“วรเดช” ลาออกจากราชการหลังทราบผลพ้นผิดจากเอนทรานซ์รั่ว โดยยื่นใบลาออกต่อ “อดิศัย” เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา พ้อ “คงพอแล้วสำหรับระบบราชการ” เชื่อมั่นยังสามารถทำงานด้านอื่นๆ ได้อีก ระบุจะไปเป็นนักวิชาการอิสระขณะที่ “กาญจนา นาคสกุล” ชี้ชัดโทษตักเตือนน้อยเกินไป ระบุผลที่ออกมาส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือต่อระบบการสอบเอนทรานซ์อย่างหนีไม่พ้น เพราะสามารถใช้อิทธิพลเข้าถึงข้อสอบโดยที่ไม่จำเป็นต้องรับโทษหนัก
ศ.ดร.วรเดช จันทรศร เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ได้ทำหนังสือลาออกจากราชการยื่นต่อ รมว.ศึกษาธิการ หลังจากที่เมื่อวันที่ 2 มี.ค. รมว.ศึกษาธิการได้เรียกไปรับทราบผลการสอบสวนทางวินัยเป็นการส่วนตัว ซึ่งหลังจากที่ได้รับทราบผลการสอบสวน ตนได้กลับไปปรึกษากับครอบครัว ก่อนจะยื่นใบลาออก ซึ่งการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว คิดมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2546 ก่อนที่จะมีข่าวเกี่ยวกับการเปิดข้อสอบเอนทรานซ์
แต่เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ตามมารยาทจึงไม่สามารถลาออกได้ประกอบกับขณะนั้นเป็นช่วงที่กระทรวงศึกษาธิการปรับโครงสร้างกระทรวงใหม่จึงต้องทำงานต่อไป
ส่วนเรื่องการตั้งกรรมการสอบวินัย ตนได้นำพยานเอกสารและพยานบุคคลเข้าชี้แจงอย่างครบถ้วน จนคิดว่าได้รับความเป็นธรรมในระดับหนึ่ง ซึ่งผลการสอบสวนที่ให้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะตนเองไม่ทำตามประเพณีปฏิบัติ แต่ในบางเรื่องที่เกิดขึ้น และต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้บริหารตรงนั้น การทำตามประเพณีเดิมก็ไม่สามารถจะทำได้ แต่เมื่อผลสอบเป็นดุลยพินิจจากผู้บริหารก็จำเป็นต้องยอมรับ
“รับราชการมาถึงวันนี้เป็นเวลา 35 ปี แล้ว และตั้งใจลาออกมานานแล้วโดยบอกกับรศ.ดร.ธัชชัย สุมิตร อดีตอธิการบดีจุฬาฯ ซึ่งท่านก็บอกให้คิดดูก่อน และถามว่าจะมีอะไรให้ช่วยหรือไม่ แต่เมื่อผลการสอบสวนออกมาเช่นนี้ตน สามารถตัดสินใจได้ทันที และอยากจะขอให้รมว.ศึกษาธิการ อนุมัติใบลาออกให้ โดยไม่ต้องยับยั้ง เพราะคิดว่าคงพอแล้วสำหรับระบบราชการ และคิดว่าตัวเองยังสามารถทำงานอย่างอื่นได้ ซึ่งคงจะไปทำงานด้านวิชาการ เป็นนักวิชาการอิสระ” ศ.ดร.วรเดชกล่าว
ด้าน ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล ประธานกรรมการออกข้อสอบชุดวิชาภาษาไทย กล่าวถึงผลการสอบสวนทางวินัยกรณีเอนทรานซ์รั่วว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้สึกอยู่แล้วว่า โทษที่ ศ.ร.ต.อ.วรเดชได้รับควรจะมากกว่าการว่ากล่าวตักเตือน ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่แล้วกระทำความผิด ไม่ใช่เด็กๆ กระทำผิด ส่วนโทษควรจะอยู่ในระดับไหนนั้น คงพูดยากเพราะไม่รู้หลักเกณฑ์การพิจารณาโทษจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ที่รู้สึกคือ เป็นผู้ใหญ่ระดับนี้ แล้วมีการกระทำความผิดที่ชัดแจ้ง ก็สมควรที่จะได้รับโทษหนัก ผลการสอบสวนที่ออกมาย่อมส่งกระทบต่อความเชื่อถือในระบบการสอบเอนทรานซ์อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่สังคมเห็นคือหากใครสามารถใช้อิทธิพลหรืออำนาจเข้าถึงข้อสอบเอนทรานซ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรับโทษหนัก ต่อไปความศรัทธาก็ต้องหมดลงและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาวงกว้างด้วย
”ขณะนี้ได้ถอนตัวออกจากการร่วมเป็นกรรมการออกข้อสอบเอนทรานซ์แล้ว และคิดว่าคงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการออกข้อสอบเอนทรานซ์อีกต่อไป ถามว่าเป็นผลมาจากเรื่องข้อสอบรั่วด้วยหรือไม่ ก็มีส่วน และก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายอะไรด้วยอีกต่อไปแล้ว”
ด้านนายวิจิตร ศรีสะอ้าน อดีตประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดผลสรุปการสอบสวนฯ จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าโทษนั้นเบาเกินไปหรือผลสอบจะเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชนหรือไม่ ซึ่งคงต้องขอศึกษาดูในรายละเอียดก่อน แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวเห็นว่าหากไม่มีความเสียหายแล้วจะมีการว่ากล่าวตักเตือนทำไม แต่ก็ยังไม่เห็นในรายละเอียดของสำนวน ส่วนผลการสอบสวนที่คณะกรรมาธิการฯ ได้เคยทำไว้นั้น เป็นผลการสอบข้อเท็จจริงของกรณีข้อสอบเอนทรานซ์ ไม่ได้เป็นการสอบวินัย
ทั้งนี้ ผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดที่นายวีระศักดิ์เป็นประธานนั้นก็เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ต่อเนื่องมาจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดที่มีนายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน ดังนั้น หากถามความคิดเห็นตนคิดว่าควรถามนายสุเมธน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะถือว่าจะทราบข้อมูลจริง เพราะตอนนี้ตนเองยุติเรื่องทางการเมืองหมดแล้ว สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นแล้ว ก็ถือเป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง