สถานการณ์โรคอ้วนในเด็กรุนแรง โรคแทรกซ้อนเพิ่มอาทิ เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ กระดูกและข้อผิดปกติ โตเป็นผู้ใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง เกิดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพจำนวนมหาศาล ชี้ป้องกันคุ้มค่ากว่าการรักษา
รศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ ผู้จัดการชุดโครงการวิจัยโรคอ้วนในเด็ก เครือข่ายวิจัยสุขภาพ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และจากอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคอ้วนในเด็กกำลังเป็นที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความรุนแรงมากขึ้น พบโรคอ้วนในเด็กที่มีอายุน้อยลง และพบโรคแทรกซ้อนในเด็กที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน และโรคทางเดินหายใจอุดกั้นเวลานอน ซึ่งนำสู่ปัญหาหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
“เมื่อก่อนพบเด็กเป็นโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น แต่เดี๋ยวนี้เด็กอายุไม่ถึง 2 ขวบก็เป็นโรคอ้วนแล้ว และอาจพบไขมันเกาะผนังหลอดเลือดหัวใจได้ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น”
รศ.พญ.ลัดดา กล่าวว่าจากการสำรวจสถานะสุขภาพประชากรไทย 2 ครั้งใน พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2539 - 2540 โดยใช้เกณฑ์อ้างอิงน้ำหนักและส่วนสูงของกองโภชนาการปี พ.ศ. 2530 พบว่าเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบการสำรวจในปี พ.ศ.2539 - 2540 กับ พ.ศ.2544 โดยใช้เกณฑ์อ้างอิงน้ำหนักและส่วนสูงของประชากรไทย พ.ศ. 2542 พบว่า เด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 7.9 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36 ในระยะเวลาเพียง 5 ปี ขณะที่พบเด็กวัยเรียนอายุ 6 - 13 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 6.7 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ในระยะเวลา 5 ปี

รศ.พญ.ลัดดา กล่าวอีกว่า ความน่าวิตกเกี่ยวกับเด็กที่เป็นโรคอ้วนประการหนึ่งก็คือ แม้จะรู้ดีว่ามีเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้น ทว่าผู้ปกครองตลอดจนคนทั่วไปมักไม่ทราบว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง และไม่ได้ตระหนักถึงผลเสียที่จะตามมาจากโรคอ้วนนั้น โดยมักคิดว่าเมื่อเด็กโตขึ้นก็จะผอมเอง
“เมื่อเด็กเป็นโรคอ้วนจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านสุขภาพของตัวเด็กเอง พบว่าเด็กอ้วนมักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อ โดยเฉพาะเกิดความผิดปกติของข้อเข่า ทำให้ขาโก่งหรือขากางผิดปกติ ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องเพราะมีความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน”
นอกจากนี้ยังพบปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ โดยเด็กที่อ้วนมากมีความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ บางคนเป็นมากจนถึงกับหยุดหายใจ และส่วนใหญ่เด็กที่อ้วนมากมีระดับอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าร้อยละ 90 ตลอดเวลาครึ่งหนึ่งของการนอนหลับ ทำให้มีอาการง่วงซึมในเวลากลางวัน ปวดหัวในตอนเช้า ผลการเรียนและความจำต่ำกว่าเด็กในกลุ่มที่ไม่มีปัญหา และยังพบปัญหาด้านจิตใจอันเนื่องมาจากความกลัวอ้วน การถูกเพื่อนและผู้ใหญ่ล้อเลียน
ไม่เพียงเท่านั้น ในเด็กอ้วนยังพบว่ามีปัญหาโรคนิ่วในถุงน้ำดี และภาวการณ์ต่อต้านอินซูลิน ทำให้มีระดับอินซูลินสูงกว่าเด็กปกติ นำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และพบว่าการที่เด็กเติบโตเร็วกว่าอายุ แผ่นเนื้อเยื่อเจริญของกระดูกจะปิดเร็วกว่าปกติ ทำให้เด็กเหล่านี้บางคนโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีส่วนสูงต่ำกว่าเด็กทั่วไป หรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
รศ.พญ.ลัดดา ยังบอกอีกว่า พ้นจากปัญหาในระดับปัจเจกบุคคลแล้วพบว่า โรคอ้วนในเด็กยังก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ส่วนรวมในหลายหลายด้าน ตั้งแต่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาของครอบครัว ไปจนถึงการที่ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพจำนวนมหาศาล
ดังนั้นการปล่อยให้เป็นโรคอ้วนแล้วรักษาให้หายนั้นเป็นเรื่องยาก การจัดการกับโรคนี้จึงจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่ในระดับของการป้องกัน จึงน่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าและคุ้มค่ากว่า โดยการป้องกันควรจะเริ่มตั้งแต่ในระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยนโยบายและการดำเนินการในด้านต่างๆ ของรัฐบาลเป็นสำคัญ
“รัฐบาลควรมีนโยบายจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยต้องมีมาตรการหลายๆ อย่างออกมาอย่างเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่นโยบายด้านภาษีอากร เหมือนในต่างประเทศที่เขาเรียกเก็บภาษี สำหรับอาหารหรือขนมขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มที่มีคุณค่าต่ำ หรือใส่คำเตือนไว้ในโฆษณา เป็นต้น”
รศ.พญ.ลัดดา กล่าวอีกว่า ในระดับโรงเรียนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการอบรมปลูกฝังพฤติกรรมการกินอาหารและการออกกำลังกายให้กับเด็กก็ควรมีมาตรการกำกับดูแลอาหารและขนมที่จำหน่ายในโรงเรียน ตลอดจนจัดกิจกรรมให้เด็กออกกำลังกายจนเป็นนิสัย ซึ่งในเรื่องนี้ทางภาครัฐสามารถกำหนดเป็นนโยบายให้แก่โรงเรียนต่างๆ ปฏิบัติได้ ส่วนในระดับชุมชน เป็นเรื่องการจัดการสภาพแวดล้อม โดยควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายมากขึ้น ขณะเดียวกันในระดับครอบครัวก็ต้องได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขในการให้ข้อมูลความรู้ ตลอดจนแนะแนวทางการปฏิบัติว่าเมื่อมีเด็กอ้วนในครอบครัวจะต้องทำอย่างไร และป้องกันเด็กไม่ให้อ้วนได้อย่างไร
นอกจากนี้ในด้านของสื่อมวลชนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคม โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งมักมีพฤติกรรมเลียนแบบอย่าง ที่เห็นในสื่ออย่างรวดเร็วมาก ควรที่จะมีการควบคุมรายการโทรทัศน์ที่มีโฆษณาขนมเด็กที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการแจกของแถมต่างๆ ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการไปพร้อมๆ กันในทุกๆ ด้านตามที่กล่าวมา เชื่อว่าจะทำให้เด็กไทยมีภูมิคุ้มกันตนเองจากโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น
รศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ ผู้จัดการชุดโครงการวิจัยโรคอ้วนในเด็ก เครือข่ายวิจัยสุขภาพ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และจากอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคอ้วนในเด็กกำลังเป็นที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความรุนแรงมากขึ้น พบโรคอ้วนในเด็กที่มีอายุน้อยลง และพบโรคแทรกซ้อนในเด็กที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน และโรคทางเดินหายใจอุดกั้นเวลานอน ซึ่งนำสู่ปัญหาหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
“เมื่อก่อนพบเด็กเป็นโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น แต่เดี๋ยวนี้เด็กอายุไม่ถึง 2 ขวบก็เป็นโรคอ้วนแล้ว และอาจพบไขมันเกาะผนังหลอดเลือดหัวใจได้ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น”
รศ.พญ.ลัดดา กล่าวว่าจากการสำรวจสถานะสุขภาพประชากรไทย 2 ครั้งใน พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2539 - 2540 โดยใช้เกณฑ์อ้างอิงน้ำหนักและส่วนสูงของกองโภชนาการปี พ.ศ. 2530 พบว่าเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบการสำรวจในปี พ.ศ.2539 - 2540 กับ พ.ศ.2544 โดยใช้เกณฑ์อ้างอิงน้ำหนักและส่วนสูงของประชากรไทย พ.ศ. 2542 พบว่า เด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 7.9 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36 ในระยะเวลาเพียง 5 ปี ขณะที่พบเด็กวัยเรียนอายุ 6 - 13 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 6.7 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ในระยะเวลา 5 ปี
รศ.พญ.ลัดดา กล่าวอีกว่า ความน่าวิตกเกี่ยวกับเด็กที่เป็นโรคอ้วนประการหนึ่งก็คือ แม้จะรู้ดีว่ามีเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้น ทว่าผู้ปกครองตลอดจนคนทั่วไปมักไม่ทราบว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง และไม่ได้ตระหนักถึงผลเสียที่จะตามมาจากโรคอ้วนนั้น โดยมักคิดว่าเมื่อเด็กโตขึ้นก็จะผอมเอง
