ใคร...หลายๆ คนมักพูดกันว่าบรรดาเมืองที่เจริญแล้วย่อมต้องมีหอศิลป์เสมอ อย่างเช่น หอศิลป์ที่วอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา หอศิลป์ที่มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือแม้กระทั่งหอศิลป์แห่งเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วกรุงเทพมหานครล่ะ....เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศ เจริญในทุกๆด้านทำไมถึงไม่มี

อย่างไรก็ตาม หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้กรุงเทพมหานคร(กทม.) ได้เคยอนุมัติโครงการก่อสร้างหอศิลป์ของกรุงเทพฯ ขึ้นมาในสมัยที่มี ดร.พิจิตต รัตตกุลเป็นผู้ว่าฯ แต่ก็ต้องมาสะดุดหยุดลงไปเป็นเวลา 4 ปีในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวชด้วยเหตุผลบางประการ เล่นเอาคนในแวดวงศิลปะต้องออกกำลังภายในกดดันกันเป็นการใหญ่
แต่ถึงวันนี้หอศิลป์แห่งกรุงเทพฯ กำลังจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่จะฟื้นขึ้นมาในรูปลักษณ์ไหน คงต้องติดตามกัน
ย้อนอดีตอันขมขื่นของหอศิลป์กทม.
ผศ.ปรีชา เถาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในแนวร่วมสำคัญที่พยายามผลักดันให้เกิดหอศิลป์ในกรุงเทพฯ เล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น กลุ่มนักวิชาการ ครูบาอาจารย์และศิลปินด้านศิลปะ โดยมีอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ เป็นแกนนำและเป็นประธานในขณะนั้น มีแนวคิดในการทำกิจกรรมหาทุนที่จะจัดให้มีมูลนิธิศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งจัดตั้งกองทุนสร้างหอศิลปะร่วมสมัยของ กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงได้มีการจัดทำแผนแม่บทร่างคอนเซ็ปต์ไอเดียรูปแบบหอศิลป์ขึ้น
ประกอบกับขณะนั้น อาจารย์ไกรศักดิ์ เป็นที่ปรึกษาดร.พิจิตต รัตตกุล ซึ่งเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็เลยผลักดันแนวคิดนี้เข้าไป และดร.พิจิตตก็เห็นด้วยจึงได้ตั้งคณะทำงานหลายฝ่ายขึ้นมาในปี 2540โดยมอบหมายให้สำนักสวัสดิการสังคมเป็นผู้ดำเนินการใช้งบประมาณของกทม.จำนวน 300 ล้านบาท

ต่อมา กทม.ได้จัดให้มีการประกวดแบบขึ้นโดยได้แบบของบริษัทโรเบิร์ต จี บุย แอนด์ แอสโซซิเอส จำกัดเป็นผู้ชนะเลิศการประกวดแบบรวมทั้งเป็นผู้รับจ้างกทม.เขียนแบบก่อสร้างหอศิลป์ในวงเงินค่าจ้าง 4.9 ล้านบาทและเลือกสถานที่ซึ่งได้เลือกพื้นที่ว่างบริเวณสี่แยกปทุมวัน ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน จำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา เป็นสถานที่ก่อสร้างหอศิลป์ซึ่งได้วางศิลาฤกษ์ช่วงปลายสมัยดร.พิจิตต
“รูปแบบอาคารหอศิลปะเป็นอาคารสูง 11 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้น มีพื้นที่ทั้งสิ้น 20,972 ตารางเมตร โดยส่วนหอศิลป์มีพื้นที่ 11,445 ตารางเมตร พื้นที่พาณิชย์ด้านศิลปะ 4,402 ตารางเมตร และส่วนอาคารจอดรถ5,125 ตารางเมตร ซึ่งสามารถจอดรถได้ทั้งหมด 118 คัน โดยอาคารดังกล่าวถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการใช้สอยและเอื้อประโยชน์ต่อการปรับเปลี่ยนมีอิสระ”
“ที่สำคัญคืออิงรูปลักษณะสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งอาคารศิลปะร่วมสมัยแห่งนี้จะเป็นตัวแทนอันสำคัญของวัฒนธรรมไทยที่มีความน่าตื่นเต้น เชื้อเชิญ ตอบสนองประโยชน์ใช้สอย และสะท้อนความเคลื่อนไหวของศิลปะร่วมสมัยของไทย นอกจากนี้ อาคารหอศิลปะยังเน้นประโยชน์จากการใช้แสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุดซึ่งจะทำให้เป็นการประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่ง”
อาจารย์ปรีชาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อหมดสมัยดร.พิจิตตก็มาถึงสมัย
ของผู้ว่าฯ สมัคร ซึ่งในสมัยนี้เองได้เกิดปัญหาขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างหอศิลปะให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจากได้เปลี่ยนแนวความคิดของหอศิลปะใหม่โดยให้เอกชนร่วมลงทุนกับกทม.พร้อมทั้งเน้นไปในเชิงพาณิชย์มากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้
ทั้งนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีงบประมาณในการมาบริหารจัดการหอศิลป์ จึงอยากให้หอศิลป์มีรายได้สามารถเลี้ยงตนเองได้ซึ่งทางกลุ่มที่แกนนำก็ไม่มีใครยอม จึงพยายามดึงเกมให้การก่อสร้างล่าช้า เพราะถ้าสร้างตามที่แนวคิดของผู้ว่าฯ สมัครต้องการ หอศิลป์ก็จะไม่เป็นหอศิลป์อีกต่อไป
เวลาผ่านไป....จนกระทั่งหมดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าฯ สมัคร

“เราพยายามประท้วงกันเพราะแบบที่ออกมาจะไม่เป็นไปตามฟังก์ชั่นเดิมเพราะแบบใหม่จะเน้นพื้นที่เชิงพาณิชย์เปิดให้เช่ามากขึ้น หอศิลป์อยู่ข้างบนมีพื้นที่น้อยลง ซึ่งเกรงว่าจะไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ดำเนินการมาในการประกวดแบบ ก็พยายามยื้อกันไปยื้อกันมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะกลายเป็นอาคารพาณิชย์ที่มีหอศิลป์ไปเสียบไว้ข้างบน ข้างล่างก็ขายเสื้อยืดกางเกงยีนส์มันก็เหมือนมาบุญครอง เหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไป หอศิลป์ก็ควรเป็นหอศิลป์ตามพันธกิจที่ได้วางเอาไว้ ส่วนพื้นที่พาณิชย์ก็ควรเป็นพื้นที่ขายของเกี่ยวกับศิลปะไม่ใช่ไปขายกางเกงยีนส์เสื้อยืด”
เมื่อความฝันกำลังกลายเป็นความจริง
หลังจากที่หมดสมัยของผู้ว่าฯ สมัคร.....ก็ก้าวเข้าสู่ยุคของผู้ว่าฯ อภิรักษ์บ้าง...
