xs
xsm
sm
md
lg

ชี้กิเลสตัณหาครอบงำมนุษย์ ต้นเหตุวัยรุ่นไทยไม่สนใจมาฆบูชา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแสลงใจสำหรับวัยรุ่นไปแล้ว เมื่อพูดถึง “วัด” พูดถึง “ พระ” เพราะนับวันก็จะยิ่งกลายเป็นคนห่างวัดมากขึ้นเป็นลำดับ ซ้ำร้ายยังถูกชักจูงให้ครอบงำไปกับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นอีกต่างหาก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ซึ่งวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยกระดี๊กระด๊าพากันไปซื้อดอกไม้ ชอกโกแลตให้กับคนรัก เรียกว่าเสียเงินเสียทองเท่าไหร่ ไม่ว่า ขอให้ได้ทำตามกระแสนิยมเป็นพอ

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อมาถึงเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่าง “มาฆบูชา” 23 ก.พ.นี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่นจึงไม่ให้ความสนใจ และไม่สนใจแม้กระทั่งจะพยายามรับรู้ว่า วันนี้มีความสำคัญอย่างไร

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ อะไรเป็นเหตุและปัจจัยที่ทำให้สังคมของเด็กรุ่นใหม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

มาฆบูชา:คุณค่าที่ถูกลืมเลือน

พระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน มหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัย สะท้อนภาพความเป็นจริงของสังคมที่เกิดขึ้นว่า นับวันความสำคัญของวันมาฆบูชาหรือวันสำคัญทางศาสนาอื่นๆ จะลดลง จนกลายเป็นวันที่คนรุ่นใหม่เริ่มไม่เห็นคุณค่า ทั้งนี้ เพราะสังคมมีความหลงไปกับกิเลสมากขึ้น ปล่อยให้อำนาจของกิเลสเข้าครอบงำ ผ่านสิ่งที่เรียกว่าการตลาด การประชาสัมพันธ์ ที่มีเป้าหมายเพื่อการขายสินค้า

วัยรุ่นห่างวัด และให้ความสนใจกับวันวาเลนไทน์ที่ให้คำนิยามเฉพาะความรักฉันหนุ่มสาวเท่านั้น กลายเป็นความรักเพื่อจะเอา ไม่ใช่รักเพื่อจะให้ นอกจากนี้ มีการแข่งกอดกันบ้าง พลอดรักกันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องหายนะมากกว่าวัฒนะ

“เกิดมาเป็นคนไม่ควรแสดงพฤติกรรมที่หลงกับกิเลสเช่นนั้น เสรีภาพเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าใช้เสรีภาพไปตามอำนาจของกิเลสก็ไม่สมควร เราจะเป็นคนที่ผ่องใสได้อย่างไร ถ้าปล่อยให้กิเลสเป็นตัวนำ ซึ่งถ้ามองให้ลึก จะรู้ว่าเรากำลังติดอยู่ในกระแสของการตลาด และถูกปั่นหัวเพื่อให้ขายสินค้าได้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่ลึกซึ้งสร้างสรรค์เลย”

“สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงพ่อ-แม่ คือ อย่าทำตัวเป็นคนด้อยปัญญาทั้งหมด เอาวุฒิภาวะ เอาสติมาใช้กำกับครอบครัว พาเด็กสู่สิ่งดีงาม เอาคุณธรรมสำหรับความเป็นพ่อ-แม่มาใช้กับลูก ไม่ใช่ไม่กล้าแม้แต่จะสั่งสอนอบรมลูก เราต้องแนะนำ ให้โอกาสการศึกษา ให้วิทยาการ หน้าที่ของศาสนิกทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ไปวัด ไปเวียนเทียน ก็ไม่ใช่สักแต่ไป พิธีกรรมก็เหมือนเปลือก แต่พิธีกรรมเป็นตัวที่จะทำให้เราเข้าถึงแก่น จึงควรปฏิบัติพิธีกรรมที่ลึกเข้าไปถึงแก่นให้ได้ แล้วจะเห็นสิ่งที่มีคุณค่าในนั้น”


เช่นเดียวกับที่พระมหาเจิม สุวโจ ผู้อำนวยการสำนักหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่บอกว่า วัยรุ่นปัจจุบันนี้ห่างวัดกันมาก และรู้จักแต่เพียงว่าเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก โดยยึดถือตามวันวาเลนไทน์อย่างเดียว แต่ลืมไปเลยว่า เดือนสามยังมีวันสำคัญทางพุทธศาสนาอยู่ด้วย นั่นคือ วันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันแห่งความรักและความเมตตา

ค้นหาหัวใจแห่งโอวาทปาติโมกข์

เมื่อสภาพของสังคมเป็นมาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถดึงวัยรุ่นและเยาวชนให้หันมาให้ความสำคัญกับศาสนามากขึ้น โดยเฉพาะโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นธรรมนูญหรือหัวใจแห่งพุทธศาสนาเลยทีเดียว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระไพศาล วิสาโล อธิบายถึงความสำคัญของวันมาฆบูชาให้ฟังว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมที่สรุปย่นย่อได้ว่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ สรุปแนวทางการดำเนินชีวิตเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์จะไปได้ ในวันนั้นพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมหลังจากที่ทรงตรัสรู้ได้ไม่นา ต่อหน้าประจักษ์พยาน พระอรหันต์ 1,250 รูป ซึ่งกาลต่อมาล้วนแล้วแต่เป็นกำลังสำคัญเผยแผ่พระธรรมคำสอน

