื่องไปแล้ว ท่านเกิดไม่มีอาการผิดปกติ ก็อาจจะไม่ช่วยในการวินิจฉัย
นอกจากนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจสมรรถภาพหัวใจโดยรวมร่วมด้วย เช่น สมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test) และ คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) ในบางผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจจะต้องตรวจระบบการนำไฟฟ้าในหัวใจโดยละเอียด โดยการใส่สายสวนไปตรวจสอบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ (electro-physilogic study) ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
การรักษาขึ้นกับชนิด สาเหตุ และความรุนแรงของภาวะที่เป็น บางกรณีอาจไม่จำเป็นต้องรักษา สำหรับในกรณีที่หัวใจเต้นเร็ว ผิดจังหวะ แพทย์อาจใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ หรือ ใช้คลื่นวิทยุจี้ เพื่อทำลายวงจรไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งจะได้ผลดีมากสำหรับการเต้นเร็วผิดจังหวะส่วนใหญ่ หากผู้ป่วยเกิดอาการ “วูบ” เนื่องจากหัวใจเต้นช้ามาก หรือ หยุดเต้นชั่วขณะ การรักษา คือ การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร โดยฝังเครื่องเล็กๆที่ผนังหน้าอก ต่อสายไปยังห้องหัวใจ เครื่องจะทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ เครื่องดังกล่าวมีหลายรุ่น หลายแบบ ดังนั้น ท่านจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเพื่อให้การตรวจ วินิจฉัยให้ถูกต้องก่อน
หากท่านมีอาการ “ใจสั่น” หรือ “วูบ” หมดสติ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ประวัติ อาการโดยละเอียด หากมีผู้อยู่ในเหตุการณ์ ควรมาพบแพทย์เพื่อเล่าอาการด้วย ประวัติที่ดีจะช่วยแพทย์ให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง และ เลือกการส่งตรวจพิเศษได้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อท่านจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
หัวใจเริ่มเต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กล้ามเนื้อหัวใจมีลักษณะพิเศษกว่ากล้ามเนื้ออื่นๆ คือ สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้เอง ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นจากหัวใจห้องขวาบน เรียกว่า sinus node โดยมีอัตราการปล่อยไฟฟ้าประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที อัตรานี้ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนหลายชนิด
ไฟฟ้าออกจากจุดที่เรียกว่า sinus node กระจายออกไปตามเซลนำไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหัวใจ เริ่มจากขวาไปซ้าย ห้องบนขวาไปห้องบนซ้าย และ ลงไปด้านล่างด้วย เมื่อเซลกล้ามเนื้อหัวใจถูกกระแสไฟฟ้านี้ ก็จะเกิดการหดตัวขึ้น ทำให้เกิดการบีบตัวของห้องหัวใจ เป็นจังหวะสอดคล้องกัน
ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ กลุ่มอาการใจสั่น และ อาการวูบหมดสติชั่วขณะ
อาการใจสั่น
คำว่า “ใจสั่น” ในความหมายของแพทย์ จะหมายถึงการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เช่น มากกว่า 120 ครั้งต่อนาทีในขณะพัก โดยไม่มีสาเหตุอื่นๆ หรือ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เร็วบ้าง ช้าบ้าง บ่อยครั้งที่คำว่า “ใจสั่น” ที่ผู้ป่วยรู้สึกนั้น ไม่ได้เกิดจากภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ แต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งอาจทำให้แพทย์สับสนได้
ในขณะเดียวกันผู้ป่วยบางคนแทนที่จะบอกว่าใจสั่น แต่บอกแพทย์ว่าเหนื่อย เนื่องจากหัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงทำให้รู้สึกเหนื่อย บางคนบอกว่า “ใจหวิวๆ” เป็นต้น หัวใจเต้นผิดปกติที่เร็วมากกว่าปกติ หรือ เต้นไม่เป็นจังหวะนั้น มีได้หลายชนิด เช่น หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (atrial arrhythmia) หรือ ห้องล่างเต้นผิดจังหวะ (ventricular arrhythmia) ซึ่งบางครั้งแยกกันยากจากการตรวจธรรมดา ต้องการการตรวจพิเศษร่วมด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การเต้นผิดจังหวะนี้สามารถพบได้ในคนปกติ เป็นครั้งคราว และ ส่วนมากมักจะไม่มีอาการ สาเหตุของการเต้นผิดจังหวะนี้ มักเกิดจากโรคทางหัวใจเอง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ ระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติเอง หรือ โรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น
อาการวูบ หมดสติชั่วขณะ