อาจารย์ปรีชาเล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อผู้ว่าฯ อภิรักษ์ได้รับการเลือกตั้ง ก็มีการเรียกประชุมบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงการสร้างหอศิลป์อีกครั้งโดยได้มอบหมายให้ “ศ.ตรึงใจ บูรณสมภพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม.เข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมาจำนวน 3 ชุดเพื่อดำเนินการ
คณะทำงานชุดที่ 1 จะรับผิดชอบเกี่ยวการรูปแบบ การออกแบบ การจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างโดยมี ศ.ตรึงใจ บูรณสมภพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม.เป็นประธาน
คณะทำงานชุดที่ 2 จะดูแลเกี่ยวกับการดึงการมีส่วนร่วมของชาวกรุงเทพฯโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยมีตัวอาจารย์ปรีชาเองประธานคณะทำงาน
และคณะทำงานชุดที่ 3 จะดูแลในระยะยาวเกี่ยวกับการบริหาร จัดการในด้านต่างๆเพื่อให้หอศิลป์แห่งนี้มีชีวิตชีวา ไม่เป็นเพียงสถานที่ที่จัดแสดงเฉพาะนิทรรศการหรือสถานที่ที่เก็บสิ่งของเท่านั้น ซึ่งชุดนี้จะมีนายฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที รองประธานมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมหอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานครเป็นหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2549 เพื่อที่จะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2549 รวมทั้งขยับงบประมาณขึ้นไปเป็นเกือบ 500 ล้านบาท
“เฉพาะคณะของผม ได้เตรียมการที่จะเชิญชวนองค์กรวิชาการ ศิลปิน ชาวบ้าน ชุมชน มาทำกิจกรรมร่วมกันให้เกิดเครือข่าย เพื่อให้รู้ว่าต้องการอะไร เกิดการวางเครือข่ายเพื่อระหว่างหอศิลป์กทม.กับหอศิลป์ของชุมชน แต่ที่สำคัญที่สุดควรจะมีการวางแผนแม่บทเพื่อเข้ามาบริหารจัดการหอศิลป์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ไม่ใช่เอารูปมาติดแล้วปล่อยให้แห้งตายอย่างนั้น และถ้าเป็นไปได้ควรจะมีให้ครบทุกจังหวัดของไทยไม่ใช่เฉพาะแต่ในกรุงเทพฯเท่านั้น”

“ หอศิลป์เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งสำคัญมากว่าห้องสมุด เราเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมกทม.ได้ มันคงไม่ได้อยู่ที่วัดพระแก้วหรือดูในพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน มันจะต้องมีแหล่งการเรียนรู้ศิลปะที่เก็บสะสมไว้ในหอศิลป์ร่วมสมัยเพราะศิลปะไม่ได้มีแค่ของเก่าอย่างเดียวศิลปะจากของโบราณมาเป็นของใหม่ และของใหม่ก็จะถูกเก็บสะสมไว้เป็นของเก่าให้คนมาได้เห็นได้รู้เพื่อเด็กได้ค้นคว้าได้เรียนรู้มันเป็นการรวมองค์ความรู้ให้กับมวลชนเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต เพราะจะมีการเชิญศิลปินมาพบปะกับประชาชนทั่วไป คนมีส่วนร่วมมันจะทำให้เรารักศรัทธาในความเป็นไทย รักศิลปวัฒนธรรม ถ้าเราดูการแข่งขันฟุตบอลผ่านจอทีวีกับดูของจริงของจริงก็ต้องได้อารมณ์กว่ากันใช่ไหมและที่เราบอกว่างานศิลปะสำคัญตื่นนอนยันเข้านอนสำคัญแต่เรายังไม่ชี้ไม่สอนไม่ตระหนักถึงคุณค่าสักวันหนึ่งงานศิลปะทุกอย่างจะหายไปและ 8 ปีที่รอคอยก็จะไม่สูญเปล่าแม้จะนานไปนิดแต่ก็คุ้มหากเราได้หอศิลป์ขึ้นมาจริงๆ”
ด้านกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ที่ปรึกษาคณะกรรมการดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรมฯ บอกว่า นี่เป็นสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ เป็นสถานที่ที่เด็กๆสามารถที่จะมาหาความรู้ มาเรียนรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมของไทย เป็นสิ่งที่ควรจะมีและมีให้มากกว่านี้เพราะศิลปะเป็นพื้นฐานของการศึกษา
ทั้งนี้ คิดว่าหอศิลป์แห่งนี้จะเป็นจุดรวมอะไรหลายๆ อย่างและเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและการศึกษาที่จะพัฒนาให้กับเยาวชนต่อไป โดยหวังไว้ว่าธันวาคมปีหน้าจะได้เห็นหอศิลป์แห่งนี้เปิดให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่เสียงจากฝั่งกทม.ซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรงคือสำนักสวัสดิการสังคม(สนส.) โดยทวีศักดิ์ เดชเดโช ผู้อำนวยการสำนักก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หอศิลป์แห่งนี้จะสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2549 นี้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าในยุคของนายอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯ กทม.หอศิลป์จะเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมหรือเป็นเพียงแค่ลมปากบอกผ่านนโยบายที่สวยหรูปลายปี 2549 คงได้รู้กัน
อย่างไรก็ตาม หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้กรุงเทพมหานคร(กทม.) ได้เคยอนุมัติโครงการก่อสร้างหอศิลป์ของกรุงเทพฯ ขึ้นมาในสมัยที่มี ดร.พิจิตต รัตตกุลเป็นผู้ว่าฯ แต่ก็ต้องมาสะดุดหยุดลงไปเป็นเวลา 4 ปีในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวชด้วยเหตุผลบางประการ เล่นเอาคนในแวดวงศิลปะต้องออกกำลังภายในกดดันกันเป็นการใหญ่
แต่ถึงวันนี้หอศิลป์แห่งกรุงเทพฯ กำลังจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่จะฟื้นขึ้นมาในรูปลักษณ์ไหน คงต้องติดตามกัน
ย้อนอดีตอันขมขื่นของหอศิลป์กทม.
