“หนูช่วยดูรถเมล์ให้ป้าทีว่ามันสายอะไร ถ้าเป็นสาย 511 บอกด้วยป้าจะไปสายใต้ ช่วยหน่อยนะ ป้ามองไม่ค่อยจะเห็น ตามันไม่ค่อยจะดี”
เชื่อว่าหลายคนคงเจอคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือผู้สูงอายุ เอ่ยปากขอความช่วยเหลือกันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเดินทางไปไหนมาไหน

ปัญหาเรื่องสายตากับผู้สูงอายุนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งคู่กัน ยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งมีปัญหาสายตาพร่ามัวไปตามกาลเวลา มากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นปัญหาสายตาสั้นหรือสายตายาว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เนื่องจากสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่นให้เหมาะสมกับสายตาของแต่ละคน ไม่ต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าหากไม่ใช่สายตาสั้นหรือยาวธรรม และกลายเป็น “ต้อกระจก” เข้าให้ละก็ คงต้องรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วน เพราะหากปล่อยไว้จนต้อกระจกสุก อาจมีปัญหาโรคม่านตาแทรกซ้อนขึ้นมา หรือกลายเป็นต้อหิน อาจทำให้ “ตาบอด” ได้
น.พ.สวัสดิ์ โพธิกำจร จักษุแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะเป็นต้อกระจกเนื่องจากเลนส์ตาเสื่อมตามอายุและส่วนมากจะพบในคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้คนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปมาพบแพทย์เพื่อตรวจความผิดปกติของสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากหากเบาหวานขึ้นตาอาจทำให้ตาบอดได้
สำหรับวิธีการสังเกตสายตาด้วยตนเองนั้น ถ้ามีอาการตามัวลง ช่วงแรกๆ อาจจะมัวเพียงเล็กน้อย ต่อไปจะมัวมากขึ้นเรื่อยๆ และในระยะแรก พอเข้าที่สลัวๆ จะมองเห็นได้ดีกว่าพอเป็นมากขึ้นก็จะมัวทั้งที่สว่าง และที่สลัว จนในที่สุดจะเห็นแค่แสงไฟว่ามาจากไหนเท่านั้น ก็ให้สันนิษฐานได้ว่า กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาเข้าให้แล้ว
นอกจากนี้ อยากให้คนใกล้ชิดหมั่นพยายามสังเกตดวงตาพ่อแม่ หรือญาติที่มีอายุมากว่า ตาดำเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นหรือน้ำตาลขุ่นหรือไม่ ถ้าดวงตาเปลี่ยนไปนั่นคือสัญญาณความผิดปกติของตา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ จะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่าเป็นต้อกระจก ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเพราะช่วง 15 ปีมานี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยรักษาโรคเฉพาะทาง อย่างเช่นรักษาต้อกระจก ขณะนี้มีเทคนิคใหม่ในการสลายต้อกระจกด้วย “น้ำ” โดยใช้วิธีการทำให้ต้อมีขนาดเล็กๆ แล้วน้ำเป็นตัวช่วยให้ตาไม่บอบซ้ำ
ที่สำคัญคือ ข้อดีในการรักษาด้วยวิธีนี้ จะใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย ไม่ต้องฉีดยาชา ใช้เพียงยาชาป้ายตาเท่านั้น และสามารถมองเห็นทันทีหลังผ่าตัด นอกจากนั้น หลังผ่าตัดไม่เกิน 6 ชั่วโมงสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และเทคโนโลยีนี้ช่วยให้แพทย์ทำการผ่าตัดคนไข้ได้วันละ 5-6 ราย โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้า รวมทั้งคนไข้ไม่ต้องรอคิวผ่าตัดนานด้วย
“เทคโนโลยีการใช้น้ำในการรักษา ต่างจากการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นความถี่สูงผ่านรอยแผลผ่าตัดที่เล็กร่วมกับการใช้เลนส์เทียมที่พับได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ไหมเย็บแผล แผลผ่าตัดจะแข็งแรงและหายเร็ว ผู้ป่วยสามารถทำงานได้ภายในระยะเวลา 2-3 วันหลังผ่าตัด”
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบเข้ามาช่วยในการรักษาผู้ป่วย แต่จะรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ว่าผู้ป่วยแต่ละรายควรรักษาด้วยวิธีใด ทั้งนี้ แพทย์ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยและผลสัมฤทธิ์ของผู้ป่วยเป็นหลักอยู่แล้ว”
น.พ.สวัสดิ์ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังการผ่าตัด จะต้องหยอดยาตาข้างที่ทำการผ่าตัดตามแพทย์สั่งโดยเคร่งครัด ห้ามขยี้ตา หรือระวังไม่ให้น้ำเข้าตาข้างที่ผ่าตัด เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ งดว่ายน้ำ 1 เดือน ห้ามล้างหน้าให้ใช้ผ้าชุบน้ำเปียกทำความสะอาดใบหน้าแทนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ระวังไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าตา สวมแว่นกันแดด เมื่อออกนอกบ้านหรือไปในสถานที่ที่มีแสงแดดจ้า
ทั้งนี้ น.พ.สวัสดิ์ บอกด้วยว่ากลุ่มเสี่ยงมีปัญหาด้านสายตาได้แก่ คนงานก่อสร้าง ช่างเชื่อม ช่างอ๊อกเหล็ก ซึ่งคนงานเหล่านั้นอาจมีเศษฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าตา อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและขยี้ตา เศษฝุ่นละอองอาจบาดตาดำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ นอกจากนั้น กลุ่มคนที่ทำงานนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง มักจะมีปัญหาด้านสายตาเสื่อมเร็วกว่าคนวัยเดียวกัน ดังนั้น ขอแนะนำให้มองหน้าจอประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วพักสายตาโดยมองต้นไม้ประมาณ 10-15 นาทีจะช่วยถนอมดวงตาให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
สารพัดโรคแห่งดวงตา
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงสายตาสั้น-ยาว หรือต้อเนื้อ-ต้อกระจก-ต้อหินเท่านั้น เพราะปัญหาเกี่ยวกับสายตายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน
น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน เปิดเผยว่า โรคเกี่ยวกับดวงตาที่สำคัญๆ มีอีกหลายโรค อาทิ เส้นเลือดดำใหญ่จอประสาทตาอุดตัน ซึ่งอาการของคนไข้ จะมองเห็นไม่ชัด เนื่องมาจากเส้นเลือดดำใหญ่ของจอประสาทตาอุดตัน โดยปกติแล้วเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงจะมีความสัมพันธ์กัน เส้นเลือดดำใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ระบายเลือดเสียออกจากจอประสาทตก เมื่อเกิดการอุดตันจะทำให้เส้นเลือดแดงที่นำเอาออกซิเจนมาเลี้ยงจอประสาทตาไม่สามารถไหลเข้ามาได้ จึงเกิดภาวะขาดอาหารและออกซิเจนในเนื้อจอประสาทตา และทำให้จุดรับภาพที่จอประสาทตาบวม

ส่วนวิธีการรักษาเพิ่งคิดค้นมาได้ประมาณ 4-5 ปี โดยใช้มีดเล็กๆ กรีดลงตรงข้างเส้นประสาท เพื่อขยายผนังลูกตาให้เส้นใยที่รัดเส้นเลือดดำใหญ่ขยายออก ทำให้การไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตาสามารถกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ก็อย่างเช่น โรคจอประสาทตาตรงกลางฉีกเป็นรู ซึ่งทำให้มองตรงไปข้างหน้า ภาพที่มองเห็นตรงกลางของภาพจะหายไป แต่ยังสามารถมองเห็นด้านข้างได้ ผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวจะอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้จุดศูนย์กลางรับภาพ แต่มองไกลๆ ยังได้อยู่เพราะสามารถมองด้านข้างได้
การรักษาจะใช้วิธีการผ่าตัดลอกผิวด้านบนของจอประสาทตาบริเวณศูนย์กลางการรับภาพ เพื่อลดการดึงรั้ง และเนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงหดตัวและปิดรูรั่ว ซึ่งจะต้องใช้ตัวคีบพิเศษในการทำการผ่าตัด
หรืออีกโรคหนึ่งคือ โรคพังผืดขึ้นที่จุดรับภาพจอประสาทตา โรคนี้ คนไข้จะมีอาการสายตามัวลง บางครั้งจะมีการมองเห็นภาพที่บิดเบี้ยวร่วมด้วย สาเหตุของโรคนี้เกิดจาก การอักเสบในลูกตา ทำให้เกิดพังผืด แต่บางรายอาการดังกล่าวยังเกิดขึ้นเองโดยไม่มีการอักเสบ กรณีนี้มักจะพบในวัยกลางคนขึ้นไป
ทั้งนี้ จะเลือกรักษาโดยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไป เพื่อให้จักษุแพทย์มองเห็นขอบพังผืดได้ชัดเจน และสามารถทำการลอกพังผืดได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยให้เห็นได้ชัดเจนว่าพังผืดถูกลอกออกไปหมดหรือไม่
“คนที่มีปัญหาโรคตา ควรพบจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคตาเท่านั้น เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยและรักษาได้อย่างตรงจุด เพื่อให้กลับมามองเห็นชัดเจนใกล้เคียงปกติ และอย่าไปรักษาคลินิกทั่วไป หรือซื้อยามาหยอดเอง อาจทำให้อาการโรคตาเพิ่มมากขึ้น”น.พ.สรรพัฒน์สรุปทิ้งท้าย
