มศว เปิดมิติใหม่ นำร่องให้เด็กอัจฉริยะเรียนข้ามชั้นได้ หลังเข้ามานั่งเรียนร่วมกับนิสิตปี 1 ขณะที่อยู่ ม.6 เมื่อเข้าเรียนจริงไม่ต้องเรียนซ้ำในรายวิชาที่เรียนแล้ว ประกาศอีก 4 เดือนเปิดสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติให้บริการระดับประเทศและนานาชาติ
ผศ.น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวในการระดมสมองเรื่องเด็กอัจฉริยะสร้างชาติได้จริงหรือ เปิดหัวใจ ไขปัญหา เมืองไทยสร้างเด็กอัจฉริยะไม่ถึงดวงดาวว่า สถาบันจะเปิดให้บริการทางวิชาการและให้คำแนะนำเด็กที่มีความสามารถพิเศษและเด็กความต้องการพิเศษแห่งชาติในอีก 4 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ สถาบันจะทำงานแบบครบวงจร กล่าวคือเมื่อเด็กคนหนึ่งเข้ามาขอคำแนะนำ ก็จะใช้ข้อมูลงานวิจัยช่วยเหลือเด็กอย่างเป็นระบบ เด็กที่มีความสามารถพิเศษหรือเด็กความต้องการพิเศษต่างมีข้อดีและข้อด้อยที่ต้องได้รับการช่วยเหลือแทบทั้งสิ้น และขณะนี้ มศว ได้ออกระเบียบให้เด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจะกำหนดเกรดและจะอนุญาตให้เข้ามานั่งเรียนกับนิสิตในชั้นปีที่ 1 ในคณะวิทยาศาสตร์ มศว
จากนั้นเมื่อสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มศว จะไม่ต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชาที่เรียนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้จบการศึกษาเร็วขึ้น ถือเป็นโครงการนำร่องที่มหาวิทยาลัยดำเนินการแล้ว เรียกโปรแกรมนี้ว่าแอ๊ดวานซ์โปรแกรม โดยในอนาคตจะขยายไปสู่คณะวิชาอื่น และอาจจะขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ อาทิ เช่นมานั่งเรียนที่ มศว แล้วอาจจะสอบเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์เชียงใหม่ได้
“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมบางส่วนอาจมองวิธีการเช่นนี้ว่าประหลาด หรือรับไม่ได้กับวิธีการเช่นนี้ สถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติมีหน้าที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและต้องทำให้สังคมยอมรับ ซึ่งหน้าที่ของเราไม่ได้หาเด็กอัจฉริยะ การมีคู่มือดี ๆ มีครูมีพ่อแม่ผู้ปกครองที่เข้าใจ จัดอบรมให้ความรู้เขาจะค้นหาเด็กอัจฉริยะได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ความยุ่งยากอยู่ที่ ถ้าค้นหาเด็กอัจฉริยะได้จากทั่วประเทศ 50,000 คนแล้วเราจะทำอย่างไร"
"สถาบันฯ ต้องสร้างองค์ความรู้และต้องถ่ายทอดความรู้ให้คนออกไปดูแลเด็ก ในแต่ละชุมชน หมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนกรณีไหนต้องดูแลเป็นพิเศษ มีความยุ่งยากจึงค่อยส่งมาปรึกษาสถาบันฯ ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะมีลูกเป็นคนที่มีความสามารถด้านไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือการสอนให้ลูกเป็นนักฟังที่ดี การฟังทำให้รู้จักคิด และต้องสอนให้เขาใฝ่ดี รู้จักเสียสละความสุขให้ผู้อื่น รู้จักควบคุมการพูดและการคิดให้สัมพันธ์กัน” ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ รองประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ กล่าวว่า มศว เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ทำงานด้านการศึกษาพิเศษถึงวันนี้เป็นเวลา 25 ปีแล้ว ทุกวันนี้เราทำงานในระดับประเทศและนานาชาติ ครั้งแรกที่ทำงานด้านเด็กอัจฉริยะในประเทศไทยไม่มีใครสนใจเด็กอัจฉริยะหรือที่เรารู้จักในชื่อของเด็ก gifted ทำงานลำบากมาก
ขณะนี้มีศูนย์เสาะหาเด็กอัจฉริยะอยู่ทั้งสิ้น 3 ศูนย์ คือที่สถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) โรงเรียนไผทอุดมศึกษา และที่สำนักงานอาสากาชาด สภากาชาดไทย
เด็กๆ เหล่านี้ ต้องมีการพัฒนาและดูแลจิตใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่มีความมั่นใจแต่ก็อ่อนไหวง่าย ประกอบกับตำราในเมืองไทยยังเป็นตำราที่ล้าหลัง ไม่ได้คุณภาพ การวัดผลยังไม่เกิดประสิทธิภาพ อยากเห็นกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองรวมกลุ่มและทำงานเป็นเครือข่าย