ผศ.ปรีชา เถาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในแนวร่วมสำคัญที่พยายามผลักดันให้เกิดหอศิลป์ในกรุงเทพฯ เล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น กลุ่มนักวิชาการ ครูบาอาจารย์และศิลปินด้านศิลปะ โดยมีอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ เป็นแกนนำและเป็นประธานในขณะนั้น มีแนวคิดในการทำกิจกรรมหาทุนที่จะจัดให้มีมูลนิธิศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งจัดตั้งกองทุนสร้างหอศิลปะร่วมสมัยของ กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงได้มีการจัดทำแผนแม่บทร่างคอนเซ็ปต์ไอเดียรูปแบบหอศิลป์ขึ้น
ประกอบกับขณะนั้น อาจารย์ไกรศักดิ์ เป็นที่ปรึกษาดร.พิจิตต รัตตกุล ซึ่งเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็เลยผลักดันแนวคิดนี้เข้าไป และดร.พิจิตตก็เห็นด้วยจึงได้ตั้งคณะทำงานหลายฝ่ายขึ้นมาในปี 2540โดยมอบหมายให้สำนักสวัสดิการสังคมเป็นผู้ดำเนินการใช้งบประมาณของกทม.จำนวน 300 ล้านบาท
ต่อมา กทม.ได้จัดให้มีการประกวดแบบขึ้นโดยได้แบบของบริษัทโรเบิร์ต จี บุย แอนด์ แอสโซซิเอส จำกัดเป็นผู้ชนะเลิศการประกวดแบบรวมทั้งเป็นผู้รับจ้างกทม.เขียนแบบก่อสร้างหอศิลป์ในวงเงินค่าจ้าง 4.9 ล้านบาทและเลือกสถานที่ซึ่งได้เลือกพื้นที่ว่างบริเวณสี่แยกปทุมวัน ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน จำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา เป็นสถานที่ก่อสร้างหอศิลป์ซึ่งได้วางศิลาฤกษ์ช่วงปลายสมัยดร.พิจิตต
“รูปแบบอาคารหอศิลปะเป็นอาคารสูง 11 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้น มีพื้นที่ทั้งสิ้น 20,972 ตารางเมตร โดยส่วนหอศิลป์มีพื้นที่ 11,445 ตารางเมตร พื้นที่พาณิชย์ด้านศิลปะ 4,402 ตารางเมตร และส่วนอาคารจอดรถ5,125 ตารางเมตร ซึ่งสามารถจอดรถได้ทั้งหมด 118 คัน โดยอาคารดังกล่าวถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการใช้สอยและเอื้อประโยชน์ต่อการปรับเปลี่ยนมีอิสระ”
“ที่สำคัญคืออิงรูปลักษณะสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งอาคารศิลปะร่วมสมัยแห่งนี้จะเป็นตัวแทนอันสำคัญของวัฒนธรรมไทยที่มีความน่าตื่นเต้น เชื้อเชิญ ตอบสนองประโยชน์ใช้สอย และสะท้อนความเคลื่อนไหวของศิลปะร่วมสมัยของไทย นอกจากนี้ อาคารหอศิลปะยังเน้นประโยชน์จากการใช้แสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุดซึ่งจะทำให้เป็นการประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่ง”
อาจารย์ปรีชาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อหมดสมัยดร.พิจิตตก็มาถึงสมัย
ของผู้ว่าฯ สมัคร ซึ่งในสมัยนี้เองได้เกิดปัญหาขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างหอศิลปะให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจากได้เปลี่ยนแนวความคิดของหอศิลปะใหม่โดยให้เอกชนร่วมลงทุนกับกทม.พร้อมทั้งเน้นไปในเชิงพาณิชย์มากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้
