ซ้าย... ซ้าย... ซ้าย ขวา ซ้าย... ซ้าย... ซ้าย... ซ้าย ขวา ซ้าย
วันทยาวุธ... เรียบอาวุธ... ตามระเบียบพัก.. แถวตรง... เลิกแถว
กังวานทึบ แน่น พร้อมเพรียงจากรองเท้าบู๊ทนักเรียนเตรียมทหารหลายร้อยคู่ท่ามกลางไอร้อนและเปลวแดด สอดผสานท่วงทำนองเข้มแข็ง ดุดันจากชุดคำสั่งของครูฝึกในการฝึกระเบียบแถว เป็นเสน่ห์ที่เด็กหนุ่มหลายคนอยากเข้าไปชิดใกล้สัมผัส นอกเหนือไปจากเครื่องแบบสุดเท่ และการได้ใช้ชีวิตเยี่ยง ‘ลูกผู้ชายตัวจริง’ ที่มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต

ทว่าเส้นทางการเป็น ‘นายร้อยหนุ่ม’ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือปูอยู่บนพรมแดง เมื่อด่านแรกเด็กหนุ่มทุกคนต้องเผชิญกับสนามแข่งขันที่ขับเคี่ยวกันสูงกว่า 150:1 ด้วยแต่ละปีจะมีผู้สมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในแต่ละเหล่ากว่า 20,000 คน ขณะที่ทั้งสี่เหล่ารวมกันรับได้ประมาณ 500 คนเท่านั้น และถ้าผ่านไปได้ ด่านต่อไปนักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ ฝึกฝน หลอมหล่อชีวิตลูกผู้ชายในร.ร.เตรียมทหาร 3 ปี และอีก 4 ปีในร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ ตามแต่ที่ละคนตั้งความฝันเอาไว้
ยิ่งกว่านั้นนักเรียนหลายคนกว่าจะได้สวมชุดนักเรียนเตรียมทหาร และมี ‘นตท.’ นำหน้าชื่อต้องผ่านการสอบมากกว่าหนึ่งครั้ง และใช้เวลาไม่น้อยในการเตรียมตัวสอบด้วยการติวเข้มตามร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารต่างๆ ร.ร.กวดวิชาเหล่านี้จึงกลายเป็นทั้งความหวัง และหายนะของทั้งผู้ปกครองและนักเรียนจำนวนมากไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะปัจจุบันไม่มีการควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอนของร.ร.เหล่านี้

ช่วงชิงชัยฝันกับร.ร.กวดวิชา
การช่วงชิงชัยความฝันของเด็กหนุ่มหลายคนจึงทั้งยาก และท้าทายในเวลาเดียวกัน เพราะพวกเขาไม่เพียงต้องผ่านด่านแข็งทางวิชาการเท่านั้น แต่ด่านทดสอบด้านร่างกาย บุคลิกภาพ และจิตใจก็ต้องการความเข้มแข็ง แกร่ง ไม่น้อยไปกว่ากัน ทว่าการพัฒนาให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ร.ร.แต่ละเหล่าทัพต้องการนั้น ต้องทุ่มเททั้งเวลา ความพากเพียร และสติปัญญา ร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารจำนวนมากจึงเกิดขึ้นเพื่อสานฝันของเด็กหนุ่มเหล่านี้
ความฝันที่จะได้เป็นผู้พิทักษ์กฎหมายและผืนแผ่นดินไทยของเด็กหนุ่มหลายคนจึงฝากไว้กับคอร์สติวเข้มเข้าเตรียมทหารหลากหลายแบบ ทั้งแบบเข้าค่ายอยู่ประจำทั้งปี เข้าค่ายเฉพาะเดือนตุลา-มีนา-เมษา ติวเข้มเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หรือจะเลือกเรียนทางไปรษณีย์-อินเทอร์เน็ตก็ได้ ด้วยสนนราคาตั้งแต่หลักพันสำหรับคอร์สสั้นๆ จนถึงหลักแสนต้นๆ สำหรับการเข้าค่ายทั้งปี ยิ่งกว่านั้นยังเลือกที่เรียนได้ตามความพอใจ ความสะดวก เพราะปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารกระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่
ทว่าการหาร.ร.กวดวิชาดีๆสักแห่งกลับเป็นโจทย์แรกเริ่มที่ยากสุดของทั้งผู้ปกครองและนักเรียน ซึ่งกรณีนี้ พล.ต.พอพล มณีรินทร์ ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร แนะว่าก่อนที่ผู้ปกครองและนักเรียนจะเลือกร.ร.กวดวิชานั้น จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน และการสร้างความสนใจในเด็กนักเรียน ส่วนเนื้อหา บทเรียนแต่ละที่ไม่ต่างกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่เน้นเนื้อหาของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามปัจจัยชี้ขาดว่านักเรียนคนไหนจะสอบติด-ไม่ติดอยู่ที่ความสามารถ ความพร้อมของนักเรียนมากกว่า เพราะร.ร.กวดวิชาจะช่วยให้เด็กรู้เทคนิคการทำข้อสอบ และมีทักษะ ความพร้อมเบื้องต้นในการใช้ชีวิตแบบทหารที่ต้องการความอดทน และเคร่งครัดในระเบียบวินัยมากกว่านักเรียนทั่วไป ซึ่งส่วนนี้ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากในแต่ละปีมีนักเรียนไม่น้อยกว่าห้า-หกคนที่สอบผ่านเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ แต่ต้องออกกลางคัน เนื่องจากปรับตัวเข้ากับการเรียนการสอนเข้มข้นแบบทหารไม่ได้
สอดคล้องกับคำบอกเล่าของนักเรียนหลายคนจากหลากร.ร.กวดวิชา ที่ให้เหตุผลในการเลือกติวเข้มเข้าเตรียมทหารว่า เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และรู้เทคนิคพิชิตข้อสอบ เนื่องจากแต่ละปีมีผู้สอบเข้าแข่งขันจำนวนมาก การอ่านหนังสือเองจึงกลัวไม่ทัน และไม่รู้จะอ่านส่วนไหน อีกทั้งยังต้องพะวงกับการเตรียมพร้อมร่างกายให้พร้อมกับการทดสอบด้วย นอกจากนั้นการเข้าค่ายติวเข้ม ยังทำให้รู้ว่าตัวเองชอบ-ไม่ชอบ เหมาะ-ไม่เหมาะกับระเบียบวินัยที่เคร่งครัด และการใช้ชีวิตทรหดแบบทหารด้วย
ส่วนการเลือกสถานที่เรียนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบบปากต่อปาก โดยได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่ที่เคยเข้าไปเรียน หรือไม่ก็อาจารย์แนะแนว อีกส่วนหนึ่งก็ตัดสินใจจากคำโฆษณาสวยหรูในโบร์ชัวร์-อินเทอร์เน็ต ซึ่งเด็กส่วนนี้หลายคนต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคำโฆษณาตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ ทั้งอาจารย์ เนื้อหา บรรยากาศ และกฎระเบียบ เรื่อยเลยไปถึงสภาพแวดล้อมที่ชวนให้หนีเที่ยวมากกว่าคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ เสริมสร้างสมมรถภาพกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการอ้างรับรองผลสอบติด 100%

รับรองผล 100% ติดเบ็ด 100%
ไม่เพียงเงินค่าเรียนจำนวนมากที่ผู้ปกครองต้องยอมจ่ายให้ร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารเพื่อให้ลูกหลานได้แค่ ‘ลุ้น’ สอบติดเท่านั้น แต่หลายครั้งพวกเขายังเสียเปรียบร.ร.บางแห่งที่เห็นแก่ได้ โฆษณาเกินจริง ไร้จรรยาบรรณ และไร้ประสิทธิภาพในการสอน โดยเฉพาะการวางกับดักหลุมพรางมากประสิทธิภาพด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่า ‘นักเรียนทุกคนที่เรียนกับเขาจะสอบติด 100%’
ดั่งที่พล.ต.พอพล อธิบายว่าร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารที่โฆษณาว่านักเรียนทุกคนจะสอบติด 100% แล้วเรียกเก็บเงินแพงๆนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง ไม่จริง ไม่มีที่ไหนทำได้ เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ‘ตกเบ็ด’ ผู้ปกครอง นักเรียนให้ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อเข้าไปเรียนเท่านั้น
“วิธีการที่ร.ร.กวดวิชาเหล่านี้นิยมใช้คือการเลือกรับนักเรียนที่เรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 3.8-3.9 มีแนวโน้มจะสอบติดอยู่แล้วเข้าเรียน ซึ่งความจริงนักเรียนกลุ่มนี้ไม่ต้องเรียนกับเขาก็มีเปอร์เซ็นต์สอบติดสูงอยู่แล้ว ส่วนนักเรียนที่เรียนอ่อน เขาก็จะไม่รับเข้าเรียน ซึ่งถ้านักเรียนคนไหนสอบติดเขาก็จะใช้ชื่อเด็กคนนั้นมาโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงเรียนของเขาต่อ แต่ถ้าเด็กเกิดสอบไม่ติด เขาก็จะให้เรียนซ้ำ หรือไม่ก็คืนเงินค่าเรียนให้ครึ่งหนึ่งอย่างมาก”
ด้านแหล่งข่าวที่เป็นอาจารย์ผู้อยู่ในแวดวงติวเข้มเข้าเตรียมทหารมาเกือบสองทศวรรษเล่าว่า ปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเหล่ามากขึ้น จึงส่งผลให้การตรวจสอบคุณภาพการเรียนการสอนร.ร.ทุกแห่งเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งไม่มีหน่วยงานเป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบอย่างจริงจัง จึงกลายเป็นช่องว่างให้ร.ร.หลายแห่งใช้คำโฆษณาสวยหรูหลอกล่อดึงเงินจำนวนมากจากกระเป๋าผู้ปกครอง
การจะหาร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารดีๆสักแห่ง จึงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร และหลายครั้งไม่เพียงจะต้องลองผิดลองถูกด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเท่านั้น แต่หลายรายยังเสียความรู้สึกกับระบบทหารไปเลย เพราะเข้าใจว่าร.ร.กวดวิชาเหล่านี้เป็นของกองทัพ เพราะเห็นรายชื่ออาจารย์ หรือที่ปรึกษาเป็นนายทหารยศสูงๆ
แหล่งข่าวเดิมเล่าต่อว่า สิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ รายชื่ออาจารย์ที่สอน เพราะมีร.ร.หลายแห่งที่รายชื่ออาจารย์น่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อตรวจสอบลึกลงไปจะพบว่ารายชื่ออาจารย์เหล่านั้นเพียงเอามาแปะไว้เท่านั้น ไม่ได้สอนจริงแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นอาจารย์บางคนยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมสมัยสอนในร.ร.เตรียมทหารหรือสี่เหล่าทัพ จึงโดนให้ออก จึงต้องมาตั้งร.ร.กวดวิชาประกอบอาชีพแทนด้วย
“ส่วนโรงเรียนกวดววิชาที่รับรองผลว่านักเรียนจะสอบติด 100% นั้นเป็นการตกเบ็ดผู้ปกครอง เพราะอยู่วงการนี้มากว่า 19 ปีแล้ว ยังไม่พบโรงเรียนไหนทำอย่างที่อ้างได้เลย แต่ยังมีบางแห่งพยายามหลอกให้ผู้ปกครองจ่ายเงินจำนวนมาก โดยรับปากว่าลูกจะสอบติดแน่นอน พร้อมทั้งให้ดูตัวอย่างเด็กที่เรียนจากที่นั่นแล้วสอบติด ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วเด็กเหล่านั้นสอบได้เองมากกว่า โดยโรงเรียนกวดวิชาเพียงช่วยแนะแนวในเรื่องเทคนิคการทำข้อสอบ และการเตรียมพร้อมร่างกายเท่านั้น แต่โรงเรียนเหล่านั้นพยายามอ้างว่าเด็กสอบติดเพราะได้เรียนที่นั่น แม้เด็กจะไม่เอาไหน ไม่ขยัน ร่างกายไม่พร้อมก็สามารถสอบติดได้”

เทคนิคเบื้องต้น เลือกร.ร.กวดวิชา
ปัจจุบันเด็กหนุ่มที่เลือกสอบเข้าร.ร.เตรียมทหารส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ใช่เด็กกรุงเทพฯดั่งที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้นการเข้ามาศึกษาต่อในร.ร.กวดวิชาในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ จึงต้องใช้เงินจำนวนมาก หลายครั้งพ่อแม่ผู้ปกครองต้องกู้หนี้ยืมสิน ด้วยหวังจะให้ลูกมีดาวติดบ่า แต่หลายคราวเช่นกันที่ผู้ปกครองเหล่านั้นต้องพบกับความปวดร้าวผิดหวัง ด้วยร.ร.กวดวิชาที่ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนนั้น ‘แย่’ ยิ่งกว่าให้ลูกอ่านหนังสือเองที่บ้านเสียอีก
แหล่งข่าวที่เป็นทั้งเจ้าของและอาจารย์ร.ร.กวดวิชาแห่งหนึ่งแนะเทคนิคเบื้องต้นในการคัดกรองร.ร.กวดวิชาสำหรับผู้ปกครองว่าด้วยปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเปิดจำนวนมาก จึงเป็นช่องว่างให้เกิดการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวง ไร้คุณภาพ ขาดการดูแลเอาใจใส่ และราคาแพงไม่คุ้มกับความรู้และบริการที่นักเรียนจะได้รับ การตัดสินใจเลือกร.ร.กวดวิชาจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญด้านผู้บริหาร คณาจารย์ ห้องเรียน ที่พัก การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย
“สิ่งสำคัญผู้ปกครองควรจะไปดูสถานที่จริงของร.ร.กวดวิชานั้นๆว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้เด็กไปกันเอง ต้องดูว่าสถานที่เรียนเป็นอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหน ไกลสถานที่สอบมากไปไหม และต้องพยายามพูดคุยซักถามเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนกับอาจารย์ หรือเจ้าของ เพื่อดูวิสัยทัศน์ในการทำงาน เพราะร.ร.กวดวิชาบางแห่งเห็นแก่ได้ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ชอบพูดแต่เรื่องค่าใช้จ่าย งร.ร.ประเภทนี้ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงที่สุด เพราะไม่เพียงจะเสียเงินเท่านั้น แต่จะเสียความรู้สึกตามมาอีก”

รู้จักร.ร.เตรียมทหาร ก่อนสอบ
กว่า 47 รุ่นที่ร.ร.เตรียมทหารเป็นสถาบันผลิตนักเรียนเพื่อเข้าเรียนต่อยังโรงเรียนนายร้อยของแต่ละเหล่า ทั้งนายเรือ นายเรืออากาศ นายร้อยตำรวจ และนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยนักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ ฝึกฝนระเบียบวินัย เสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ บุคลิภาพ และมีความรู้ทางวิชาการเป็นอย่างดี เพื่อก้าวสู่การเป็นนายร้อยหนุ่มผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
ทั้งนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าร.ร.เตรียมทหารนั้น ทางร.ร.แต่ละเหล่าทัพจะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก และกำหนดจำนวนรับนักเรียนเตรียมทหารเอง โดยข้อสอบของแต่ละเหล่าทัพจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแต่ละปีจะส่งมาเรียนรวมกันที่ร.ร.เตรียมทหาร 3 ปีก่อน ครั้นสำเร็จการศึกษาแล้ว จึงค่อยไปศึกษาต่อในร.ร.ทหาร-ตำรวจ ตามที่นักเรียนสมัครสอบไว้แต่แรก
คุณสมบัติของผู้สมัครเข้าศึกษาในร.ร.เตรียมทหาร (หลักสูตร 3 ปี) ต้องสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ หรือเทียบเท่า (ผู้ที่เกิด พ.ศ. 2531- 2534 สำหรับการสอบในปีนี้) อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดา มารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
ในการสอบคัดเลือก รอบแรกจะสอบ 5 วิชาหลัก คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคม ส่วนรอบสองจะคัดผู้ที่มีคะแนนสูงเพื่อทดสอบสมรรถภาพร่างกาย บุคลิกภาพ ทัศนคติ และการตรวจร่างกาย ทั้งนี้ในการสอบพลศึกษาจะเป็นการประเมินความแข็งแรง ความอดทน ความคล่องตัวของร่างกาย โดยจะมี 8 ด่านทดสอบ คือ ลุกนั่ง 30 วินาที, นั่งงอตัว, ดึงข้อ, ยืนกระโดด, วิ่งกลับตัว, วิ่ง 50 เมตร, ว่ายน้ำ 50 เมตร และวิ่ง 1,000 เมตร
โดยคิดเป็นคะแนนการสอบพลศึกษา 100 คะแนน เพื่อนำไปรวมกับคะแนนสอบภาควิชาการ 700 คะแนน เป็นคะแนนสอบรวม 800 คะแนน ซึ่งจะนำคะแนนสอบรวมที่ได้ไปจัดลำดับที่ใหม่ เพื่อประกาศผลการสอบสุดท้ายต่อไป
ทั้งนี้ใบสมัครจะจำหน่ายประมาณกลางเดือนมกราคม สมัครสอบประมาณกลางเดือน มีนาคม และสอบคัดเลือกประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี สงสัยติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ รร.ตท. 02-572-5190 (แผนกสารนิเทศ) ในวันและเวลาราชการ
วันทยาวุธ... เรียบอาวุธ... ตามระเบียบพัก.. แถวตรง... เลิกแถว
กังวานทึบ แน่น พร้อมเพรียงจากรองเท้าบู๊ทนักเรียนเตรียมทหารหลายร้อยคู่ท่ามกลางไอร้อนและเปลวแดด สอดผสานท่วงทำนองเข้มแข็ง ดุดันจากชุดคำสั่งของครูฝึกในการฝึกระเบียบแถว เป็นเสน่ห์ที่เด็กหนุ่มหลายคนอยากเข้าไปชิดใกล้สัมผัส นอกเหนือไปจากเครื่องแบบสุดเท่ และการได้ใช้ชีวิตเยี่ยง ‘ลูกผู้ชายตัวจริง’ ที่มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต
ทว่าเส้นทางการเป็น ‘นายร้อยหนุ่ม’ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือปูอยู่บนพรมแดง เมื่อด่านแรกเด็กหนุ่มทุกคนต้องเผชิญกับสนามแข่งขันที่ขับเคี่ยวกันสูงกว่า 150:1 ด้วยแต่ละปีจะมีผู้สมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในแต่ละเหล่ากว่า 20,000 คน ขณะที่ทั้งสี่เหล่ารวมกันรับได้ประมาณ 500 คนเท่านั้น และถ้าผ่านไปได้ ด่านต่อไปนักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ ฝึกฝน หลอมหล่อชีวิตลูกผู้ชายในร.ร.เตรียมทหาร 3 ปี และอีก 4 ปีในร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ ตามแต่ที่ละคนตั้งความฝันเอาไว้
ยิ่งกว่านั้นนักเรียนหลายคนกว่าจะได้สวมชุดนักเรียนเตรียมทหาร และมี ‘นตท.’ นำหน้าชื่อต้องผ่านการสอบมากกว่าหนึ่งครั้ง และใช้เวลาไม่น้อยในการเตรียมตัวสอบด้วยการติวเข้มตามร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารต่างๆ ร.ร.กวดวิชาเหล่านี้จึงกลายเป็นทั้งความหวัง และหายนะของทั้งผู้ปกครองและนักเรียนจำนวนมากไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะปัจจุบันไม่มีการควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอนของร.ร.เหล่านี้
ช่วงชิงชัยฝันกับร.ร.กวดวิชา
การช่วงชิงชัยความฝันของเด็กหนุ่มหลายคนจึงทั้งยาก และท้าทายในเวลาเดียวกัน เพราะพวกเขาไม่เพียงต้องผ่านด่านแข็งทางวิชาการเท่านั้น แต่ด่านทดสอบด้านร่างกาย บุคลิกภาพ และจิตใจก็ต้องการความเข้มแข็ง แกร่ง ไม่น้อยไปกว่ากัน ทว่าการพัฒนาให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ร.ร.แต่ละเหล่าทัพต้องการนั้น ต้องทุ่มเททั้งเวลา ความพากเพียร และสติปัญญา ร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารจำนวนมากจึงเกิดขึ้นเพื่อสานฝันของเด็กหนุ่มเหล่านี้
ความฝันที่จะได้เป็นผู้พิทักษ์กฎหมายและผืนแผ่นดินไทยของเด็กหนุ่มหลายคนจึงฝากไว้กับคอร์สติวเข้มเข้าเตรียมทหารหลากหลายแบบ ทั้งแบบเข้าค่ายอยู่ประจำทั้งปี เข้าค่ายเฉพาะเดือนตุลา-มีนา-เมษา ติวเข้มเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หรือจะเลือกเรียนทางไปรษณีย์-อินเทอร์เน็ตก็ได้ ด้วยสนนราคาตั้งแต่หลักพันสำหรับคอร์สสั้นๆ จนถึงหลักแสนต้นๆ สำหรับการเข้าค่ายทั้งปี ยิ่งกว่านั้นยังเลือกที่เรียนได้ตามความพอใจ ความสะดวก เพราะปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารกระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่
ทว่าการหาร.ร.กวดวิชาดีๆสักแห่งกลับเป็นโจทย์แรกเริ่มที่ยากสุดของทั้งผู้ปกครองและนักเรียน ซึ่งกรณีนี้ พล.ต.พอพล มณีรินทร์ ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร แนะว่าก่อนที่ผู้ปกครองและนักเรียนจะเลือกร.ร.กวดวิชานั้น จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน และการสร้างความสนใจในเด็กนักเรียน ส่วนเนื้อหา บทเรียนแต่ละที่ไม่ต่างกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่เน้นเนื้อหาของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามปัจจัยชี้ขาดว่านักเรียนคนไหนจะสอบติด-ไม่ติดอยู่ที่ความสามารถ ความพร้อมของนักเรียนมากกว่า เพราะร.ร.กวดวิชาจะช่วยให้เด็กรู้เทคนิคการทำข้อสอบ และมีทักษะ ความพร้อมเบื้องต้นในการใช้ชีวิตแบบทหารที่ต้องการความอดทน และเคร่งครัดในระเบียบวินัยมากกว่านักเรียนทั่วไป ซึ่งส่วนนี้ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากในแต่ละปีมีนักเรียนไม่น้อยกว่าห้า-หกคนที่สอบผ่านเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ แต่ต้องออกกลางคัน เนื่องจากปรับตัวเข้ากับการเรียนการสอนเข้มข้นแบบทหารไม่ได้
สอดคล้องกับคำบอกเล่าของนักเรียนหลายคนจากหลากร.ร.กวดวิชา ที่ให้เหตุผลในการเลือกติวเข้มเข้าเตรียมทหารว่า เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และรู้เทคนิคพิชิตข้อสอบ เนื่องจากแต่ละปีมีผู้สอบเข้าแข่งขันจำนวนมาก การอ่านหนังสือเองจึงกลัวไม่ทัน และไม่รู้จะอ่านส่วนไหน อีกทั้งยังต้องพะวงกับการเตรียมพร้อมร่างกายให้พร้อมกับการทดสอบด้วย นอกจากนั้นการเข้าค่ายติวเข้ม ยังทำให้รู้ว่าตัวเองชอบ-ไม่ชอบ เหมาะ-ไม่เหมาะกับระเบียบวินัยที่เคร่งครัด และการใช้ชีวิตทรหดแบบทหารด้วย
ส่วนการเลือกสถานที่เรียนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบบปากต่อปาก โดยได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่ที่เคยเข้าไปเรียน หรือไม่ก็อาจารย์แนะแนว อีกส่วนหนึ่งก็ตัดสินใจจากคำโฆษณาสวยหรูในโบร์ชัวร์-อินเทอร์เน็ต ซึ่งเด็กส่วนนี้หลายคนต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคำโฆษณาตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ ทั้งอาจารย์ เนื้อหา บรรยากาศ และกฎระเบียบ เรื่อยเลยไปถึงสภาพแวดล้อมที่ชวนให้หนีเที่ยวมากกว่าคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ เสริมสร้างสมมรถภาพกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการอ้างรับรองผลสอบติด 100%
รับรองผล 100% ติดเบ็ด 100%
ไม่เพียงเงินค่าเรียนจำนวนมากที่ผู้ปกครองต้องยอมจ่ายให้ร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารเพื่อให้ลูกหลานได้แค่ ‘ลุ้น’ สอบติดเท่านั้น แต่หลายครั้งพวกเขายังเสียเปรียบร.ร.บางแห่งที่เห็นแก่ได้ โฆษณาเกินจริง ไร้จรรยาบรรณ และไร้ประสิทธิภาพในการสอน โดยเฉพาะการวางกับดักหลุมพรางมากประสิทธิภาพด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่า ‘นักเรียนทุกคนที่เรียนกับเขาจะสอบติด 100%’
ดั่งที่พล.ต.พอพล อธิบายว่าร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารที่โฆษณาว่านักเรียนทุกคนจะสอบติด 100% แล้วเรียกเก็บเงินแพงๆนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง ไม่จริง ไม่มีที่ไหนทำได้ เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ‘ตกเบ็ด’ ผู้ปกครอง นักเรียนให้ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อเข้าไปเรียนเท่านั้น
“วิธีการที่ร.ร.กวดวิชาเหล่านี้นิยมใช้คือการเลือกรับนักเรียนที่เรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 3.8-3.9 มีแนวโน้มจะสอบติดอยู่แล้วเข้าเรียน ซึ่งความจริงนักเรียนกลุ่มนี้ไม่ต้องเรียนกับเขาก็มีเปอร์เซ็นต์สอบติดสูงอยู่แล้ว ส่วนนักเรียนที่เรียนอ่อน เขาก็จะไม่รับเข้าเรียน ซึ่งถ้านักเรียนคนไหนสอบติดเขาก็จะใช้ชื่อเด็กคนนั้นมาโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงเรียนของเขาต่อ แต่ถ้าเด็กเกิดสอบไม่ติด เขาก็จะให้เรียนซ้ำ หรือไม่ก็คืนเงินค่าเรียนให้ครึ่งหนึ่งอย่างมาก”
ด้านแหล่งข่าวที่เป็นอาจารย์ผู้อยู่ในแวดวงติวเข้มเข้าเตรียมทหารมาเกือบสองทศวรรษเล่าว่า ปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเหล่ามากขึ้น จึงส่งผลให้การตรวจสอบคุณภาพการเรียนการสอนร.ร.ทุกแห่งเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งไม่มีหน่วยงานเป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบอย่างจริงจัง จึงกลายเป็นช่องว่างให้ร.ร.หลายแห่งใช้คำโฆษณาสวยหรูหลอกล่อดึงเงินจำนวนมากจากกระเป๋าผู้ปกครอง
การจะหาร.ร.กวดวิชาเข้าเตรียมทหารดีๆสักแห่ง จึงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร และหลายครั้งไม่เพียงจะต้องลองผิดลองถูกด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเท่านั้น แต่หลายรายยังเสียความรู้สึกกับระบบทหารไปเลย เพราะเข้าใจว่าร.ร.กวดวิชาเหล่านี้เป็นของกองทัพ เพราะเห็นรายชื่ออาจารย์ หรือที่ปรึกษาเป็นนายทหารยศสูงๆ
แหล่งข่าวเดิมเล่าต่อว่า สิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ รายชื่ออาจารย์ที่สอน เพราะมีร.ร.หลายแห่งที่รายชื่ออาจารย์น่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อตรวจสอบลึกลงไปจะพบว่ารายชื่ออาจารย์เหล่านั้นเพียงเอามาแปะไว้เท่านั้น ไม่ได้สอนจริงแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นอาจารย์บางคนยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมสมัยสอนในร.ร.เตรียมทหารหรือสี่เหล่าทัพ จึงโดนให้ออก จึงต้องมาตั้งร.ร.กวดวิชาประกอบอาชีพแทนด้วย
“ส่วนโรงเรียนกวดววิชาที่รับรองผลว่านักเรียนจะสอบติด 100% นั้นเป็นการตกเบ็ดผู้ปกครอง เพราะอยู่วงการนี้มากว่า 19 ปีแล้ว ยังไม่พบโรงเรียนไหนทำอย่างที่อ้างได้เลย แต่ยังมีบางแห่งพยายามหลอกให้ผู้ปกครองจ่ายเงินจำนวนมาก โดยรับปากว่าลูกจะสอบติดแน่นอน พร้อมทั้งให้ดูตัวอย่างเด็กที่เรียนจากที่นั่นแล้วสอบติด ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วเด็กเหล่านั้นสอบได้เองมากกว่า โดยโรงเรียนกวดวิชาเพียงช่วยแนะแนวในเรื่องเทคนิคการทำข้อสอบ และการเตรียมพร้อมร่างกายเท่านั้น แต่โรงเรียนเหล่านั้นพยายามอ้างว่าเด็กสอบติดเพราะได้เรียนที่นั่น แม้เด็กจะไม่เอาไหน ไม่ขยัน ร่างกายไม่พร้อมก็สามารถสอบติดได้”
เทคนิคเบื้องต้น เลือกร.ร.กวดวิชา
ปัจจุบันเด็กหนุ่มที่เลือกสอบเข้าร.ร.เตรียมทหารส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ใช่เด็กกรุงเทพฯดั่งที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้นการเข้ามาศึกษาต่อในร.ร.กวดวิชาในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ จึงต้องใช้เงินจำนวนมาก หลายครั้งพ่อแม่ผู้ปกครองต้องกู้หนี้ยืมสิน ด้วยหวังจะให้ลูกมีดาวติดบ่า แต่หลายคราวเช่นกันที่ผู้ปกครองเหล่านั้นต้องพบกับความปวดร้าวผิดหวัง ด้วยร.ร.กวดวิชาที่ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนนั้น ‘แย่’ ยิ่งกว่าให้ลูกอ่านหนังสือเองที่บ้านเสียอีก
แหล่งข่าวที่เป็นทั้งเจ้าของและอาจารย์ร.ร.กวดวิชาแห่งหนึ่งแนะเทคนิคเบื้องต้นในการคัดกรองร.ร.กวดวิชาสำหรับผู้ปกครองว่าด้วยปัจจุบันมีร.ร.กวดวิชาเปิดจำนวนมาก จึงเป็นช่องว่างให้เกิดการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวง ไร้คุณภาพ ขาดการดูแลเอาใจใส่ และราคาแพงไม่คุ้มกับความรู้และบริการที่นักเรียนจะได้รับ การตัดสินใจเลือกร.ร.กวดวิชาจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญด้านผู้บริหาร คณาจารย์ ห้องเรียน ที่พัก การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย
“สิ่งสำคัญผู้ปกครองควรจะไปดูสถานที่จริงของร.ร.กวดวิชานั้นๆว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้เด็กไปกันเอง ต้องดูว่าสถานที่เรียนเป็นอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหน ไกลสถานที่สอบมากไปไหม และต้องพยายามพูดคุยซักถามเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนกับอาจารย์ หรือเจ้าของ เพื่อดูวิสัยทัศน์ในการทำงาน เพราะร.ร.กวดวิชาบางแห่งเห็นแก่ได้ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ชอบพูดแต่เรื่องค่าใช้จ่าย งร.ร.ประเภทนี้ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงที่สุด เพราะไม่เพียงจะเสียเงินเท่านั้น แต่จะเสียความรู้สึกตามมาอีก”
รู้จักร.ร.เตรียมทหาร ก่อนสอบ
กว่า 47 รุ่นที่ร.ร.เตรียมทหารเป็นสถาบันผลิตนักเรียนเพื่อเข้าเรียนต่อยังโรงเรียนนายร้อยของแต่ละเหล่า ทั้งนายเรือ นายเรืออากาศ นายร้อยตำรวจ และนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยนักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ ฝึกฝนระเบียบวินัย เสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ บุคลิภาพ และมีความรู้ทางวิชาการเป็นอย่างดี เพื่อก้าวสู่การเป็นนายร้อยหนุ่มผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
ทั้งนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าร.ร.เตรียมทหารนั้น ทางร.ร.แต่ละเหล่าทัพจะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก และกำหนดจำนวนรับนักเรียนเตรียมทหารเอง โดยข้อสอบของแต่ละเหล่าทัพจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแต่ละปีจะส่งมาเรียนรวมกันที่ร.ร.เตรียมทหาร 3 ปีก่อน ครั้นสำเร็จการศึกษาแล้ว จึงค่อยไปศึกษาต่อในร.ร.ทหาร-ตำรวจ ตามที่นักเรียนสมัครสอบไว้แต่แรก
คุณสมบัติของผู้สมัครเข้าศึกษาในร.ร.เตรียมทหาร (หลักสูตร 3 ปี) ต้องสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ หรือเทียบเท่า (ผู้ที่เกิด พ.ศ. 2531- 2534 สำหรับการสอบในปีนี้) อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดา มารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
ในการสอบคัดเลือก รอบแรกจะสอบ 5 วิชาหลัก คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคม ส่วนรอบสองจะคัดผู้ที่มีคะแนนสูงเพื่อทดสอบสมรรถภาพร่างกาย บุคลิกภาพ ทัศนคติ และการตรวจร่างกาย ทั้งนี้ในการสอบพลศึกษาจะเป็นการประเมินความแข็งแรง ความอดทน ความคล่องตัวของร่างกาย โดยจะมี 8 ด่านทดสอบ คือ ลุกนั่ง 30 วินาที, นั่งงอตัว, ดึงข้อ, ยืนกระโดด, วิ่งกลับตัว, วิ่ง 50 เมตร, ว่ายน้ำ 50 เมตร และวิ่ง 1,000 เมตร
โดยคิดเป็นคะแนนการสอบพลศึกษา 100 คะแนน เพื่อนำไปรวมกับคะแนนสอบภาควิชาการ 700 คะแนน เป็นคะแนนสอบรวม 800 คะแนน ซึ่งจะนำคะแนนสอบรวมที่ได้ไปจัดลำดับที่ใหม่ เพื่อประกาศผลการสอบสุดท้ายต่อไป
ทั้งนี้ใบสมัครจะจำหน่ายประมาณกลางเดือนมกราคม สมัครสอบประมาณกลางเดือน มีนาคม และสอบคัดเลือกประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี สงสัยติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ รร.ตท. 02-572-5190 (แผนกสารนิเทศ) ในวันและเวลาราชการ