สธ.ประกาศนมเปรี้ยวทุกชนิดจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะโดยมีการปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขใหม่ ควบคุมปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกับสากลและกำหนดวิธีเก็บรักษาคงคุณภาพนม ระบุนมเปรี้ยวที่หมักจากแบคทีเรียและยีสต์มีเอทธิลแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วยจะต้องพิมพ์คำเตือน "สตรีมีครรภ์และเด็กไม่ควรรับประทาน" มีจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 นี้
นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายควบคุมและพัฒนามาตรฐานอาหารไทยให้มีความปลอดภัย พร้อมทั้งแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบรวมทั้งกฎหมายที่ล้าสมัยเพื่อสนับสนุนโครงการเมืองไทยแข็งแรง โดยจะประกาศให้ประเทศไทยเป็นประเทศอาหารปลอดภัยทุกพื้นที่ในวันที่ 1 เมษายน 2548 นี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยทางสุขภาพของคนไทยและชาวต่างประเทศที่มาพำนักในประเทศไทย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขควบคุมมาตรฐานนมเปรี้ยวเดิม 2 ฉบับ คือฉบับที่ 46 พ.ศ. 2523 และฉบับที่ 99 พ.ศ. 2529 และได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่คือ ฉบับที่ 289 พ.ศ.2548 เรื่องนมเปรี้ยวซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่นิยมบริโภคกันมากในกลุ่มวัยรุ่นและเด็กอยู่ในขณะนี้ เพื่อให้ทันสมัยตามเทคโนโลยีและสอดคล้องกับแนวมาตรฐานอาหารสากล
นางสุดารัตน์ กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่นี้ นมเปรี้ยวที่จัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ จะครอบคลุมทั้งชนิดเหลว ชนิดแช่แข็ง ชนิดแห้ง และนมเปรี้ยวที่ปรุงแต่ง โดยนมเปรี้ยวดังกล่าวผลิตมาจากน้ำนมสัตว์ที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค แล้วหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรคหรืออันตราย ซึ่งจะทำให้ค่าความเป็นกรดเพิ่มขึ้น อาจจะปรุงแต่งกลิ่นรส สี หรือเติมวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหารอื่น ๆ ได้ แต่ห้ามเติมวัตถุกันเสีย เพื่อความปลอดภัย และเพื่อคุณค่าทางด้านโภชนาการแก่ผู้บริโภคได้กำหนดให้นมเปรี้ยวที่มิได้ปรุงแต่งต้องมีโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ2.7 ของน้ำหนักด้วย ทั้งนี้ประกาศกระทรวงฉบับใหม่อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2548
ทางด้าน ศ. ดร. ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่าประกาศฉบับใหม่จะกำหนดชื่อของนมเปรี้ยวอย่างชัดเจนตามหลักสากล โดยชื่อนมเปรี้ยวจะขึ้นกับชนิดจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักเช่นโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวโยเกิร์ต ซึ่งหมักจากแบคทีเรียสเตรปโทค็อคคัสเทอร์โมฟิลลัสและแล็กโตบาซิลลัส หรือนมเปรี้ยวแอซิโดฟิลลัสหมักจากแบคทีเรียแล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์ไม่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร และยังจะช่วยลดปริมาณของจุลินทรีย์ก่อโรคในระบบทางเดินอาหารลงอีกด้วย ดังนั้นหากรับประทานนมเปรี้ยวที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อหลังการหมักก็จะได้ประโยชน์จากเชื้อเหล่านี้
สำหรับนมเปรี้ยวชนิดเคเฟอร์และชนิดคูมิสซึ่งหมักด้วยแบคทีเรียและยีสต์จะมีเอทธิลแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการหมักด้วย ซึ่งแอลกอฮอล์ไม่เหมาะต่อหญิงมีครรภ์และเด็ก ดังนั้นจึงได้กำหนดให้นมเปรี้ยวดังกล่าว แสดงปริมาณแอลกอฮอล์เป็นร้อยละของน้ำหนักและติดฉลากคำเตือนที่ข้างภาชนะว่า “เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน”
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า การเก็บรักษานมเปรี้ยวได้กำหนดให้นมเปรี้ยวประเภทพาสเจอร์ไรส์ซึ่งไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหลังการหมักให้เก็บรักษาไว้ที่เย็นมีอุณหภูมิไม่เกิน 8 องศาเซลเซียส และต้องบริโภคภายใน 30 วัน นับจากวันบรรจุซึ่งประกาศฉบับเดิมกำหนดให้เก็บในอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส บริโภคภายใน 7 วัน ส่วนนมเปรี้ยวที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแบบยูเอชทีหลังการหมักให้เก็บรักษาในอุณหภูมิปกติ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 วัน ก่อนส่งออกจำหน่าย เพื่อการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน ทั้งนี้ให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้านมเปรี้ยวที่ได้รับเลขสารบบอาหารอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ สามารถยื่นขอแก้ไขรายละเอียดให้ถูกต้องภายใน 180 วัน นับตั้งแต่ประกาศมีผลบังคับใช้และผ่อนผันให้ใช้ฉลากเดิมต่อไปได้ 1 ปี หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ปรับไม่เกิน 30,000 บาท
นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายควบคุมและพัฒนามาตรฐานอาหารไทยให้มีความปลอดภัย พร้อมทั้งแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบรวมทั้งกฎหมายที่ล้าสมัยเพื่อสนับสนุนโครงการเมืองไทยแข็งแรง โดยจะประกาศให้ประเทศไทยเป็นประเทศอาหารปลอดภัยทุกพื้นที่ในวันที่ 1 เมษายน 2548 นี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยทางสุขภาพของคนไทยและชาวต่างประเทศที่มาพำนักในประเทศไทย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขควบคุมมาตรฐานนมเปรี้ยวเดิม 2 ฉบับ คือฉบับที่ 46 พ.ศ. 2523 และฉบับที่ 99 พ.ศ. 2529 และได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่คือ ฉบับที่ 289 พ.ศ.2548 เรื่องนมเปรี้ยวซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่นิยมบริโภคกันมากในกลุ่มวัยรุ่นและเด็กอยู่ในขณะนี้ เพื่อให้ทันสมัยตามเทคโนโลยีและสอดคล้องกับแนวมาตรฐานอาหารสากล
นางสุดารัตน์ กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่นี้ นมเปรี้ยวที่จัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ จะครอบคลุมทั้งชนิดเหลว ชนิดแช่แข็ง ชนิดแห้ง และนมเปรี้ยวที่ปรุงแต่ง โดยนมเปรี้ยวดังกล่าวผลิตมาจากน้ำนมสัตว์ที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค แล้วหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรคหรืออันตราย ซึ่งจะทำให้ค่าความเป็นกรดเพิ่มขึ้น อาจจะปรุงแต่งกลิ่นรส สี หรือเติมวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหารอื่น ๆ ได้ แต่ห้ามเติมวัตถุกันเสีย เพื่อความปลอดภัย และเพื่อคุณค่าทางด้านโภชนาการแก่ผู้บริโภคได้กำหนดให้นมเปรี้ยวที่มิได้ปรุงแต่งต้องมีโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ2.7 ของน้ำหนักด้วย ทั้งนี้ประกาศกระทรวงฉบับใหม่อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2548
ทางด้าน ศ. ดร. ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่าประกาศฉบับใหม่จะกำหนดชื่อของนมเปรี้ยวอย่างชัดเจนตามหลักสากล โดยชื่อนมเปรี้ยวจะขึ้นกับชนิดจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักเช่นโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวโยเกิร์ต ซึ่งหมักจากแบคทีเรียสเตรปโทค็อคคัสเทอร์โมฟิลลัสและแล็กโตบาซิลลัส หรือนมเปรี้ยวแอซิโดฟิลลัสหมักจากแบคทีเรียแล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์ไม่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร และยังจะช่วยลดปริมาณของจุลินทรีย์ก่อโรคในระบบทางเดินอาหารลงอีกด้วย ดังนั้นหากรับประทานนมเปรี้ยวที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อหลังการหมักก็จะได้ประโยชน์จากเชื้อเหล่านี้
สำหรับนมเปรี้ยวชนิดเคเฟอร์และชนิดคูมิสซึ่งหมักด้วยแบคทีเรียและยีสต์จะมีเอทธิลแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการหมักด้วย ซึ่งแอลกอฮอล์ไม่เหมาะต่อหญิงมีครรภ์และเด็ก ดังนั้นจึงได้กำหนดให้นมเปรี้ยวดังกล่าว แสดงปริมาณแอลกอฮอล์เป็นร้อยละของน้ำหนักและติดฉลากคำเตือนที่ข้างภาชนะว่า “เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน”
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า การเก็บรักษานมเปรี้ยวได้กำหนดให้นมเปรี้ยวประเภทพาสเจอร์ไรส์ซึ่งไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหลังการหมักให้เก็บรักษาไว้ที่เย็นมีอุณหภูมิไม่เกิน 8 องศาเซลเซียส และต้องบริโภคภายใน 30 วัน นับจากวันบรรจุซึ่งประกาศฉบับเดิมกำหนดให้เก็บในอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส บริโภคภายใน 7 วัน ส่วนนมเปรี้ยวที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแบบยูเอชทีหลังการหมักให้เก็บรักษาในอุณหภูมิปกติ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 วัน ก่อนส่งออกจำหน่าย เพื่อการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน ทั้งนี้ให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้านมเปรี้ยวที่ได้รับเลขสารบบอาหารอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ สามารถยื่นขอแก้ไขรายละเอียดให้ถูกต้องภายใน 180 วัน นับตั้งแต่ประกาศมีผลบังคับใช้และผ่อนผันให้ใช้ฉลากเดิมต่อไปได้ 1 ปี หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ปรับไม่เกิน 30,000 บาท