ทั้งนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีงบประมาณในการมาบริหารจัดการหอศิลป์ จึงอยากให้หอศิลป์มีรายได้สามารถเลี้ยงตนเองได้ซึ่งทางกลุ่มที่แกนนำก็ไม่มีใครยอม จึงพยายามดึงเกมให้การก่อสร้างล่าช้า เพราะถ้าสร้างตามที่แนวคิดของผู้ว่าฯ สมัครต้องการ หอศิลป์ก็จะไม่เป็นหอศิลป์อีกต่อไป
เวลาผ่านไป....จนกระทั่งหมดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าฯ สมัคร
“เราพยายามประท้วงกันเพราะแบบที่ออกมาจะไม่เป็นไปตามฟังก์ชั่นเดิมเพราะแบบใหม่จะเน้นพื้นที่เชิงพาณิชย์เปิดให้เช่ามากขึ้น หอศิลป์อยู่ข้างบนมีพื้นที่น้อยลง ซึ่งเกรงว่าจะไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ดำเนินการมาในการประกวดแบบ ก็พยายามยื้อกันไปยื้อกันมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะกลายเป็นอาคารพาณิชย์ที่มีหอศิลป์ไปเสียบไว้ข้างบน ข้างล่างก็ขายเสื้อยืดกางเกงยีนส์มันก็เหมือนมาบุญครอง เหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไป หอศิลป์ก็ควรเป็นหอศิลป์ตามพันธกิจที่ได้วางเอาไว้ ส่วนพื้นที่พาณิชย์ก็ควรเป็นพื้นที่ขายของเกี่ยวกับศิลปะไม่ใช่ไปขายกางเกงยีนส์เสื้อยืด”
เมื่อความฝันกำลังกลายเป็นความจริง
หลังจากที่หมดสมัยของผู้ว่าฯ สมัคร.....ก็ก้าวเข้าสู่ยุคของผู้ว่าฯ อภิรักษ์บ้าง...
อาจารย์ปรีชาเล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อผู้ว่าฯ อภิรักษ์ได้รับการเลือกตั้ง ก็มีการเรียกประชุมบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงการสร้างหอศิลป์อีกครั้งโดยได้มอบหมายให้ “ศ.ตรึงใจ บูรณสมภพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม.เข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมาจำนวน 3 ชุดเพื่อดำเนินการ
คณะทำงานชุดที่ 1 จะรับผิดชอบเกี่ยวการรูปแบบ การออกแบบ การจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างโดยมี ศ.ตรึงใจ บูรณสมภพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม.เป็นประธาน
คณะทำงานชุดที่ 2 จะดูแลเกี่ยวกับการดึงการมีส่วนร่วมของชาวกรุงเทพฯโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยมีตัวอาจารย์ปรีชาเองประธานคณะทำงาน
และคณะทำงานชุดที่ 3 จะดูแลในระยะยาวเกี่ยวกับการบริหาร จัดการในด้านต่างๆเพื่อให้หอศิลป์แห่งนี้มีชีวิตชีวา ไม่เป็นเพียงสถานที่ที่จัดแสดงเฉพาะนิทรรศการหรือสถานที่ที่เก็บสิ่งของเท่านั้น ซึ่งชุดนี้จะมีนายฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที รองประธานมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมหอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานครเป็นหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2549 เพื่อที่จะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2549 รวมทั้งขยับงบประมาณขึ้นไปเป็นเกือบ 500 ล้านบาท