ที่สำคัญคือ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหาโดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส สิ่งสำคัญคือ การใช้ชีวิตอย่างมีอุดมคติ หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายอยู่ในทุกข์ นั่นคือการมุ่งสู่จุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน ซึ่งถือเป็นบรมธรรมที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ

“คนในยุคนี้ต่างก็เป็นโรคอยากรวยกันหมดทั้งโลก ความอยากรวยก็คือการอยากบริโภคมาก เมื่ออยากบริโภคมากก็ไม่รู้จักพอจนต้องดิ้นรนแสวงหา หาเงินหาทอง หาวัตถุ ก็กลายเป็นไม่รู้จักพอกันเสียที ดังนั้น ในวันมาฆบูชานี้ จึงควรทบทวนการใช้ชีวิตไม่เฉพาะปัจเจกชนเท่านั้น แต่รวมถึงการใช้ชีวิตของทั้งสังคมด้วย สังคมทุกวันนี้กำลังหลงทาง ไม่เข้าใจว่าชีวิตที่ดี สงบเย็น เป็นอย่างไร ควรทบทวนหันมาไตร่ตรองชีวิตและจิตใจของเราว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตกันอย่างไร เป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นชีวิตที่ดิ้นรนหาแต่ทุกข์ ความสุขที่เกิดจากการได้สิ่งของที่พึงใจเป็นความสุขจริงหรือ หรือว่าสุขเพียงชั่วครู่แล้วก็อยากได้ของใหม่ รุ่นใหม่อีก”

ด้าน พระมหาบุญนาน อกิศจโน วัดเวฬุราธิณ ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันสังคมไทยมองออกไปภายนอกมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย สิ่งสำคัญคือต้องดูแลจิตใจ ซึ่งเป็นรากฐานของชีวิต เมื่อรากดีแล้วกิ่ง ก้าน ใบ ก็จะดีตาม พ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างชักจูงเยาวชนให้ซึมซับหลักธรรมทางศาสนาให้มากขึ้น วันมาฆบูชาพาลูกๆ ไปวัดบ้าง เพราะพ่อแม่ต้องทำหน้าที่ชี้ทางให้กับลูกๆ ด้วย

ส่วนการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้น เด็กไม่จำเป็นต้องท่องจำ นักเรียนควรจะมีโอกาสได้เข้าวัด ได้เข้าใจว่าวัดคืออะไร การสร้างกุฏิ วิหารเพื่ออะไร เพื่อเขาจะได้เรียนรู้พระธรรมจากในวัดและใกล้ชิดกับพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งการทำหน้าที่จรรโลงพระพุทธศาสนาล้วนเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนที่ต้องช่วยกันไม่ว่าหน่วยงานใด ไม่เฉพาะวัดหรือโรงเรียนเท่านั้น

“วันมาฆบูชา เป็นวันที่คนควรระลึกถึงหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงแสดงในวันนั้นที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ มาประยุกต์เข้ากับการใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นพระธรรมที่ว่าด้วยเรื่องของหลักการ อุดมการณ์ และวิธีปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงหัวใจสำคัญ 3 ประการคือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ใช่เป็นวันที่มาเข้าวัด เวียนเทียนฟังธรรมอย่างเดียว แต่เป็นวันที่ควรศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความสงบ”

“ที่สำคัญคือ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องล้าหลัง แต่เป็นเรื่องที่ทันสมัยตลอดเวลาถ้าได้ศึกษาสาระสำคัญจริงๆ ที่สำคัญคือต้องเข้าใจในสาระสำคัญ ไม่ใช่หลงไปกับรูปแบบพิธีกรรมอย่างเดียว การเข้าวัดฟังธรรมเป็นรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้เข้าถึงสาระสำคัญของพระธรรมผ่านการเข้าร่วมกิจกรรม และเราสามารถศึกษาพระธรรมผ่านการพูดคุยกับผู้รู้ หรือศึกษาจากหนังสือ คัมภีร์ต่างๆ”

และปิดท้ายกันที่ อุบาสิกายลศิริ บุญประเสริฐ วัดราชผาติการาม ที่ให้ข้อคิดว่า การสอนพุทธศาสนาในโรงเรียนนั้น ไม่ได้สอนให้เด็กได้รู้จัก “สิทธัตถะ” เราควรจะสอนให้เด็กได้รู้ว่าก่อนที่สิทธัตถะจะมาเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นอย่างไร คิดอะไร เห็นอะไร ซึ่งจะเป็นการจุดประกายฮีโร่ในใจเขา และต้องสอนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เพราะหากไปสอนเมื่อโตแล้ว เขาไปรับอะไรจากสังคมมากมาแล้วก็จะเข้าถึงได้ยากขึ้น

ส่วนภาครัฐเอง แม้ว่าปัจจุบันจะให้การสนับสนุนด้านศาสนาดี แต่ก็ยังไม่พอเพียง หลายครั้งที่องค์กรด้านศาสนาต้องดิ้นรนหางบประมาณเพื่อเผยแพร่หลักธรรมเอง

“วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ และเป็นทางสว่างที่จะทำให้ทุกคนหลุดพ้น แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีความรักให้กับทุกคนและพร้อมชี้ทางออกของชีวิตให้โดยไม่ปิดบัง และเมื่อให้คำสอนแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่บังคับให้เชื่อด้วย แต่ให้ปฏิบัติเพื่อที่จะเห็นเอง นี่คือที่สุดของความรักและความเมตตาที่พระองค์มีต่อชาวพุทธ”อุบาสิกายลศิริสรุปทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น