ผศ.น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวในการระดมสมองเรื่องเด็กอัจฉริยะสร้างชาติได้จริงหรือ เปิดหัวใจ ไขปัญหา เมืองไทยสร้างเด็กอัจฉริยะไม่ถึงดวงดาวว่า สถาบันจะเปิดให้บริการทางวิชาการและให้คำแนะนำเด็กที่มีความสามารถพิเศษและเด็กความต้องการพิเศษแห่งชาติในอีก 4 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ สถาบันจะทำงานแบบครบวงจร กล่าวคือเมื่อเด็กคนหนึ่งเข้ามาขอคำแนะนำ ก็จะใช้ข้อมูลงานวิจัยช่วยเหลือเด็กอย่างเป็นระบบ เด็กที่มีความสามารถพิเศษหรือเด็กความต้องการพิเศษต่างมีข้อดีและข้อด้อยที่ต้องได้รับการช่วยเหลือแทบทั้งสิ้น และขณะนี้ มศว ได้ออกระเบียบให้เด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจะกำหนดเกรดและจะอนุญาตให้เข้ามานั่งเรียนกับนิสิตในชั้นปีที่ 1 ในคณะวิทยาศาสตร์ มศว
จากนั้นเมื่อสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มศว จะไม่ต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชาที่เรียนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้จบการศึกษาเร็วขึ้น ถือเป็นโครงการนำร่องที่มหาวิทยาลัยดำเนินการแล้ว เรียกโปรแกรมนี้ว่าแอ๊ดวานซ์โปรแกรม โดยในอนาคตจะขยายไปสู่คณะวิชาอื่น และอาจจะขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ อาทิ เช่นมานั่งเรียนที่ มศว แล้วอาจจะสอบเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์เชียงใหม่ได้
“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมบางส่วนอาจมองวิธีการเช่นนี้ว่าประหลาด หรือรับไม่ได้กับวิธีการเช่นนี้ สถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติมีหน้าที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและต้องทำให้สังคมยอมรับ ซึ่งหน้าที่ของเราไม่ได้หาเด็กอัจฉริยะ การมีคู่มือดี ๆ มีครูมีพ่อแม่ผู้ปกครองที่เข้าใจ จัดอบรมให้ความรู้เขาจะค้นหาเด็กอัจฉริยะได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ความยุ่งยากอยู่ที่ ถ้าค้นหาเด็กอัจฉริยะได้จากทั่วประเทศ 50,000 คนแล้วเราจะทำอย่างไร"
"สถาบันฯ ต้องสร้างองค์ความรู้และต้องถ่ายทอดความรู้ให้คนออกไปดูแลเด็ก ในแต่ละชุมชน หมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนกรณีไหนต้องดูแลเป็นพิเศษ มีความยุ่งยากจึงค่อยส่งมาปรึกษาสถาบันฯ ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะมีลูกเป็นคนที่มีความสามารถด้านไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือการสอนให้ลูกเป็นนักฟังที่ดี การฟังทำให้รู้จักคิด และต้องสอนให้เขาใฝ่ดี รู้จักเสียสละความสุขให้ผู้อื่น รู้จักควบคุมการพูดและการคิดให้สัมพันธ์กัน” ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ รองประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ กล่าวว่า มศว เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ทำงานด้านการศึกษาพิเศษถึงวันนี้เป็นเวลา 25 ปีแล้ว ทุกวันนี้เราทำงานในระดับประเทศและนานาชาติ ครั้งแรกที่ทำงานด้านเด็กอัจฉริยะในประเทศไทยไม่มีใครสนใจเด็กอัจฉริยะหรือที่เรารู้จักในชื่อของเด็ก gifted ทำงานลำบากมาก
ขณะนี้มีศูนย์เสาะหาเด็กอัจฉริยะอยู่ทั้งสิ้น 3 ศูนย์ คือที่สถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและความต้องการพิเศษแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) โรงเรียนไผทอุดมศึกษา และที่สำนักงานอาสากาชาด สภากาชาดไทย
เด็กๆ เหล่านี้ ต้องมีการพัฒนาและดูแลจิตใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่มีความมั่นใจแต่ก็อ่อนไหวง่าย ประกอบกับตำราในเมืองไทยยังเป็นตำราที่ล้าหลัง ไม่ได้คุณภาพ การวัดผลยังไม่เกิดประสิทธิภาพ อยากเห็นกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองรวมกลุ่มและทำงานเป็นเครือข่าย