เชื่อว่าหลายคนคงเจอคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือผู้สูงอายุ เอ่ยปากขอความช่วยเหลือกันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเดินทางไปไหนมาไหน
ปัญหาเรื่องสายตากับผู้สูงอายุนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งคู่กัน ยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งมีปัญหาสายตาพร่ามัวไปตามกาลเวลา มากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นปัญหาสายตาสั้นหรือสายตายาว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เนื่องจากสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่นให้เหมาะสมกับสายตาของแต่ละคน ไม่ต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าหากไม่ใช่สายตาสั้นหรือยาวธรรม และกลายเป็น “ต้อกระจก” เข้าให้ละก็ คงต้องรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วน เพราะหากปล่อยไว้จนต้อกระจกสุก อาจมีปัญหาโรคม่านตาแทรกซ้อนขึ้นมา หรือกลายเป็นต้อหิน อาจทำให้ “ตาบอด” ได้
น.พ.สวัสดิ์ โพธิกำจร จักษุแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะเป็นต้อกระจกเนื่องจากเลนส์ตาเสื่อมตามอายุและส่วนมากจะพบในคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้คนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปมาพบแพทย์เพื่อตรวจความผิดปกติของสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากหากเบาหวานขึ้นตาอาจทำให้ตาบอดได้
สำหรับวิธีการสังเกตสายตาด้วยตนเองนั้น ถ้ามีอาการตามัวลง ช่วงแรกๆ อาจจะมัวเพียงเล็กน้อย ต่อไปจะมัวมากขึ้นเรื่อยๆ และในระยะแรก พอเข้าที่สลัวๆ จะมองเห็นได้ดีกว่าพอเป็นมากขึ้นก็จะมัวทั้งที่สว่าง และที่สลัว จนในที่สุดจะเห็นแค่แสงไฟว่ามาจากไหนเท่านั้น ก็ให้สันนิษฐานได้ว่า กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาเข้าให้แล้ว
นอกจากนี้ อยากให้คนใกล้ชิดหมั่นพยายามสังเกตดวงตาพ่อแม่ หรือญาติที่มีอายุมากว่า ตาดำเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นหรือน้ำตาลขุ่นหรือไม่ ถ้าดวงตาเปลี่ยนไปนั่นคือสัญญาณความผิดปกติของตา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ จะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่าเป็นต้อกระจก ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเพราะช่วง 15 ปีมานี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยรักษาโรคเฉพาะทาง อย่างเช่นรักษาต้อกระจก ขณะนี้มีเทคนิคใหม่ในการสลายต้อกระจกด้วย “น้ำ” โดยใช้วิธีการทำให้ต้อมีขนาดเล็กๆ แล้วน้ำเป็นตัวช่วยให้ตาไม่บอบซ้ำ
ที่สำคัญคือ ข้อดีในการรักษาด้วยวิธีนี้ จะใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย ไม่ต้องฉีดยาชา ใช้เพียงยาชาป้ายตาเท่านั้น และสามารถมองเห็นทันทีหลังผ่าตัด นอกจากนั้น หลังผ่าตัดไม่เกิน 6 ชั่วโมงสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และเทคโนโลยีนี้ช่วยให้แพทย์ทำการผ่าตัดคนไข้ได้วันละ 5-6 ราย โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้า รวมทั้งคนไข้ไม่ต้องรอคิวผ่าตัดนานด้วย
“เทคโนโลยีการใช้น้ำในการรักษา ต่างจากการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นความถี่สูงผ่านรอยแผลผ่าตัดที่เล็กร่วมกับการใช้เลนส์เทียมที่พับได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ไหมเย็บแผล แผลผ่าตัดจะแข็งแรงและหายเร็ว ผู้ป่วยสามารถทำงานได้ภายในระยะเวลา 2-3 วันหลังผ่าตัด”
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบเข้ามาช่วยในการรักษาผู้ป่วย แต่จะรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ว่าผู้ป่วยแต่ละรายควรรักษาด้วยวิธีใด ทั้งนี้ แพทย์ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยและผลสัมฤทธิ์ของผู้ป่วยเป็นหลักอยู่แล้ว”
น.พ.สวัสดิ์ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังการผ่าตัด จะต้องหยอดยาตาข้างที่ทำการผ่าตัดตามแพทย์สั่งโดยเคร่งครัด ห้ามขยี้ตา หรือระวังไม่ให้น้ำเข้าตาข้างที่ผ่าตัด เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ งดว่ายน้ำ 1 เดือน ห้ามล้างหน้าให้ใช้ผ้าชุบน้ำเปียกทำความสะอาดใบหน้าแทนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ระวังไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าตา สวมแว่นกันแดด เมื่อออกนอกบ้านหรือไปในสถานที่ที่มีแสงแดดจ้า
ทั้งนี้ น.พ.สวัสดิ์ บอกด้วยว่ากลุ่มเสี่ยงมีปัญหาด้านสายตาได้แก่ คนงานก่อสร้าง ช่างเชื่อม ช่างอ๊อกเหล็ก ซึ่งคนงานเหล่านั้นอาจมีเศษฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าตา อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและขยี้ตา เศษฝุ่นละอองอาจบาดตาดำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ นอกจากนั้น กลุ่มคนที่ทำงานนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง มักจะมีปัญหาด้านสายตาเสื่อมเร็วกว่าคนวัยเดียวกัน ดังนั้น ขอแนะนำให้มองหน้าจอประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วพักสายตาโดยมองต้นไม้ประมาณ 10-15 นาทีจะช่วยถนอมดวงตาให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
สารพัดโรคแห่งดวงตา
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงสายตาสั้น-ยาว หรือต้อเนื้อ-ต้อกระจก-ต้อหินเท่านั้น เพราะปัญหาเกี่ยวกับสายตายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน
น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน เปิดเผยว่า โรคเกี่ยวกับดวงตาที่สำคัญๆ มีอีกหลายโรค อาทิ เส้นเลือดดำใหญ่จอประสาทตาอุดตัน ซึ่งอาการของคนไข้ จะมองเห็นไม่ชัด เนื่องมาจากเส้นเลือดดำใหญ่ของจอประสาทตาอุดตัน โดยปกติแล้วเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงจะมีความสัมพันธ์กัน เส้นเลือดดำใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ระบายเลือดเสียออกจากจอประสาทตก เมื่อเกิดการอุดตันจะทำให้เส้นเลือดแดงที่นำเอาออกซิเจนมาเลี้ยงจอประสาทตาไม่สามารถไหลเข้ามาได้ จึงเกิดภาวะขาดอาหารและออกซิเจนในเนื้อจอประสาทตา และทำให้จุดรับภาพที่จอประสาทตาบวม
ส่วนวิธีการรักษาเพิ่งคิดค้นมาได้ประมาณ 4-5 ปี โดยใช้มีดเล็กๆ กรีดลงตรงข้างเส้นประสาท เพื่อขยายผนังลูกตาให้เส้นใยที่รัดเส้นเลือดดำใหญ่ขยายออก ทำให้การไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตาสามารถกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ก็อย่างเช่น โรคจอประสาทตาตรงกลางฉีกเป็นรู ซึ่งทำให้มองตรงไปข้างหน้า ภาพที่มองเห็นตรงกลางของภาพจะหายไป แต่ยังสามารถมองเห็นด้านข้างได้ ผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวจะอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้จุดศูนย์กลางรับภาพ แต่มองไกลๆ ยังได้อยู่เพราะสามารถมองด้านข้างได้
การรักษาจะใช้วิธีการผ่าตัดลอกผิวด้านบนของจอประสาทตาบริเวณศูนย์กลางการรับภาพ เพื่อลดการดึงรั้ง และเนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงหดตัวและปิดรูรั่ว ซึ่งจะต้องใช้ตัวคีบพิเศษในการทำการผ่าตัด
หรืออีกโรคหนึ่งคือ โรคพังผืดขึ้นที่จุดรับภาพจอประสาทตา โรคนี้ คนไข้จะมีอาการสายตามัวลง บางครั้งจะมีการมองเห็นภาพที่บิดเบี้ยวร่วมด้วย สาเหตุของโรคนี้เกิดจาก การอักเสบในลูกตา ทำให้เกิดพังผืด แต่บางรายอาการดังกล่าวยังเกิดขึ้นเองโดยไม่มีการอักเสบ กรณีนี้มักจะพบในวัยกลางคนขึ้นไป
ทั้งนี้ จะเลือกรักษาโดยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไป เพื่อให้จักษุแพทย์มองเห็นขอบพังผืดได้ชัดเจน และสามารถทำการลอกพังผืดได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยให้เห็นได้ชัดเจนว่าพังผืดถูกลอกออกไปหมดหรือไม่
“คนที่มีปัญหาโรคตา ควรพบจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคตาเท่านั้น เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยและรักษาได้อย่างตรงจุด เพื่อให้กลับมามองเห็นชัดเจนใกล้เคียงปกติ และอย่าไปรักษาคลินิกทั่วไป หรือซื้อยามาหยอดเอง อาจทำให้อาการโรคตาเพิ่มมากขึ้น”น.พ.สรรพัฒน์สรุปทิ้งท้าย