คำว่า “วูบ” ในความหมายของแพทย์ จะหมายถึงการที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน ตาลาย หากรุนแรงจะหมดติไปชั่วขณะ อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด โดยไม่มีอาการเตือนนำมาก่อน อาการไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น นั่งอยู่เฉยๆ หมดสติล้มลงจากเก้าอี้ ตื่นขึ้นมารู้สึกปกติหรือวิงเวียนเล็กน้อย จำเหตุการณ์ไม่ได้ เป็นต้น คำว่า “วูบ” ในความหมายของผู้ป่วยอาจจะไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับที่แพทย์เข้าใจ
ดังนั้น แพทย์จำเป็นต้องซักประวัติโดยละเอียดว่าอาการที่ผู้ป่วยเล่ามานั้น เป็นอาการวูบจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะหรือไม่ เพื่อจะได้เลือกการส่งตรวจพิเศษได้ถูกต้องมากขึ้น อาการดังกล่าวอาจเกิดได้จาก โรคทางหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นชนิดเต้นเร็ว (ventricular tachycardia , ventricular fibrillation) หรือเต้นช้า (atrio-ventricular block, sinus node dysfunction) หรืออาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น ลมชัก ได้แม้จะไม่เห็นอาการชักกระตุก แต่หากเป็นอาการหน้ามืดเป็นลม หมดสติหรือเกือบหมดสติในขณะเปลี่ยนท่า หรือ ตกใจ กลัว มักเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ มากกว่าที่จะเกิดจากหัวใจ
ทำอย่างไรเมื่อมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ
หากท่านสามารถจับชีพจรของตัวเองได้ โปรดสังเกตว่าอัตราการเต้นของหัวใจ (คือค่าเดียวกันกับชีพจร) จะเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาทีในขณะพัก ดังนั้น หากท่านรู้สึกว่าใจสั่น ให้ลองจับชีพจรดู หากยังเต้นสม่ำเสมอ ในอัตราใกล้เคียงกับ 60-100 ครั้งต่อนาที แสดงว่าอาการดังกล่าวอาจจะไม่ได้เกิดจากหัวใจ อย่างไรก็ตามหากท่านไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์โรคหัวใจ เพื่อให้การตรวจและวินิจฉัยต่อไป
ปัญหาที่พบบ่อยๆคือ เมื่อมาพบแพทย์ตรวจ อาการดังกล่าวได้หายไปแล้ว ซึ่งจะตรวจไม่พบความผิดปกติจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์เองก็ไม่สามารถให้การวินิจฉัยแยกได้ว่า เป็นความผิดปกติจากการเต้นผิดจังหวะจริงหรือไม่ และหากเป็นจริง เป็นชนิดใด ร้ายแรงหรือไม่ เนื่องจากความผิดปกติมีได้หลายชนิด การรักษาแตกต่างกัน ในกรณีเช่นนี้ แพทย์มักจะแนะนำให้ติดเครื่องบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจ 24-48 ชั่วโมง (Holter monitor) เครื่องจะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสายไปติดที่ผิวหนังบริเวณหน้าอก เพื่อบันทึกจังหวะการเต้นตลอดเวลา
ดังนั้น หากท่านเกิดอาการ “ใจสั่น” หรือ “วูบ” แพทย์ก็สามารถนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึก มาดูว่าอาการดังกล่าวเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ แต่หากติดเครื่องไปแล้ว ท่านเกิดไม่มีอาการผิดปกติ ก็อาจจะไม่ช่วยในการวินิจฉัย
นอกจากนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจสมรรถภาพหัวใจโดยรวมร่วมด้วย เช่น สมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test) และ คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) ในบางผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจจะต้องตรวจระบบการนำไฟฟ้าในหัวใจโดยละเอียด โดยการใส่สายสวนไปตรวจสอบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ (electro-physilogic study) ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
การรักษาขึ้นกับชนิด สาเหตุ และความรุนแรงของภาวะที่เป็น บางกรณีอาจไม่จำเป็นต้องรักษา สำหรับในกรณีที่หัวใจเต้นเร็ว ผิดจังหวะ แพทย์อาจใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ หรือ ใช้คลื่นวิทยุจี้ เพื่อทำลายวงจรไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งจะได้ผลดีมากสำหรับการเต้นเร็วผิดจังหวะส่วนใหญ่ หากผู้ป่วยเกิดอาการ “วูบ” เนื่องจากหัวใจเต้นช้ามาก หรือ หยุดเต้นชั่วขณะ การรักษา คือ การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร โดยฝังเครื่องเล็กๆที่ผนังหน้าอก ต่อสายไปยังห้องหัวใจ เครื่องจะทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ เครื่องดังกล่าวมีหลายรุ่น หลายแบบ ดังนั้น ท่านจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเพื่อให้การตรวจ วินิจฉัยให้ถูกต้องก่อน
หากท่านมีอาการ “ใจสั่น” หรือ “วูบ” หมดสติ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ประวัติ อาการโดยละเอียด หากมีผู้อยู่ในเหตุการณ์ ควรมาพบแพทย์เพื่อเล่าอาการด้วย ประวัติที่ดีจะช่วยแพทย์ให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง และ เลือกการส่งตรวจพิเศษได้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อท่านจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย