xs
xsm
sm
md
lg

4 ปีการศึกษายุคทักษิณ “พอเพียง ทั่วถึง คุณภาพและเงินแสนล."

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นอันเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ(Workshop) ด้านการศึกษา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน รับฟังความคิดเห็นจากครู นักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษา ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 25-26 ก.พ.ที่ผ่านมา

หลังจบการประชุม นายกรัฐมนตรีประกาศทุ่มงบประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณนอกเหนืองบฯ ปกติให้แก่การศึกษา สำหรับใช้ในอีก 4 ปีข้างหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เคาะแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาการศึกษาหลักๆ ออกมาหลายเรื่องด้วยกัน

โรงเรียน
เรื่องที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน คือการขาดแคลนอาคารเรียน ในส่วนของอาคารเรียนนั้น เป็นปัญหาสะสมมานานนับ 10 ปี โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะให้มีการก่อสร้างอาคารเรียนขึ้นใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระหว่างปี 2549-2552 จำนวน 14,864 หลัง ด้วยงบประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกถึงงบฯ จำนวนดังกล่าวว่า “พอหาได้”

ส่วนอาคารเรียนเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมนั้น จะมีการซ่อมแซม ปรับปรุงระบบไฟฟ้าและห้องน้ำ รวมประมาณ 20,000 โรงเรียน ด้วยวงเงิน 3.8 พันล้านบาท

นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จัดสรรคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน และคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารจัดการให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ โดยกำหนดสัดส่วนคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอน 1 เครื่องต่อนักเรียน 15 คน ซึ่ง สพฐ.จะต้องจัดหาทั้งหมด 593,000 เครื่อง บวกกับคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารจัดการที่ต้องจัดหาเพิ่มอีก 48,621 เครื่อง โดยเบื้องต้นให้จัดหาให้ทั่วถึงทั้งประเทศก่อนในระยะเวลา 2 ปี คือ ให้โรงเรียนแต่ละแห่งมีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 1 ห้องต่อ 1 โรงเรียน และใน 1 ห้องเรียนต้องมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างน้อย 1 เครื่อง เพราะหากให้ สพฐ.จัดหาคอมพ์ฯ 6 แสนกว่าเครื่อง ในระยะเวลา 2 ปีนั้นคงไม่สามารถทำได้ทัน

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ค่าใช้จ่ายในการใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนทั้งหมด ต้องใช้งบประมาณสูงมาก จึงควรทำ Highspeed Broadband เพื่อการศึกษาเอง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินไม่มาก และจะเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะการซ่อมบำรุงเท่านั้น

ส่วนโครงการด้านการศึกษาที่รัฐบาลที่แล้วดำเนินการไว้ เช่น โรงเรียนในฝัน จะมีการพัฒนาโรงเรียนในฝันทั้งหมดให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วและต่อไปจะขยายโรงเรียนในฝันไปยังระดับตำบล ขณะที่การศึกษาระดับอุดมศึกษาจะนำระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต(ICL) มาใช้ในปี 2549 ส่วนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะมีการจัดสรรทุนการศึกษาเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่รัฐได้จัดให้อยู่แล้วแต่ยังไม่ทั่วถึงและจะนำเอาสมาร์ทการ์ดมาใช้กับนักเรียน เพื่อบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ในการลงทะเบียนเข้าเรียนในสถานศึกษาที่นักเรียนประสงค์จะเข้าเรียน โดยจะจัดเงินอุดหนุนรายหัวไปตามอุปสงค์ของผู้เรียน

ครู
ส่วนแนวทางการช่วยเหลือและพัฒนาครูนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีนโยบายหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ที่ระบุว่า “มีวิธีการไว้แล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน” ซึ่งนายกฯ แย้มๆ ไว้ว่าเป็นการแก้ปัญหาความยากจนของคนทั้งประเทศ แต่ของครูนั้นมีรูปแบบพิเศษและต้องอุบไว้เพื่อป้องกันนักวิชาการวิจารณ์

นอกจากปัญหาหนี้สินครูแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังต้องการให้ สพฐ.ดำเนินการลดภาระงานธุรการและงานเกี่ยวกับการเรียนการสอนของครูลง โดยให้จัดสรรอัตราบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษามาทำหน้าที่ธุรการแทนครูผู้สอนร้อยละ 10 จำนวนครูผู้สอน รวมทั้งให้ สพฐ.มีแนวทางจัดทำแผนการสอนตามจุดเน้นของหลักสูตร เพื่อเป็นตัวอย่างกับครู เพื่อครูจะได้ไม่ต้องคิดแผนการสอนเองเป็นการลดภาระงานของครูอีกทางหนึ่ง

สำหรับปัญหาการขาดแคลนครูจะมีการวิเคราะห์ว่ามีครูสาขาใดขาดแคลนเท่าไหร่ โดยพิจารณาตามสภาพภูมิศาสตร์ด้วย ซึ่งจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยปัจจุบันมีจำนวนครูขาดแคลนถึง 69,264 คน

ขณะที่การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาก็จะมีการจัดหลักสูตรอบรมผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำและการบริหารจัดการให้ด้วย

เด็ก
พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความสนใจเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ซึ่งรัฐจะจัดของขวัญให้แก่เด็กที่เกิดใหม่ ตั้งแต่ 28 ก.ค.2548 เป็นต้นไป โดยมีของขวัญให้ 4 ชิ้น ได้แก่ คู่มือเลี้ยงลูก เพลงกล่อมเด็ก คู่มือสอนลูกและของเล่นฝึกประสาทสัมผัส ทั้งนี้ สำหรับการจัดการศึกษาปฐมวัย พ.ต.ท.ทักษิณ มีแนวคิด 2 ทาง ได้แก่ แนวคิดแรก จัดการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมสติปัญญา โดยเน้นการเล่นและทำกิจกรรม ส่วนแนวทางที่ 2 เน้นการฝึกอ่านและเขียน รวมทั้งการคิดเลข โดยนายกฯ ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการทำวิจัย เพื่อค้นหาประสิทธิผลของวิธีการทั้งสอง และจะได้นำมาใช้กับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยต่อไป

ส่วนวิธีการประเมินผลที่ สพฐ.ยกเลิกการสอบตกซ้ำชั้นไปแล้ว นั้น นายกฯ เห็นว่าหากนักเรียนสอบไม่ผ่านบางรายวิชาจะต้องมีการซ่อมเสริมให้ได้คุณภาพ แต่หากซ่อมแล้วยังไม่ผ่าน ก็เห็นว่าน่าจะให้เด็กซ้ำชั้นได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว สพฐ.ต้องไปหาข้อสรุปต่อไป

ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษ นายกฯ ให้แนวทางว่า ควรส่งเสริมการเรียนรู้ให้เหมาะกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก(Brian-based Learning) ผลการวิจัย พบว่า เด็กในช่วงวัย 3-6 ปี สามารถเรียนรู้ ทางด้านภาษาได้อย่างรวดเร็ว จึงควรเริ่มสอนภาษาตั้งแต่ระดับอนุบาล

“การจัดการศึกษาจากนี้ไปจะเน้นความเพียงพอ ทั่วถึงและคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความพอเพียงของโรงเรียน โดยพิจารณาจากจำนวนโรงเรียนที่สามารถรับนักเรียนในแต่ละพื้นที่ ความครอบคลุมของพื้นที่การให้บริการ ซึ่งต่อไปต้องไม่มีเด็กตกหล่นหรือเข้าไม่ถึงบริการการศึกษาและสามารถวางแผนปรับปรุงคุณภาพให้โรงเรียนต่างๆ มีคุณภาพเท่าเทียมกันได้ โดยใน4 ปีนี้จะลงทุน 100,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้”

ส่วนปัญหาในกระแสที่ยังหาข้อยุติไม่ได้นั้น พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ให้คำตอบมาแล้วเช่นกัน โดยเรื่องค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ให้ถือว่าครูที่บรรจุก่อนวันที่ 12 มิ.ย.2546 เป็นผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน 500 บาท แต่หากคุรุสภามีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อพัฒนาองค์กร รัฐบาลก็จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ตามความจำเป็น

สำหรับการถ่ายโอนการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายกฯ เห็นว่า ไม่ควรเร่งถ่ายโอนขณะนี้ เพราะทั้งฝ่ายรับโอนและฝ่ายที่จะโอนให้ต่างยังไม่มีความพร้อมทั้งคู่ ในช่วงนี้จึงขอให้ช่วงนี้ต่างช่วยเหลือกันและกันไปก่อน โดยให้การถ่ายโอนเป็นเรื่องของงบประมาณและไม่ต้องติดเงื่อนไขเรื่องเวลาตามที่กฎหมายกำหนด



กำลังโหลดความคิดเห็น