“เมื่อเด็กเป็นโรคอ้วนจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านสุขภาพของตัวเด็กเอง พบว่าเด็กอ้วนมักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อ โดยเฉพาะเกิดความผิดปกติของข้อเข่า ทำให้ขาโก่งหรือขากางผิดปกติ ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องเพราะมีความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน”
นอกจากนี้ยังพบปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ โดยเด็กที่อ้วนมากมีความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ บางคนเป็นมากจนถึงกับหยุดหายใจ และส่วนใหญ่เด็กที่อ้วนมากมีระดับอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าร้อยละ 90 ตลอดเวลาครึ่งหนึ่งของการนอนหลับ ทำให้มีอาการง่วงซึมในเวลากลางวัน ปวดหัวในตอนเช้า ผลการเรียนและความจำต่ำกว่าเด็กในกลุ่มที่ไม่มีปัญหา และยังพบปัญหาด้านจิตใจอันเนื่องมาจากความกลัวอ้วน การถูกเพื่อนและผู้ใหญ่ล้อเลียน
ไม่เพียงเท่านั้น ในเด็กอ้วนยังพบว่ามีปัญหาโรคนิ่วในถุงน้ำดี และภาวการณ์ต่อต้านอินซูลิน ทำให้มีระดับอินซูลินสูงกว่าเด็กปกติ นำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และพบว่าการที่เด็กเติบโตเร็วกว่าอายุ แผ่นเนื้อเยื่อเจริญของกระดูกจะปิดเร็วกว่าปกติ ทำให้เด็กเหล่านี้บางคนโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีส่วนสูงต่ำกว่าเด็กทั่วไป หรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
รศ.พญ.ลัดดา ยังบอกอีกว่า พ้นจากปัญหาในระดับปัจเจกบุคคลแล้วพบว่า โรคอ้วนในเด็กยังก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ส่วนรวมในหลายหลายด้าน ตั้งแต่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาของครอบครัว ไปจนถึงการที่ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพจำนวนมหาศาล
ดังนั้นการปล่อยให้เป็นโรคอ้วนแล้วรักษาให้หายนั้นเป็นเรื่องยาก การจัดการกับโรคนี้จึงจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่ในระดับของการป้องกัน จึงน่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าและคุ้มค่ากว่า โดยการป้องกันควรจะเริ่มตั้งแต่ในระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยนโยบายและการดำเนินการในด้านต่างๆ ของรัฐบาลเป็นสำคัญ
“รัฐบาลควรมีนโยบายจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยต้องมีมาตรการหลายๆ อย่างออกมาอย่างเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่นโยบายด้านภาษีอากร เหมือนในต่างประเทศที่เขาเรียกเก็บภาษี สำหรับอาหารหรือขนมขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มที่มีคุณค่าต่ำ หรือใส่คำเตือนไว้ในโฆษณา เป็นต้น”
รศ.พญ.ลัดดา กล่าวอีกว่า ในระดับโรงเรียนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการอบรมปลูกฝังพฤติกรรมการกินอาหารและการออกกำลังกายให้กับเด็กก็ควรมีมาตรการกำกับดูแลอาหารและขนมที่จำหน่ายในโรงเรียน ตลอดจนจัดกิจกรรมให้เด็กออกกำลังกายจนเป็นนิสัย ซึ่งในเรื่องนี้ทางภาครัฐสามารถกำหนดเป็นนโยบายให้แก่โรงเรียนต่างๆ ปฏิบัติได้ ส่วนในระดับชุมชน เป็นเรื่องการจัดการสภาพแวดล้อม โดยควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายมากขึ้น ขณะเดียวกันในระดับครอบครัวก็ต้องได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขในการให้ข้อมูลความรู้ ตลอดจนแนะแนวทางการปฏิบัติว่าเมื่อมีเด็กอ้วนในครอบครัวจะต้องทำอย่างไร และป้องกันเด็กไม่ให้อ้วนได้อย่างไร
นอกจากนี้ในด้านของสื่อมวลชนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคม โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งมักมีพฤติกรรมเลียนแบบอย่าง ที่เห็นในสื่ออย่างรวดเร็วมาก ควรที่จะมีการควบคุมรายการโทรทัศน์ที่มีโฆษณาขนมเด็กที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการแจกของแถมต่างๆ ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการไปพร้อมๆ กันในทุกๆ ด้านตามที่กล่าวมา เชื่อว่าจะทำให้เด็กไทยมีภูมิคุ้มกันตนเองจากโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น