“เฉพาะคณะของผม ได้เตรียมการที่จะเชิญชวนองค์กรวิชาการ ศิลปิน ชาวบ้าน ชุมชน มาทำกิจกรรมร่วมกันให้เกิดเครือข่าย เพื่อให้รู้ว่าต้องการอะไร เกิดการวางเครือข่ายเพื่อระหว่างหอศิลป์กทม.กับหอศิลป์ของชุมชน แต่ที่สำคัญที่สุดควรจะมีการวางแผนแม่บทเพื่อเข้ามาบริหารจัดการหอศิลป์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ไม่ใช่เอารูปมาติดแล้วปล่อยให้แห้งตายอย่างนั้น และถ้าเป็นไปได้ควรจะมีให้ครบทุกจังหวัดของไทยไม่ใช่เฉพาะแต่ในกรุงเทพฯเท่านั้น”
“ หอศิลป์เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งสำคัญมากว่าห้องสมุด เราเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมกทม.ได้ มันคงไม่ได้อยู่ที่วัดพระแก้วหรือดูในพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน มันจะต้องมีแหล่งการเรียนรู้ศิลปะที่เก็บสะสมไว้ในหอศิลป์ร่วมสมัยเพราะศิลปะไม่ได้มีแค่ของเก่าอย่างเดียวศิลปะจากของโบราณมาเป็นของใหม่ และของใหม่ก็จะถูกเก็บสะสมไว้เป็นของเก่าให้คนมาได้เห็นได้รู้เพื่อเด็กได้ค้นคว้าได้เรียนรู้มันเป็นการรวมองค์ความรู้ให้กับมวลชนเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต เพราะจะมีการเชิญศิลปินมาพบปะกับประชาชนทั่วไป คนมีส่วนร่วมมันจะทำให้เรารักศรัทธาในความเป็นไทย รักศิลปวัฒนธรรม ถ้าเราดูการแข่งขันฟุตบอลผ่านจอทีวีกับดูของจริงของจริงก็ต้องได้อารมณ์กว่ากันใช่ไหมและที่เราบอกว่างานศิลปะสำคัญตื่นนอนยันเข้านอนสำคัญแต่เรายังไม่ชี้ไม่สอนไม่ตระหนักถึงคุณค่าสักวันหนึ่งงานศิลปะทุกอย่างจะหายไปและ 8 ปีที่รอคอยก็จะไม่สูญเปล่าแม้จะนานไปนิดแต่ก็คุ้มหากเราได้หอศิลป์ขึ้นมาจริงๆ”
ด้านกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ที่ปรึกษาคณะกรรมการดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรมฯ บอกว่า นี่เป็นสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ เป็นสถานที่ที่เด็กๆสามารถที่จะมาหาความรู้ มาเรียนรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมของไทย เป็นสิ่งที่ควรจะมีและมีให้มากกว่านี้เพราะศิลปะเป็นพื้นฐานของการศึกษา
ทั้งนี้ คิดว่าหอศิลป์แห่งนี้จะเป็นจุดรวมอะไรหลายๆ อย่างและเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและการศึกษาที่จะพัฒนาให้กับเยาวชนต่อไป โดยหวังไว้ว่าธันวาคมปีหน้าจะได้เห็นหอศิลป์แห่งนี้เปิดให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่เสียงจากฝั่งกทม.ซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรงคือสำนักสวัสดิการสังคม(สนส.) โดยทวีศักดิ์ เดชเดโช ผู้อำนวยการสำนักก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หอศิลป์แห่งนี้จะสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2549 นี้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าในยุคของนายอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯ กทม.หอศิลป์จะเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมหรือเป็นเพียงแค่ลมปากบอกผ่านนโยบายที่สวยหรูปลายปี 2549 คงได้รู้กัน